นิยาย
I'm Gambler man
I'm Evil Guy ปีศาจตัวร้ายพ่ายรัก
“คนนั้นมาใหม่เหรอไม่เคยเห็นหน้า” “คนไหนเฮีย” “นั่นไง” “อ๋อ~ ไม่ได้มาใหม่หรอก ปกติน้องช่วยงานในครัว ทีแรกมาสมัครเสิร์ฟนี่แหละแต่เฮียเตอร์ไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 มาเสิร์ฟ นี่เพิ่งอายุ 20 มาหมาดๆ เลยให้ขึ้นมาเสิร์ฟ” “อืม พี่มึงมันหัดมีคุณธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” “ตั้งแต่มีเมียไง เฮียก็หาบ้างดิ” “ไม่ว่ะ ขี้เกียจเจ็บบ่อยๆ อีกอย่างกูมีคุณธรรมล้ำหน้าพี่มึงมานานแล้วไอ้เปอร์” “โห่ คนเรามันต้องผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดก่อนจะได้เจอความสวยงามเสมอเฮีย ว่าแต่ถามทำไม สนใจเหรอเฮีย” “เปล่า แค่ไม่เคยเห็นก็เลยถาม” “เหรอเฮีย แต่น้องเขาสเปคเฮียเลยนะนั่นเรียบร้อยสุดๆ” “...เหรอ?” ผมมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นแล้วก็พูดออกมาสั้นๆ “ทำไมทำหน้าไม่เชื่อแบบนั้นล่ะ เฮียรู้ไหมน้องเขาเป็นเด็กดีมากนะทำงานหาเงินเรียนเอง บอกตรงๆ ว่าโคตรเหมาะกับเฮีย สนใจจีบเป็นเมียแล้วส่งเสียเรียนต่อไหมเดี๋ยวเปอร์จัดให้” “พูดเหี้ยไรของมึง กูเห็นเรียบร้อยอ่อยหนักมาเยอะแล้ว” “มันก็ไม่ทุกคนน่าเฮีย” “หึๆๆ พวกเรียบร้อยนี่ไม่ใช่สเปคกูแล้วว่ะไอ้เปอร์ ดูแข่งรถได้แล้วเผื่อจะเอาไปพัฒนารอบหน้ามึงจะได้ไม่แพ้จนขายขี้หน้าอีก” ผมตัดบทไอ้คู่สนทนาที่ถามมันแค่นิดเดียวแต่มันชวนคุยต่อซะยืดยาว แล้วก็หันไปสนใจการแข่งรถต่อ ในสนามมีอะไรให้สนใจมากกว่าเรื่องผู้หญิงตั้งเยอะ ผมชื่อมิกซ์ครับ เป็นนักศึกษาปี 4 มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นเดือนมหาลัย เป็นประธานสโมสรนักศึกษา พ่อแม่เป็นนักธุรกิจที่...รวยมั้ง ใช้คำว่ารวยหรือโคตรรวย หรือว่ามหาเศรษฐีผมก็ไม่รู้เหมือนกันช่างมันเถอะครับมันเงินพ่อแม่ผมไม่ใช่เงินผม แล้วก็เป็นเพื่อนกับเจ้าของสนามแข่งรถที่ผมกำลังนั่งดูอยู่ ส่วนไอ้ที่คุยกับผมเมื่อกี้มันชื่อคูเปอร์เป็นน้องชายของไอ้ชัตเตอร์เจ้าของสนาม ข้อมูลของผมมีแค่นี้ล่ะครับรู้จักผมแค่นี้ไปก่อน เอาแค่ที่ผมอยากให้รู้จักก็พอ “เป็นไรของมึงวะทำไมดูหงุดหงิด” ไอ้เวกัสเพื่อนสนิทอีกคนของผมที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามหลังจากที่ผมคุยกับไอ้คูเปอร์จบได้สักพัก “เปล่า” “เปล่าเชี่ยไรปกติมึงไม่นั่งทำหน้าอมขี้แบบนี้ ทำหน้าคนดีหน่อยไอ้ห่าเดี๋ยวคนรู้ว่าเลว” “เลวพ่อง!” ผมหันไปด่าไอ้เวกัสแล้วก็หันกลับมาสนใจการแข่งรถต่อ ผมไม่ได้อารมณ์ไม่ดีหรอกครับ แค่หงุดหงิดนิดหน่อยที่เห็นเด็กเสิร์ฟใหม่ของที่นี่ทำท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็เกร็งใส่ลูกค้าผู้ชาย บอกตรงๆ ว่ามันขัดตาผม รู้สึกโคตรไม่เข้าตาเลยพวกผู้หญิงเรียบร้อย เพราะเจอมากับตัวหลายครั้งแล้วเรียบร้อยอ่อนหวานสุดท้ายก็...หึ! “น้องคนนั้นสวยว่ะ” “ใคร?” “เด็กเสิร์ฟใหม่ไง เสียดายไม่มาเสิร์ฟโต๊ะเรา” “มึงอยากได้เหรอวะ” ผมหันไปถามไอ้เวกัส ไม่ได้ถามเพราะอยากได้ผู้หญิงคนนั้นเหมือนกันหรอกครับ ปกติพวกผมก็ถามกันแบบนี้อยู่แล้ว “เปล่าเห็นสวยดีกูก็เลยอยากแทะโลมด้วยสายตา” “หึๆๆ โคตรเหี้ย” ผมกระดกเหล้าเข้าปากก่อนที่จะหัวเราะแล้วก็สรรเสริญมัน “กูเหี้ยเปิดเผยครับไอ้มิกซ์” มึงมองผมแล้วก็ยิ้มมุมปากให้ “หึ! อย่างมึงน่ะเหรอจะแค่แทะโลมด้วยสายตา” ร่านกว่าหมาเดือน 9 หอนหาคู่ก็ไอ้เวกัสนี่ล่ะครับ “ไม่ใช่สเปคกูนี่หว่า กูชอบผู้หญิงร้ายๆ เซ็กซี่แล้วก็เอ็กซ์ๆ มึงก็รู้ แต่นี่สเปคมึงต่างหาก” “ไม่ว่ะ กูไม่ชอบแบบนี้แล้ว” “เข็ด?” ไอ้เวกัสเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นตอนที่พูดเห็นแล้วรู้สึกว่ามันกวนตีนดีครับ “เปล่า กูแค่ขยาดไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้หญิงแบบนี้อีก” “ก็ไม่ทุกคนมั้งไอ้ห่า ลองพนันกับกูไหมล่ะ กูว่าน้องคนสวยคนนั้นไม่ได้เป็นแบบลลินแล้วก็เอมแน่นอน” “หึ!” “1 ล้าน ถ้าไม่ใสมึงเอาไปได้เลย” ไอ้เหี้ยกัสเป็นอะไรนักหนาอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ชอบพนัน “10 ล้านกูก็ไม่เอา ไม่อยากเสียเวลาไปข้องแวะกับผู้หญิงประเภทนั้น” ผมตอบมันแล้วก็มองไปทางผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงผมยาว ผิวขาว ตาโต หน้าตาสวยหวาน แต่งหน้าบางๆ ยิ่งทำให้สวยมากจนไม่อยากละสายตา ท่าทางการเดินทุกอย่างถูกเซ็ตให้คนที่มองเห็นดูแล้วรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่เรียบร้อย แต่เรียบร้อยแบบนี้ผมเจอมาเยอะแล้วครับ เรียบร้อยกว่านี้ก็สัมผัสมาแล้ว แต่สุดท้ายก็รู้ว่ามันแค่เปลือก “ไอ้ห่ามึงเอาอะไรมาตัดสินว่าบุคลิกแบบนี้ต้องนิสัยเหมือนกันทุกคน” “ประสบการณ์กับเซ้นส์ของกูไง” “ระวังเซ้นส์พังนะครับไอ้คนดี” “หึๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพังไหมเพราะกูไม่เสียเวลาไปข้องเกี่ยวกับผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานแบบนั้นอีกแล้วว่ะ” ...พวกผู้หญิงเรียบร้อยมันโคตรขัดตาผมเลย บอกแล้วไงครับว่าเจอกับตัวมาหลายครั้ง ที่บอกว่าเรียบร้อยอ่อนหวานสุดท้ายก็... ไม่ได้แรดหรอกแต่เรียกว่า “ร่าน” เลยดีกว่า
LUV My Devil
“อลิส~” “ขา~” “โต๊ะ VIP 5 คุณแท็คสุดหล่อมาแล้วจ้า~” “ได้ค่ะ” ^^ ฉันยิ้มรับด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง ก็จะไม่ร่าเริงได้ยังไงในเมื่อพี่แท็คสุดหล่อพ่อรวยแจกดื่มทีละเป็นร้อย~ นึกว่าลูกค้าประจำจะไม่มาซะแล้วเพราะนี่ดึกมาก อุตส่าห์ขอพี่บี๋ว่าคืนวันศุกร์สนุกสนานที่ลูกค้าแน่นร้านขอไม่ออกไปให้ใครเห็นเพราะอยากรอลูกค้าประจำของตัวเอง ฉันก็รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอจนกระทั่งตอนนี้อีกแค่ห้านาทีก็จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ถอดใจว่าจะออกไปเทคแคร์ลูกค้าคนอื่นแล้วเชียวแต่สุดท้ายเธอก็มาได้ทันเวลาพอดี ไปค่ะหญิง ไปหาเงินหาทองกัน!!! ^o^ -เวลาต่อมา- “เมื่อคืนเมาเหรอ?” “เมาสิ ไม่เมาได้ไงแจกช็อตละสองพันขนาดนั้น” เหล้าช็อตวางตรงหน้ายี่สิบช็อตใต้แก้วเล็ก ๆ มีแบงค์เทาสองใบวางอยู่ทุกแก้วใครจะไม่ยอมเมา เป็นแกแกยอมไหมล่ะแต่สำหรับฉัน ฉันยอมนะ มาเลยแม่พร้อมยกกระดกรัว ๆ อิอิ “ฮ่า ๆๆ ทีหลังให้พี่เป๊กช่วยสิมันจะได้ใส่เหล้าอีกแบบให้” “โห~ ต้องหารพี่เป๊กครึ่งนึงเขาไม่เรียกช่วยเขาเรียกจ้าง ไม่เอาอ่ะยอมเมาดีกว่า เมาแป๊บเดียวตื่นเช้ามาก็หายแต่เงินที่แบ่งพี่เป๊กแบ่งแล้วแบ่งเลย ไม่เอาไม่คุ้ม” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ กินไปยี่สิบช็อตแสบคอแสบท้องแทบตายแต่ไม่ตาย ถ้าขอเหล้าปลอมแต่ต้องแบ่งให้บาร์เทนเดอร์ตั้งสองหมื่น ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่เด็ดขาด “ฮ่า ๆๆ แล้ววันนี้จะดูแลลูกค้าไหวไหมเนี่ยกลิ่นละมุดหึ่งเลย” “ได้ดิ ลูกค้าไม่ถือหรอก ลูกค้าก็เมา” “ฮ่า ๆๆ เออ ๆ หาอะไรดื่มแก้แฮงค์ก่อนก็ดีนะอลิสคืนนี้ถ้าดื่มหนักอีกพรุ่งนี้จะได้ไม่แย่” “จ้า~ ขอบคุณน้า~” ฉันยิ้มขอบคุณเพื่อนร่วมงานอย่างแองจี้แล้วก็แต่งหน้าต่อ วันนี้ลูกค้าประจำอย่างพี่แท็คจะไม่มาเพราะปกติจะมาแค่วันศุกร์เท่านั้นจิตใจฉันเลยห่อเหี่ยวนิดหน่อย อ้อ! ไม่ใช่ว่าแอบชอบคุณลูกค้านะคะแต่ที่จิตใจห่อเหี่ยวเพราะต้องมาลุ้นดื่มจากลูกค้าที่ไม่ใช่ขาประจำของตัวเองต่างหาก เจอคนสปอร์ตก็ดีไปแต่ถ้าเจอคนงกนี่ไม่อยากจะคิดเลย บูดมาก เสียเวลานั่งมาก บางคืนนั่งจนปวดก้นแจกดื่มมาแค่นิดเดียว แต่ช่างเถอะจะมากจะน้อยสุดท้ายก็เงินเนอะ แค่มีเงินเข้ากระเป๋าทุกวันที่ออกมาทำงานก็พอแล้ว~ ^0^ ฉันเดินออกมาข้างหน้าร้านแป๊บเดียวลูกค้าก็เรียกไปเทคแคร์แล้วค่ะ เป็นกลุ่มผู้ชายที่ดูด้วยเสี้ยวของหางตาที่มีขี้ตาเกาะอยู่ก็ยังรู้ว่าทั้งกลุ่มคือแบดบอยที่กลับชาติมาเกิดเป็นแบดบอยเหมือนเดิม ^^! บอกตรง ๆ นะว่าจากการดูด้วยตาเนื้อที่นั่งกันอยู่สี่คนไม่มีคนไหนที่หล่อแบบคนดีสักคนเลยค่ะ ^_^! “น้องอลิสใช่ไหมคะ” ฉันเดินมาเทคแคร์พวกพี่ ๆ เขา มาถึงพี่สุดหล่อคนนึงก็ถามขึ้น “ค่ะ” ^^ ฉันยิ้มรับพี่สุดหล่อแต่...เฮ้อ~ สุดหล่อทุกคนเลยอ่ะ ทำไมต้องหล่อขนาดนี้ แต่ที่งงมากกว่าความหล่อของผู้ชายกลุ่มนี้คือ...ใครจะแซนวิช? เอ่อ...อย่าว่าฉันทะลึ่งนะคะ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องบนเตียงนะแต่บนโต๊ะของพี่เขาทุกคนมีเพื่อนร่วมงานของฉันนั่งเทคแคร์อยู่ครบแล้วเลยอยากรู้ว่าคุณพี่สุดหล่อท่านใดอยากจะได้น้องคนสวยคนนี้ไปดูแลเทคแคร์ร่วมกับเพื่อนอีกคน ^^ “เชิญนั่งก่อนค่ะ เพื่อนพี่ยังมาไม่ถึง” “คะ? อ๋อ ได้เลยค่ะ” ^^ โล่งอกไปทีนึกว่าจะให้บริการควบสุดท้ายเพื่อนอีกคนยังมาไม่ถึงนี่เอง ความจริงก็ทำได้นะคะเทคแคร์ขนาบข้างเลยเนี่ยแต่ถ้าเลือกได้ก็ขอไม่ดีกว่า...กลัวเขาแจกดื่มให้น้อยค่ะ แหะ ๆๆ ฉันนั่งลงตรงที่นั่งที่ยังว่างแต่ไม่ได้นั่งเฉย ๆ หรอกนะคะเพราะฉันก็มืออาชีพคนหนึ่ง พี่เขาเรียกมาเทคแคร์ฉันก็ทำหน้าที่ของฉันไป นั่งคุยเล่นกับพี่ ๆ เขาแล้วก็เพื่อนร่วมงานไปด้วย นั่งด้วยเกือบยี่สิบนาทีก็รู้สึกว่าพวกพี่เขาก็น่ารักเป็นกันเองดีนะคะ ที่สำคัญต้องรวยมากทุกคนแน่ ๆ เพราะแค่ที่มานั่งด้วยยี่สิบนาทีเพื่อน ๆ และฉันได้ทิปกันจะแตะหมื่นอยู่แล้ว ^o^ เอาล่ะ พี่คนนั้น คุณพี่ลูกค้าที่ฉันต้องเทคแคร์ในวันนี้ช่วยรีบมาสักทีฉันอยากจะเทคแคร์พี่เขาสุด ๆ แล้ว ว่าแต่เพื่อนคนสุดท้ายที่ยังไม่มานี่จะหล่อไหมนะ แต่ต้องหล่อสิเนอะ เพื่อนหล่อกันทั้งสี่คนแล้วคนที่ห้าก็จำเป็นต้องหล่อเหมือนคนอื่นอยู่แล้วล่ะ หล่อเถอะอย่าให้ดาวของร้านอย่างฉันคนนี้เป็นคนเดียวบนโต๊ะที่ลูกค้าไม่หล่อเลย ไม่อยากน้อยใจในวาสนา ^_^! “เหงาไหมคะ” “คะ? อ๋อ ไม่เหงาเลยค่ะ” ^^ ฉันตอบพี่คนที่นั่งถัดออกไป ตอบแล้วยิ้มจนตาหยีเพราะนี่ก็นั่งแกร่วคนเดียวมาครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง “เดี๋ยวเพื่อนพี่ก็มาถึงแล้ว อ้าวโน่นไงมันมาละ” พี่เขามองผ่านฉันไปข้างหลังฉันก็เลยหันไปมองตามเพื่อดูว่าคุณลูกค้าที่ฉันจะเทคแคร์วันนี้จะหน้าตาดีหล่อเหลาเอาการประหนึ่งตัวร้ายที่นางเอกอยากได้มาเป็นผัวเหมือนเพื่อนในกลุ่มทุกคนรึเปล่า “...” โอะ...โอ้...โอ้โห~ O///O เขา...เขาหล่อมาก หล่อแบบ...หล่อม๊าก~ คุณพ่อคุณแม่ คุณพระคุณเจ้า คนอะไรทำไมถึงได้หล่อได้มากขนาดนี้ เพื่อนว่าหล่อมากแล้วนะแต่ผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ดูเหมือนจะหล่อยิ่งกว่า มัน...มันอาจจะเป็นเพราะเขาคือผู้ชายคนแรกในชีวิตที่ตรงตามสเปคที่วางไว้ก็ได้เขาถึงได้ดูหล่อเกินคนในสายตาฉัน พี่เขาตรงสเปคไปหมดเลยค่ะ สาบานได้ว่าตรงทุกจุดไม่มีสะดุดเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งดูเลยยิ่งหล่อ หล่อแบบแปดมิติไปเลย “ไงมึง กว่าจะเสด็จ” “รถติด” เสียงหล่อมาก~ “...” ตึก ๆๆๆๆๆ เสียงหัวใจฉันเต้นแรงมากยิ่งเขาเดินเข้ามาใกล้ยิ่งเต้นแรงก่อนที่เขาจะมาหยุดตรงช่องหว่างระหว่างที่นั่งซึ่งมีฉันกับเพื่อนเขาอยู่คนละฝั่งจากนั้นเขาก็กวาดตามองช้า ๆ ไปทั่วโต๊ะแต่ไม่ได้มองสบตากับฉันนะ เขายืนนิ่งมองเพื่อนที่มองเขาอยู่เช่นกัน และไม่ใช่แค่เพื่อนเขาที่มองเขาหรอกนะแต่ฉันที่นั่งอยู่ตรงหน้าห่างจากเขาที่ยืนค้ำหัว เอ้ย! ยืนอยู่ข้าง ๆ นิดเดียวก็มองเช่นกัน ...ทำงานมาปีกว่า เทคแคร์ลูกค้ามาเป็นร้อยคนวันนี้จะทำผิดจรรยาบรรณไม่ได้นะยัยบ้า~ “...” ตึก ๆๆๆ แก...เขามองมาที่ฉันแล้ว เขาก้มลงมามองฉันและฉันอยากจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของการทำงานมาตลอดระยะเวลาเกือบสองปีว่ามันเป็นครั้งแรกที่ฉันสบตากับลูกค้าได้แป๊บเดียว >///< แค่ได้พบสบตากันนิดเดียวก็เขินจนไส้บิดถ้าเขานั่งลงให้ฉันได้เอนเตอร์เทนไส้ฉันไม่ขาดออกจากกันเลยเหรอแก~ >o< “นี่คือ?” เขามองฉันที่นั่งเงยหน้าพยายามสบตาเขาจนแก้มร้อนผ่าวก่อนจะเอ่ยคำนี้ออกมา พูดเหมือนถามใครสักคนว่าอะไรก็ไม่รู้แต่ที่รู้ ๆ คือเขากำลังมองฉันอยู่ เขามองฉันแบบจ้องเลยค่ะ จ้องไม่ละสายตาเลย ไม่เอานะคะขอร้องล่ะ อย่านะ...อย่าชอบหนูนะ หนูไม่อยากผิดจรรยาบรรณในวิชาชีพของหนู~ >///< “น้องอลิส กูเรียกมาให้น้องมาดูแลมึงไงครับไอ้เซตัส” ซะ...เซตัส หูย~ ชื่อแปลกแต่ฟังดูดีมากจริง เกิดมาจากที่ไหนทำไมดูเพอร์เฟ็คแปลกบ้านแปลกเมืองได้ขนาดนี้พี่เซตัสขา~ “เหรอ” เขารับคำตอบด้วยคำที่ง่าย ๆ สั้น ๆ เอาล่ะ ถึงเวลาที่ฉันจะได้เทคแคร์ดูแลพี่เขาแล้วสินะ >///< ขยับค่ะยัยคนสวย ขยับก้นบึ๊ม ๆ ที่บึ๊มอย่างกับคลอดปุ๊บแม่ก็จับสควอชวันละสองร้อยรอบปั๊บไปอีกฝั่งพี่เซตัสสุดหล่อจะได้นั่งลงข้าง ๆ แก~ >///< “เชิญนั่งคะหนู... / กูไม่เอา ไล่ไปนั่งที่อื่น“ กึก! “...” OoO วะ...ว่ายังไงนะ???
I'm Bad Boy รักร้ายของนายแบดบอย
“พัดโล้มมมมมมมมม~” “จ๋า~ ว่าไงคะที่ร้ากกกกก” “พี่คนนั้น อร้ายยยย พี่คนนั้นกำลังมาที่ 12 นาฬิกา!” “ฮะ! จริงเหรอ?” “เออสิ ฉันจะโกหกหล่อนเพื่อ” “กรี๊ดดดด อีเมธ! กูหน้าซีดมาก” ฉันรีบจับหน้าตัวเองด้วยความตกใจเพราะเพิ่งเลิกเรียนเลยลงมานั่งหาอะไรกินแก้เหนื่อยโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ส้มตำปูปลาร้า ข้าวเหนียว ไก่ย่าง กับลูกชิ้นทอดน้ำมันเยิ้มๆ ร้านป้ากิ่งต้องทำปากน้องพัดลมลิปสีอ่อนหวานกระจัดกระจายกระเจิงหายเข้าไปในท้องพร้อมกับอาหารเรียบร้อยแล้วแน่นอน! “เติมสิเร็วๆ อีก 100 เมตร” “ไม่มี! ไม่มีเครื่องสำอางเลย” ฉันรีบบอกเพื่อนตุ๊ดหนึ่งเดียวที่คบค้าสมาคมเป็นเพื่อนสนิทแค่คนเดียวในรั้วมหาลัยพร้อมกับทำหน้าเบะ อยากจะร้องไห้ นานๆ พี่มิกซ์จะมาที่คณะฉันสักหน นานทีปีหนยังต้องมาฝืนทนมองหน้าซีดเป็นเผือกต้มของน้องพัดลมอีกเหรอ “ไม่มี? ทำไมไม่มี?” มันทำหน้าอึ้งเพราะคนอย่างพัดลมไม่มีทางที่จะไม่มีเครื่องสำอางติดกระเป๋า “กูเอากระเป๋าไปเก็บที่รถตอนมึงไปซื้อส้มตำไงเทย” ใช่ค่ะวันนี้หอบสารพัดสิ่งของเข้าห้องเรียน พอลงมาจากห้องเรียนด้วยความรำคานฉันเลยยอมเดินไกลเพื่อเอากองหนังสือที่เป็นเหมือนยาพิษไปเก็บที่รถซะเลย แล้วก็ดันเอาทุกสิ่งอย่างเก็บไว้ที่รถหมดแล้วเรียบร้อย “โอ้ย! ทีเวลาแบบนี้ไม่รู้งาน มึงเอาพริกทาปากเลยชะนีปากจะได้เบิร์น” มันกรอกตามองบนด้วยความเอือมแต่คำแนะนำของอีเทยเพื่อนยากเป็นคำแนะนำที่น่าเอือมระอายิ่งกว่าอีก “ปากกูได้บวมพอดี ฮือ~ หมดกันพี่มิกซ์คงไม่มีโอกาสได้เห็นของดีสิ่งล้ำค่าในคณะเราแล้วล่ะ หน้ากูซีดเป็นอาซิ่มขนาดนี้กูไม่กล้าเงยหน้าสบตาเพื่อทอดสะพานให้พี่เขาหรอก” ฉันมองไปทางที่พี่เขากำลังเดินมาตาละห้อย “เหอะ! มึงจะพรรณนาทำไมพัดลมแค่เดินกลับไปเอาเครื่องสำอางที่รถก็จบแล้ว” “ขี้เกียจ” ฉันตอบมันด้วยความเซ็งแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ “โอ้ย! ถ้าขี้เกียจก็นกต่อไปค่ะ แอบเพ้อละเมอถึงพี่เขามาตั้งนาน วันนี้มึงมีโอกาสส่องประกายความเป็นเพชรในตัวแต่มึงจะปล่อยโอกาสก็เรื่องของมึง” อีเมธเบะปากใส่ฉันแล้วก็หันไปจกส้มตำต่อ พี่มิกซ์คือรุ่นพี่ปี 4 อดีตเดือนมหาลัยที่หล่อมาก~ เป็นประธานสโมสรนักศึกษาที่ฉันแอบปลื้มมาตั้งแต่อยู่ปี 2 จนเข้าปี 3 ก็ยังปลื้มไม่จบไม่สิ้น แล้วนับวันก็มีแต่จะเพิ่มความติ่งพี่เขามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ละครั้งที่ฉันจะได้พบเจอพี่เขาก็คือที่อื่นเช่น คณะของเขาที่ฉันแอบตามไปส่องแต่อันนั้นไม่นับว่าเป็นการเจอกันก็ได้เพาะฉันเจอพี่เขาคนเดียวส่วนพี่เขาไม่รู้เห็นกับการปรากฏตัวของฉันหรอก หลายครั้งก็เจอตามกิจกรรมของมหาลัยที่อืม...คนอย่างกับสงครามมดปะทะปลวก มนุษย์มากมายหลายคณะหน้าตาหลายสปีชีส์หลายชาติพันธ์มารวมกัน ไม่รู้ว่าแต่ละครั้งพี่มิกซ์จะมองเห็นสาวน้อยที่ชื่อว่าพัดลมคนนี้บ้างรึเปล่า หรือบางครั้งที่บังเอิญเจอแถวห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ มหาลัย แต่อันนี้ก็ไม่น่าจะนับว่าเป็นการเจออีกนั่นแหละเพราะบังเอิญเจอแบบเห็นแค่หลังที่เขาอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น อย่านับเลย เฮ้อ! และสถานที่ๆ ฉันเฝ้ารอว่าถ้าเราได้พบเจอกันที่ตรงนั้นฉันจะต้องแจ้งเกิดในสายตาและมุดเข้าไปอยู่ในใจของพี่มิกซ์ได้แน่นอนก็คือ... ก็คือ... ก็คือ... ก็คือ... ที่นี่จ้า! ที่แห่งนี้คือคณะของน้องพัดลมเอง คณะที่เป็นศูนย์รวมของเด็กเนิร์ดประมาณ 95 เปอร์เซ็น มีเด็ดๆ แค่ 4 เปอร์เซ็น และอีกหนึ่งเปอร์เซ็นที่เหลือก็คือสวยสะเด็ดอย่างพัดลมแค่หนึ่งเดียว ฮ่าๆๆ ฉันมั่นใจว่าวันไหนที่ลมเพลมพัดบังเอิญพัดให้พี่มิกซ์ผ่านมาที่นี่พี่เขาจะต้องจดจำฉันได้ เพราะท่ามกลางอีเด็กเนิร์ดของคณะที่เงียบอย่างกับป่าช้าเพราะสมาชิกทั้งคณะเอาแต่ก้มหน้าแข่งกันเรียนแล้วอีกอย่างหน้าตาของเด็กในคณะนี้เกิน 90 เปอร์เซ็น ก็ถูกบดบังด้วยแว่นตาหนาเท่ากระจกเครื่องบิน ยังไงซะออร่าความสวยของฉันก็ต้องแผ่กระจายแค่คนเดียวแน่นอน และพี่มิกซ์สุดที่รักก็จะตราตรึงความสวยของพัดลมจนเก็บไปเพ้อ ฮิฮิ แต่แล้วฝันนั้นก็สลายไปในพริบตาเพราะฉันเพิ่งเรียนมาราธอนมา 3 ชั่วโมงกับอาจารย์ป้าฉวี ซึ่งอาจารย์ป้าพกสายตาคมกริบมาด้วย ใครปากแดงแต่งหน้าสวยอาจารย์ป้าด่ากราดแน่นอน เวลาเรียนวิชานี้ฉันเลยต้องแต่งหน้าใสๆ แบบเด็กมัธยมต้นเข้าเรียน ซึ่งมันไม่ใช่เลยสักนิดมันผิดมากกับการแต่งลุคนี้เพราะมันทำให้พัดลมพัง! พัดลมจะปังได้ก็เพราะเมคอัพเท่านั้น T__T “มึง~ สิ่งที่กูหวังและเฝ้ารอมาแสนนาน” ฉันนั่งหงอยเหลือบตามองพี่มิกซ์เดินเข้าไปในตึกคณะของฉันเองด้วยความเสียดาย “ก็มึงขี้เกียจ ไปสิไปเติมหน้าตอนนี้ยังทันนะอีพัดลมขา เผื่อจะทันตอนที่พี่มิกซ์เขาลงมา เพราะว่าพี่เขาคงไม่แวะเวียนมาที่คณะเราบ่อยๆ หรอกนะคะต่อให้มึงเวียนว่ายตายเกิดอีก 10 ชาติพี่เขาก็อาจจะไม่มาแล้วก็ได้” “เฮ้อ! โอเคถ้างั้นกูไปก่อนมึงรอตรงนี้แป๊บเดียว” ฉันพยักหน้ารับแล้วก็สะบัดความขี้เกียจออกไป ความขี้เกียจอาจจะทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยทำอะไรแต่มันทำให้เราพลาดโอกาสได้เสนอตัวให้ว่าที่ผัว เอ๊ย! สามีดีๆ ได้นะพัดลม “จะไปไหนเหรอจ้ะพัดลมดูรีบร้อนจังเลย” “ไป...ไปไหนดีน้า~” ทันทีที่ลุกขึ้นยืนศัตรูคู่อาฆาตที่ตามจองล้างจองผลาญมาตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลก็เดินเข้ามาถามฉันด้วยหน้าตา...ตอแหลมาก~ “นี่! ฉันถามแกดีๆ อย่ามาทำท่าทางกวนประสาทนะพัดลม!” ยัยคนที่เดินหน้าลอยมาถามฉันเริ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่แค่เพราะฉันไม่ตอบคำถามมันดีๆ “โทษทีๆ ฉันแค่หยอกแกเล่นน่ะโรสอย่าหน้าหงิกหน้างอสิจ้ะ ดูซิหน้างอจนหน้าหักดั้งเบี้ยวหมดแล้ว” ฉันยิ้มอ่อนพูดเสียงหวานใส่โรสเพื่อนบ้านสุดเลิฟของฉันเอง พร้อมกับยื่นมือไปแตะหน้าชีเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “...อีพัดลม!” “จ๋า~ ว่าไงจ้ะที่รัก” “กวนประสาท! ฉันแค่เข้ามาถามแกดีๆ นะ!” หืม~ แม่อยากจะอัดคลิปการเข้ามาทักทายฉันในแต่ละครั้งของนาง ตั้งแต่กูจำความได้เนี่ยกูเห็นมึงเข้ามาทักแล้วก็หาเรื่องคอยกระแนะกระแหนตลอดเวลานั่นแหละ! คำว่าดีๆ ไม่มีจริงหรอกสำหรับโรสเพื่อนรักของพัดลม “เอ้าเหรอ? นี่เพื่อนก็เตือนเพื่อนดีๆ เหมือนกันกลัวหน้าจะหักดั้งจะเบี้ยวไปมากกว่านี้ อีก 3 เดือนเลยนะกว่าจะปิดเทอม บินไปเกาหลีแต่ละครั้งเพื่อนก็รู้ว่าเพื่อนต้องรอปิดเทอมนี่จ้ะ” “อีพัดลม!” “จ๋า~ ว่าไงจ้ะที่รัก ถ้าไม่มีอะไรนอกจากแหกปากเรียกเพื่อนว่าอีๆๆ เพื่อนก็ขอตัวเนอะ มีสิ่งที่มีสาระมากกว่านี้รอเพื่อนอยู่ บาย~” ฉันยกมือขึ้นโบกลามันเบาๆ แค่ขยับนิ้วเรียวๆ สวยๆ ของฉัน ก่อนที่จะหมุนฟลูเทิร์นใส่โรสคนสวยแล้วก็เดินจากมาทันที ใครจะบอกว่าพัดลมคนนี้พูดกับโรสเกินไปก็ไม่เป็นไรนะคะ ก็แหมนี่แค่จุดเริ่มต้นเองค่ะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่ายัยนั่นทำอะไรกับฉันไว้บ้างจะตัดสินว่าพัดลมนิสัยเสียไว้ก่อนก็ไม่เป็นไรเพราะพัดลมจะยังไม่โกรธ แต่รอดูโหมดต่างๆ ของยัยนั่นไว้ให้ดีก็พอ อ้อ! สวัสดีค่ะน้องชื่อพัดลมนะคะ อยากรู้จักพัดลมใช่ไหมคะ อยากรู้จักก็ตามอ่านเรื่อยๆ ค่ะซิส เดี๋ยวได้รู้เองว่าคนสวยรวยเสน่ห์ที่ชื่อ พัดลม เป็นคนยังไงและมีดีอะไรบ้าง ฮิฮิ
LUV My Sweet Heart
One Night Stand ระหว่างเขากับเธอเกิดจากความเต็มใจที่ไม่ได้ตั้งใจ และเขาหวังให้มันเป็น one Night Stand ตลอดไป...
Mr. Boss ยกทั้งใจให้คุณเจ้านาย
เธอรับงานที่เขาจ้างแบบงง ๆ ด้วยความไม่สมยอมด้วยซ้ำก่อนที่สุดท้ายเธอจะแอบชอบนายจ้างจนไม่อยากให้งานนี้จบลง แต่สุดท้ายงานนี้ี้ก็ต้องจบลง จบลงด้วยเหตุผลที่นายจ้างของเธอเลิกจ้างเพราะเขาไม่พอใจกับความรู้สึกของเธอ...
Mr. Fire ยัยเมดตัวร้ายกับเจ้านายสุดฮอต
- เพลิง อัคนี - ทายาทเจ้าของโรงแรมใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศ หนุ่มหล่อ เจ้าสำราญ คาสโนว่าตัวพ่อที่ชาตินี้ไม่คิดจะคบใครเป็นตัวเป็นตน ผู้หญิงสวย ๆ รอบตัวเขาถ้ายังไม่มีผัว = ของกิน ยกเว้นคนเดียวที่ต่อให้ไม่มีผัวหรือซิงไปทั้งชาติก็ไม่เคยคิดจะกิน..."ยัยบ้านนอกของแม่เขานั่นไง" - พรีม พรีรตา - เด็กสาวตัวน้อย ๆ ที่ออกจากอ้อมอกยายมาเรียนในเมืองหลวงจากการอุปการะของผู้มีพระคุณอย่างคุณหญิงป้า เหมือนบุญมีแต่กรรมบังเพราะแทนที่จะได้อยู่กับคุณหญิงป้าผู้ใจดีเธอกลับต้องมาอาศัยอยู่กับลูกชายสุดหล่อของท่าน คุณเพลิงคนนั้นที่ท่านฝากให้ดูแลเธอแลกกับการที่เธอช่วยทำงานบ้านดูแลอาหารการกินความเป็นอยู่ให้เขา แต่ใครจะรู้ว่างานหลักของเธอคือ..."เก็บถุงยางอนามัย!"
The Devil ซาตานคลั่งรัก
...วันนั้นฉันไม่ได้สนใจเธอ ไม่เลยสักนิด / ...วันนี้ฉันไม่ได้สนใจนาย ไม่เลยสักนิด ______________ หมับ~ “…” อะไร…วะเนี่ย หมับ~ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่ใช่สิแต่ต้องเน้นเลยต่างหากว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับ...ก้นฉัน! ฟรืบ~ OoO! ใคร...ใครมาลูบก้นมิ่น! ฉันยืนสั่นอยู่ในบีทีเอสประเทศไทยที่ตอนเช้าอัดแน่นกันเป็นลูกอ๊อดที่ถูกอัดอยู่ในถุงสูญญากาศ นี่แทบจะเรียกกว่าหายใจรดต้นคอไม่ได้แล้ว เรียกว่าหายใจรดรูขุมขนของเชื้อแบคทีเรียที่เกาะตามผิวหนังยังจะเห็นภาพได้ชัดกว่า! ฟรืบ~ มะ มันเริ่มลูบอีกแล้ว มาอีกแล้วค่ะ ลูบแล้วก็เริ่มนวดด้วย ฮื่อ~ ฮื่อ ๆๆ แม่จ๋าพ่อจ๋า ปู่ย่าตายายญาติสนิทมิตรสหายทุกคนช่วยมิ่นด้วย มิ่นโดนจับก้น! T^T “ชะ...” หมับ! กำลังจะร้องขอความช่วยเหลือแต่มือที่กำลังเริ่มจะบีบก้นก็ผละออก สงสัยได้แค่เสี้ยววินาทีคิดว่าโรคจิตมันตกใจเสียงฉันเลยรีบเอามือออกแต่ที่ไหนได้มีคนจับออกนี่เอง “เฮ้ย! ทำอะไร?” ขวับ! ฉันหันไปมองพลเมืองดีที่มาช่วยแต่ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่พลเมืองดี นี่มัน...เนื้อคู่ชัด ๆ -///- เนื้อคู่ไม่ได้อยู่ประตูถัดไปแต่อยู่ในโบกี้เดียวกันแถมยังมาในเวลาที่มิ่นต้องการฮีโร่ขี่ แต่ฮีโร่ของมิ่นไม่ได้ขี่ม้าขาวนะคะ ฮีโร่ของมิ่นขึ้นบีทีเอสต่างหาก หล่อ เขาหล่อมาก หน้าหล่อ เสียงหล่อ น้ำใจก็ยังหล่อ หล่อมากเลยค่ะคุณขา หล่อแบบที่มิ่นพร้อมถวายตัวให้เลย >///< “ว่าไง ทำอะไร จับก้นผู้หญิงเหรอ?” เสียงเขาดึงฉันออกจากภวังค์ความหล่อ นี่ไม่ใช่เวลามาหลงความหล่อนะขมิ้น! จับไอ้โรคจิตก่อน! ดูสิคนในโบกี้หันมามองกันเต็มเลยแกอย่าเพิ่งทำหน้าเคลิ้มหลงใหลความหล่อให้อายคนนะขมิ้น “เอ่อ...ปะ เปล่านะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” ฉันเห็นหน้าไอ้โรคจิตแล้ว หน้าตาดีนะคะแต่สันดานโคตรแย่ “ไม่ทำอะไรก็เห็นอยู่” “บ้าเหรอผมไม่ได้ทำอะไร รถแน่นคนเบียดกันขนาดนี้มันก็ต้องมีโดนกันบ้างล่ะน่า” “เหรอ? ถ้างั้นไปคุยกับตำรวจดีกว่า อาการแบบคุณผมว่าตำรวจสอบไม่นานหรอก รีบไหมครับ” เขาคุยกับไอ้โรคจิตแล้วหันมาถามฉัน อาการขมิ้นคนนี้เลิกลั่กยิ่งกว่าตอนโดนจับก้นซะอีกค่ะ “เอ่อ...ต้องรีบไปสอบค่ะ” “โทรบอกอาจารย์ เอาหลักฐานไปให้ดูแล้วขอสอบนอกรอบ” “คะ?” ก็ ก็น่าจะได้นะ มั้งนะ แต่ก็คงได้ล่ะ แต่ก็ไม่รู้จะขอได้ไหม แต่ก็คงได้แหละ “อยู่ม. A ถูกไหม?” “ค่ะ” เขาเห็นเข็มมั้งคะ มหาลัยฉันเป็นมหาวิทยาลับชื่อดังระดับต้น ๆ ของประเทศเลยนะ “คณะอะไร” “อัก อักษรศาสตร์ค่ะ” “วิชาของใคร” ถามเพื่อ? ตอบไปแล้วพี่จะรู้จักคณาจารย์ในคณะของหนูรึไงคะ ?! “ของอาจารย์ประวิทย์ค่ะ” สงสัยนะแต่ก็ยังตอบออกไป “อ่อ โอเคถ้างั้นเดี๋ยวผมจัดการให้ คุณไปโรงพักกับผมแล้วก็ไอ้นี่ก็พอนักศึกษา” ...นักศึกษา อาจารย์เหรอ? ใช่เหรอคะ? มหาลัยฉันมีอาจารย์หล่อที่ไม่ถูกบอกต่อด้วยเหรอ ไม่จริงอ่ะ... -เวลาต่อมา- “ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณหนูคงแย่” ฉันกับเขาที่ได้รู้ตอนเขาบอกตำรวจว่าชื่อ คุณปกป้อง เดินออกมาจากโรงพกพร้อมกันฉันก็ยกมือไหว้ขอบคุณเขาทันที ชื่อปกป้องแถมยังปกป้องผู้หญิงได้ดีสมชื่อ เขาเกิดมาเพื่อเป็นสุภาพุรุษแบบที่หลายคนตามหาชัด ๆ “ไม่เป็นไร คราวหลังก็ระวังตัวดี ๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกวัน ถ้าเดินอีกก็อย่ากลัวอย่าปล่อยให้มันลวนลาม โวยวายหรือไม่ก็ด่าออกมาเลย” “หนูก็อยากด่านะคะ แต่ตอนนั้นมันตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก” “ก็จำไว้เป็นบทเรียน เอาล่ะเสร็จธุระแล้วก็รีบไปสอบเถอะเดี๋ยวอาจารย์ดุ” “จริงด้วย! หนูลืมไปเลย ว่าแต่ที่คุณบอกว่าคุณจะจัดการเอง / ผมโทรบอกอาจารย์ของคุณให้แล้ว ไปเถอะไม่ต้องห่วง” ท่าทางเขาจะดูออกว่าจะถามอะไรถึงได้พูดแทรกออกมา แถมยังยิ้มให้ด้วยนะ เป็นรอยยิ้มให้กำลังใจที่ทำให้ใจมิ่นฟูมากเลยค่ะคุณขา -///- “คุณ...เป็นอาจารย์ที่มหาลัย หนูไม่เคยเห็นเลย” ก่อนที่เราจะจากกันฉันก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่สงสัย คุณปกป้องของขมิ้นก็ยิ้มอ่อนโยนให้ทันที “กำลังจะเป็น คงได้เจอกันนะ...นักศึกษา” ใช่จริง ๆ ด้วย คำว่ากำลังจะเป็นแสดงว่าเขาเป็นอาจารย์ใหม่สินะ “...ค่ะ” คงได้เจอแล้วหนูก็หวังว่าเราจะได้เจอกันบ่อย ๆ นะคะ...อาจารย์ >///< ฉันลาเขา ยกมือไหว้เขาอีกครั้ง อยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้แต่ก็ดูท่าทางเขาจะมีธุระเหมือนกันเลยไม่ได้ทิ้งคอนแท็คอะไรไว้เพื่อสานสัมพันธ์ต่อ เอาเถอะคุณเขาบอกว่ากำลังจะเป็นอาจารย์แถมยังบอกทิ้งท้ายเองว่าคงได้เจอกันนะนักศึกษา นั่นก็หมายความว่าต้องได้เจอแน่ ๆ ฉันเลยไม่ได้ทอดสะพานอะไรอีกเพราะทำอาหารไม่เก่งซะด้วยสิ อีกอย่างฉันก็ถือคติ...คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก ^^ ...ถ้าเราคู่กันสักวันอาจารย์จะเดินเข้ามาหาหนูเอง ^^ เซย์ไฮนะคะ ฉันลืมแนะนำตัวไปใช่ไหม ฉันเป็นสาวน้อยนักศึกษาอยู่ปี 2 คณะอักษรศาสตร์ชื่อ ขมิ้น ชื่อน่ารักใช่ไหมคะ ใช่ค่ะใครต่อใครก็บอกแบบนั้นเวลาได้ยินชื่อครั้งแรกหรือรู้จักกันครั้งแรก แต่พอนาน ๆ ไปทุกคนกลับเรียกฉันว่า...มิ่น อีมิ่น หรือ...อีมี้น~ ?! แต่ช่างเถอะ ชื่อนั้นสำคัญไฉนฉันเชื่อคำนี้มาเสมอเพราะต่อให้ชื่อจะน่ารักแค่ไหนแต่สุดท้ายชีวิตของฉันดันบัดซบบรมตั้งแต่ที่ได้เจอไอ้สำเพ็ง เอ๊ย! ไอ้เส็งเคร็ง ไอ้เส็งเคร็งที่หน้าตาโคตรหล่อแต่สันดานดันอุบาทว์ชาติชั่วอย่างไอ้คนที่ชื่อ...แม็คเวล
So Good เปลี่ยนรักร้ายให้กลายเป็นกู๊ด
“นั่งเพ้อ” “เพ้อสิพี่กราฟเดินผ่านไปต่อหน้าเลยนะหยี” “ไม่เดินไปกระชากมาจูบเลยล่ะคุณปั้นหยา” “ทำแบบนั้นพี่เขาก็คงจิกหัวหยาไปกระทำชำเราแล้วก็เฉดหัวทิ้งแน่นอนค่ะยาหยี” “ถ้างั้นก็เลิกเพ้อถึงพี่สุดหล่อคนนั้นแล้วก็มาตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเถอะค่ะคุณปั้นหยาคะ ต้องสอบนะคะอย่าลืม” “ค่า~” ^^ ฉันทำตามที่เพื่อนแนะนำด้วยการยิ้มอ่อนให้แล้วก็ก้มหน้าก้มตาลงไปจดจ่อสายตาอยู่ที่หนังสือเล่มหนาตรงหน้าเพราะวันพรุ่งนี้ต้องสอบ สอบ สอบ! สวัสดีค่ะฉันมีชื่อน่ารัก ๆ ว่า ปั้นหยา พ่อแม่เรียกลูกหยา ปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาเรียก หนูหยา ส่วนเพื่อน ๆ เรียก อีหยา แต่ที่เห็นเรียกคุณปั้นหยาเมื่อกี้คือการเรียกแบบดัดจริตล้วน ๆ หยาอายุ 21 ค่ะ เรียนอยู่ปี 3 ม. S มหาวิทยาลัยชื่อดังที่โคตรจะไฮโซ การสอบเข้าที่นี่ของฉันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของพ่อแม่และวงศ์ตระกูลเพราะน้องหยาคนนี้สอบชิงทุนของจังหวัดได้ และคณะที่ฉันสอบได้คือคณะแพทย์ศาสตร์ รู้ไหมคะว่าวงศ์ตระกูลของฉันภาคภูมิใจระดับไหน อย่าให้พูดเลยค่ะ เดินไปไหนก็ยิ้มหน้าบานเพราะโรงเรียนทำป้ายแสดงความยินดีพร้อมรูปนางสาวปริชญาใส่ชุดมัธยมปลายกระโปรงสูงถึงซี่โครงซี่สุดท้าย มัดผมรวบตึง ฉีกยิ้มโชว์เหล็กดัดฟันสีเขียวสะท้อนแสง ป้ายอิงค์เจ็ทขนาดพอ ๆ กับป้ายกราบลาอุปสมบทที่ติดบนเวทีอิเล็คโทนถูกติดตามสามแยกและสี่แยกใหญ่ ๆ ของตัวอำเภอทำเอาญาติโกโหติกาน้องหยาหน้าบานยิ่งกว่าจานดาวเทียมที่ลอยอยู่ในอวกาศ ส่วนพี่คนหล่อ หรือพี่กราฟ ที่หยาเพิ่งเพ้อถึงเป็นหนุ่มหล่อที่อยู่ในดวงใจของหยาตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นพี่เขาเมื่อปี 1 ตอนนั้นพี่กราฟเดินผ่านมาแถวคณะของฉันพอเจอหน้าปุ๊บศรรักมันก็ปักอกดัง ปั๊ก! ตั้งแต่วินาทีนั้นปั้นหยาก็หน้ามืดตามัวแอบชอบพี่เขา คนบ้าอะไรหน้าตาหล่ออบอุ่นแต่สายตาทำลายล้างหัวใจมาก ๆ นาน ๆ จะได้เจอแต่ทำเอาหยาเพ้อได้ตั้ง 3 ปี >///< “เออหยา อาทิตย์หน้าวันเกิดรุ่นพี่หยี รุ่นพี่ที่ชมรมอ่ะชื่อพี่กันต์ หยาไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ” “ที่ไหนอ่ะ แล้วหยาต้องเตรียมของขวัญไหม” อย่าหาว่าเสียมารยาทเลยนะคะที่ต้องถามแบบนี้ก็เพราะช่วงนี้ช็อตบัญชีติดลบเพราะเอาเงินไปรักษาหมาจรจัดแถวหอ มันโดนคนใจบาปเตะซะจนขาเดี้ยงพอพาไปหาหมอถึงได้รู้ว่ากระดูกร้าวต้องเข้าเฝือก นี่ก็ดันเป็นคนดีแถมขี้เกรงใจไม่กล้าโพสขอเปิดรับบริจาคกลัวมีดราม่า เลยควักเงินจ่ายเอง และด้วยความไม่อยากให้มีดราม่าทางสังคมก็เลยต้องยอมก้มหน้ากินมาม่าไปทั้งเดือน T_T เอาวะหยาสู้เพื่อหมาจะเป็นอะไรไป “ไม่เป็นไรแค่ไปเป็นเพื่อนก็พอ” “แต่มันจะน่าเกลียดไหมล่ะหยี ให้ไปกินฟรีทั้งที่ไม่รู้จักเนี่ย” “ไปเหอะน่า ของขวัญไม่ต้องเพราะงานนี้เจ้าของงานบอกว่าไม่รับของขวัญใด ๆ ทั้งสิ้น” “แน่นะ” “แน่สิ เตรียมแค่หน้าสวย ๆ ไปเดินเลิศ ๆ ก็พอเพราะพี่กันต์หล่อมาก เผื่อว่าจะเปลี่ยนจากพี่กราฟไปคลั่งไคล้พี่กันต์แทนไง” “ไม่มีทางค่ะยาหยีที่รัก พี่กราฟคือเดอะเบสของปั้นหยาเท่านั้นค่ะ อิอิ” “ชิส์ บ้าผู้ชาย” ยาหยีส่ายหน้าทำเอือมใส่ฉัน แต่ชินแล้วล่ะค่ะเพราะสุดท้ายคนที่คอยนั่งรับฟังความคลั่งไคล้พี่กราฟด้วยความเต็มใจก็คือยาหยีอยู่ดี อิอิ -หนึ่งอาทิตย์ต่อมา- “โห~ นี่บ้านหรือวังวะหยี” ตอนนี้เราสองคนมาหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ที่ใหญ่มากเวอร์ด้วยความตะลึงก่อนที่ยาหยีจะค่อย ๆ ขับรถแบบคลานเข้าไปข้างในเหมือนกลัวจะไปขับชนอะไรเข้าแล้วไม่มีปัญญาชดใช้ “โอ้โห! รถหรูทั้งนั้น จอดเลยยาหยี เดี๋ยวพลาดไปเฉี่ยวเข้า เดินเข้าไปดีกว่า” ฉันรีบสะกิดยาหยีให้รีบจอดรถเพราะถ้าพลาดไปสะกิดเข้าเงินค่าขนมสองคนก็ไม่พอค่าซ่อมแผลเล็ก ๆ ของรถพวกนี้แน่นอน ยาหยีก็ยอมทำตามนะคะมันก็คงกลัวเหมือนกันนั่นล่ะ เฮ้อ! รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมดน้อย ๆ สองตัวกำลังจะเดินเข้าไปในดงของเหล่าหงส์และราชสีห์ยังไงก็ไม่รู้ เราเดินเข้ามาก็เจองานเลี้ยงที่มีคนเยอะแยะมากมายจัดอยู่ที่สวยด้านหลังบ้าน บรรยากาสสบาย ๆ ทำให้พวกเราสองคนลดความเกร็งลง ยาหยีทักทายคนรู้จักที่เป็นเพื่อนในชมรมบ้างแต่อีหยานี่ไม่รู้จักใครเลยสักคน ขนาดเจ้าของงานยังไม่รู้จักเลย ^_^! “ป่ะ ไปหาเจ้าของงานกัน” ยาหยีดึงฉันให้เดินไปอีกฝั่งที่มีผู้ชายหล่อมากยืนอยู่ คนนั้นแน่เลย หล่อจริง ๆ ค่ะ “พี่กันต์” “อ้าวหยี พี่กำลังจะโทรหาพอดี กลัวว่าหยีจะหลง” “ก็เกือบหลงค่ะ ไม่คิดว่าบ้านพี่กันต์จะเป็นวังขนาดนี้ แฮปปี้เบิร์ดเดย์มีความสุขมาก ๆ นะคะ นี่เพื่อนหยีค่ะชื่อปั้นหยา” “สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ” ฉันยกมือไหว้พี่กันต์คนหล่อคนนี้ หล่อมากแต่ไม่ทำให้ใจบางเหมือนพี่กราฟของหยาหรอกนะ แต่ก็ไม่รู้สิคะพอเงยหน้าสบตาและระหว่างที่ยาหยีคุยกับพี่เขาพี่กันต์ก็ชอบหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง นี่ก็ไม่ได้โง่ด้วยสิเกิดมาดันฉลาดด้วยสวยด้วยก็เลยพอจะรู้ว่าพี่เขาสนใจ “พี่กันต์มองหยาตาเยิ้ม” พอขอตัวออกมาเพื่อให้พี่กันต์ได้ทักทายคนอื่น ๆ ต่อยาหยีก็เอาไหล่มากระแซะปั้นหยาทันที “ก็นะ เพื่อนยาหยีสวยขนาดนี้จะไม่สนได้ไง” “จ้า~ พี่กันต์นิสัยดีนะ บอกไว้ก่อนเผื่อพี่เขามาจีบจะได้ลองเปิดโอกาสตัวเอง คนนี้ยาหยีมั่นใจว่าเป็นคนดี” “ไม่เอา พ่อของลูกคือพี่กราฟ ไม่ได้พี่กราฟก็คงจะเป็นจินยอง GOT7 เท่านั้น ไม่ได้สองคนนี้ปั้นหยาจะขอโสด” “เฮ้อ~” ยาหยีถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความเอือมระอากับความเพ้อฝันของฉันแล้วก็เดินลิ่ว ๆ ไปที่โต๊ะอาหาร วันนี้เป็นปาร์ตี้ค็อกเทลเก๋ ๆ อีหยาก็เลยรีบวิ่งตามไปหยิบอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่อร่อยมากกินเป็นสิบยี่สิบสามสิบสี่สิบคำจวบจนวันเวลาผ่านพ้นไปได้ 30 นาที ตั้งแต่ยืนจ้วงอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจอาการปวดฉี่ก็มาเยือน “หยี ปวดฉี่ว่ะ” “เหรอ ไปสิ เห็นพี่กันต์บอกว่าห้องน้ำอยู่ทางโน้น” ยาหยีที่กำลังพูดคุยกับเพื่อนในชมรมหันมาคุยกับฉันที่กระซิบบอก “โอเคถ้างั้นหยีคุยไปเถอะหยาไปได้ไม่หลงหรอก ตามสบาย” “แน่นะ” “อื้อ สบายมาก” เพราะว่าไม่อยากเสียมารยาทดึงยาหยีออกมาจากการสนทนาเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่ปั้นหยาไม่ได้ตั้งใจฟังก็เลยออกมาคนเดียวดีกว่า ฉันเดินมาตามทางที่บอกแต่ที่นี่มันใหญ่ไงสุดท้ายก็หลงค่ะ หาไม่เจอ มีทางซอกแซกเยอะแยะมากมายสุดท้ายก็เลยหาไม่เจอ ห้องน้ำอยู่ไหน! ฉี่จะราดแล้วโว๊ย! แล้วดูสิยิ่งเดินหาเท่าไหร่หูก็ได้ยินเสียงเพลงมากขึ้นเท่านั้น เพลงตื๊ด ๆ ดังมาก แถมมีเสียงเหมือนดีเจพูดแข่งกับเพลงด้วย แต่พอฟังดี ๆ มันกลับไม่ได้ดังมาจากสวนที่จัดงานวันเกิดพี่กันต์ แล้วอีหยาทำยังไงล่ะคะ? ต่อมอยากรู้ว่าเพลงมัน ๆ เร้าหัวใจมันดังมาจากไหนก็ทำงานขึ้นมาสิขาก็เลยก้าวไปตามเสียงอย่างไม่มีอิดออด ฉันเดินมาเรื่อย ๆ แล้วสุดท้ายก็...คุณพระ! เหมือนจะเป็นอีกฝั่งของคฤหาสน์หลังนี้ ตรงนี้เป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ถูกเนรมิตเป็นปาร์ตี้สุดเลิศเหมือนในละครที่เคยเห็น มีดนตรี สุรา และนารีอยู่เต็มไปหมด มีคนในปาร์ตี้สระว่ายน้ำนี่เยอะมาก~ ผู้ชายหล่อหุ่นล่ำแต่งตัวสบาย ๆ แต่ก็ยังดูแพงมีคลาส ส่วนผู้หญิงก็ประชันบิกินี่อวดหุ่นสะบึ้มกันทุกคน ฮือ~ แม่โคพวกนี้ทำให้อีหยาที่แอบดูต้องก้มมองหน้าอกตัวเองด้วยความเศร้าใจ “เธอเป็นใครมายืนทำอะไรตรงนี้ ถ้ามาจากปาร์ตี้เห่ย ๆ ข้างบ้านฉันก็รีบไสหัวไปซะ!”
Mr. Brother รักร้ายพี่ชายแสนดี
(เมฆอยู่ไหนครับ) “...ผมสบายดีครับมี๊” (มี๊ถามว่าเมฆอยู่ที่ไหน) “...” (ก้อนเมฆ) “...ฝากดูแลเขาด้วย ผมรักมี๊ รักป๊า แล้วก็...รักลูกสาวมี๊กับป๊ามากนะครับ” (เมฆาอย่าคิดจะ...) ตื๊ด ๆๆๆ “...” แบบนี้ล่ะไอ้เมฆ ...แบบนี้มันดีที่สุดแล้ว ________________ ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด ...น้องผิง ติ๊ด! “ครับ” (ไม่ต้องเฝ้า) “พี่มาดื่ม” (ไปดื่มร้านอื่น อย่ามาดื่มร้านเดียวกัน) “น้องผิง พี่มาดื่มกับเพื่อน” (ดื่มกับเพื่อนแล้วนั่งจ้องผิงกับแฟนผิงทำไมคะ?) “...” ผมได้แต่กำมือตัวเองแน่นเพราะคำถามของเธอ (ผิงโตแล้วนะพี่เมฆ) “...อื้ม พี่รู้ แต่แม่เป็นห่วงพี่บังเอิญเห็นน้องผิงที่นี่พี่ก็แค่มองดูเพราะห่วงแทนแม่” (หึ! ผิงรู้ค่ะว่าแม่เป็นห่วง แต่แม่ไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวคนอื่นก็ไม่ควรยุ่งนะ) ...คนอื่น หึ! หึ ๆๆ “โอเค ถ้างั้นก็เที่ยวต่อเถอะเดี๋ยวพี่ก็กลับ” (ดีค่ะ) ติ๊ด! “...” “เป็นไร” “...เปล่า” “หึ ๆๆ กูรู้ว่าเรื่องอะไร” “ช่างเถอะ” ผมวางโทรศัพท์ลง ตัดบทแล้วดื่มต่อเงียบ ๆ มองตรงไปข้างหน้าไอ้เมฆ มองตรงไปอย่าหันไปมองทางเดิมเด็ดขาด “ไอ้เมฆ” “อืม” “มึงจะทำแบบนี้อีกนานแค่ไหน” “...”คำถามนี้ดังออกมาจากปากเพื่อนสนิท คำถามที่ทำให้ผมกำมือที่ถือแก้วแน่น “เขามีแฟน” “...อืม” “เขามีมาหลายคนแล้ว” “...พอ” “กูรู้ว่ามึงไม่อยากฟัง แต่มึงต้องฟัง” “...” ผมพยายามที่จะนิ่ง นิ่งให้ได้มากที่สุดทั้งที่ใจแทบกระอักตั้งแต่คำว่า เขามีแฟน “ไอ้เมฆ ต่อให้เขาเลิกกับคนนี้หรือคนไหนมึงก็เป็นแค่พี่ชาย” “...” “ขอโทษที่กูต้องพูดคำที่มึงไม่อยากได้ยิน แต่ถ้าไม่พูดเมื่อไหร่มึงจะหลุดออกมาวะ” “กูรู้” “ถ้ามึงรู้แล้วทำไมมึงไม่เดินออกมาสักทีวะ” “...เพราะเป็นกูไง” “อ่าส์~ กูแม่งไม่เข้าใจมึงเลย มึงเก่งทุกอย่างแต่ทำไมเรื่องนี้มึงถึงได้โง่ขนาดนี้วะ” ผมมองแก้วที่มีเหล้าสีอำพันอยู่ข้างในในขณะที่หูก็ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความหวังดีของเพื่อนรัก มองเหล้าในมืออยู่อย่างนั้น “มึงเคยรักใครไหม รักตั้งแต่เห็นวันแรกที่เห็นเขา” “ถ้างั้นกูขอถามอะไรมึงสักอย่างหน่อย” “อืม” ผมพยักหน้ารับช้า ๆ ทั้งที่ใจก็รู้ดีว่าคำถามต้องทำร้ายหัวใจของตัวผมเอง “เขาเป็นความรักของมึง แล้วมึงล่ะไอ้เมฆ...มึงเป็นอะไรสำหรับเขา?” “...” หึ! หึ ๆๆ ทั้งที่รู้ล่วงหน้าว่าคำถามจะทำให้เจ็บปวดแต่ก็ยังเจ็บปวดมากอยู่ดี ผมตั้งรับคำถามพวกนี้ไม่เคยไหวหรอก “ว่าไง มึงตอบกูได้ไหมไอ้เมฆ มึงเป็นอะไรสำหรับ... / เงา” มันยังพูดไม่จบผมก็พูดแทรกออกมา มองแก้วแล้วตอบช้า ๆ ก่อนจะหันไปมองในจุดที่ผมไม่สมควรมอง “...กูเป็นแค่เงา” แค่เงา ผมเป็นแค่เงาของคนคนหนึ่งมานานแล้ว เป็นเงาตามติดตัว แถมยังเป็นเงาตอนเที่ยงตรงที่ต้องก้มลงต่ำถึงจะพอมองเห็น แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้าของเงา...ไม่เคยคิดจะก้มมองลงมาเลย
So Sick รักษาหัวใจนายเจ้าเล่ห์
“ว่าไงคะคุณนับเงินวันนี้พอจะได้ทิปเยอะไหม” น้ำเสียงหวานปนเซ็กซี่เอ่ยถามทันทีฉันที่เดินเข้ามาในห้องพักพนักงาน “เยอะค่า เยอะมากเวอร์ค่ะพี่พิม ขนาดแค่ครึ่งคืนนะคะ” ฉันตอบกลับสาวสวยผู้ช่วยผู้จัดการผับด้วยรอยยิ้มมีความสุข ผับคนรวยนี่มันดีจริง ๆ ทิปหนักแม้กระทั่งเด็กเสิร์ฟ “แล้วไม่สนเลื่อนขั้นมาทำพีอาร์บ้างเหรอนับเงิน ทิปเยอะกว่านี้อีกนะ” เสียงเดิมยังคงพูดต่อทำให้ฉันยิ้มแหยแล้วก็ส่ายหน้ากลับไป “ไม่ไหวหรอกค่ะพี่พิม นับกินเหล้าไม่เป็น เทคแคร์ใครไม่เก่ง ยิ่งให้ไปพูดหวาน ๆ ดูแลแขกนับว่าจะกลายเป็นไล่แขกมากกว่า” “พี่เสียดายความสวยของเราจริง ๆ ถ้ามาทำรับรองฮอตที่สุดแน่นอน แต่ไม่เป็นไรเอาความสมัครใจของคนทำดีกว่าเนอะ” พี่พิมพูดด้วยรอยยิ้มแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรฉันต่อ “ขอบคุณนะคะพี่พิม” ฉันขอบคุณพี่เขาก่อนจะเดินไปจากห้องเพื่อทำงานต่อ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลค่ะ นี่เพิ่งจะเที่ยงคืนถึงจะเหลือแค่ 2 ชั่วโมงผับก็จะปิดแต่เชื่อเถอะค่ะเวลานับจากนี้นี่ล่ะคือช่วงบันเทิงขาบันเทิงสมองของเด็กเสิร์ฟอย่างฉัน อ้อลืมแนะนำตัวใช่ไหมคะ ฮายค่ะซิสฉันชื่อนับเงินนะคะ อายุ 21 ปี กำลังเรียนอยู่ปี 3 มหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง ชื่อนับเงินแต่เงินไม่ค่อยมีให้นับหรอกนะ ฮ่า ๆๆ ชีวิตฉันปากกัดตีนถีบมากเพราะอยู่แบบหัวเดียวกระเทียมลีบมาหลายปีแล้ว เหนื่อยจากการเรียนแค่ไหนก็ต้องแบกร่างมาเดินเสิร์ฟเหล้าทุกคืน ผับ บาร์ หรือที่เที่ยวอโคจรคือที่ ๆ ฉันเกลียดมาตั้งแต่เด็กเพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คนเมา แค่เห็นวงเหล้าหน้าบ้านก็เอียนเต็มทนนี่ต้องมาเจอคนเป็นร้อยเมาทุกวันเลยไม่รู้สึกประทับใจมันเท่าไหร่แต่พอโตขึ้นมามันกลับเป็นที่ ๆ ฉันต้องมาทุกวันเพราะมันคือแหล่งทำเงิน ไม่ทำก็ไม่ได้เงิน ไอ้พวกผู้ชายพอเมาแล้วมันก็แต๊ะอั๋งได้แม้กระทั่งเด็กเสิร์ฟ แม่ง! ถ้าไม่ใช่ลูกค้าจะเอาขวดเหล้าฟาดหัวให้ เรียนจบเมื่อไหร่ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำงานนี้เด็ดขาด “นับ ๆ คุณคนนั้นมาแล้วนะจ้ะ” เสียงอัญชันเพื่อนเด็กเสิร์ฟในผับเดินเข้ามากระซิบบอกฉันด้วยรอยยิ้มเพื่อบอกฉันว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีกำลังใจจะมาทำงานได้เดินทางมาถึงแล้ว “จริงดิ! ว่าแต่วันนี้มาดึกจัง แล้วโต๊ะเดิมไหมอ่ะอัญ” ฉันรีบหันไปมองหน้าอัญชันแล้วก็ถามด้วยความตื่นเต้น ผู้ชายคนนั้น แขกประจำของร้านที่หล่อมาก~ ผู้ชายคนแรกที่ปลุกความแรดในตัวนับเงิน ฮ่า ๆๆ “โต๊ะเดิมแล้วก็ซูกัสคนสวยคนเดิมค่ะคุณ” อัญชันตอบมาพร้อมเบ้ปากเบา ๆ ตอนที่พูดถึงชื่อของอีกคน ซูกัส คือพีอาร์สาวสวยเบอร์หนึ่งของผับ สวยมาก ยิ่งแต่งยิ่งสวย ซูกัสเป็นคู่แค้นของฉันเองค่ะ แต่อันที่จริงต้องบอกว่าฉันเป็นคู่แค้นของนางมากกว่า เพราะนางไม่ใช่คู่แค้นของฉัน เข้ามาทำงานวันแรกอีแม่ก็แขวะฉันแล้ว ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไปทำอะไรให้ “หล่อรวยก็ต้องเลือกอะไรที่ดีที่สุดเนอะอัญ มาเที่ยวแบบนี้ก็คงสนใจแต่คนที่สวยที่สุด ช่างเหอะไปทำงานกันดีกว่า” ฉันพูดแล้วก็ห่อเหี่ยวใจเพราะว่านับเงินแอบชอบคุณคนนั้นมาเป็นปีแล้วค่ะ แต่คนเจียมตัวก็ได้แต่เจียมตน ทนทำใจได้แต่เฝ้ามองดูเธอ เฮ้อ! “อย่าห่อเหี่ยวสิจ๊ะ ลองนับแต่งตัวบ้างซูกัสก็ซูกัสเหอะ” อัญชันยังคงพูดต่อแต่ฉันก็ทำได้แค่ส่ายหน้าพร้อมยิ้มบาง ๆ “ไม่เอาหรอก เอาเวลาแต่งตัวไปเสิร์ฟเหล้าทำงานหาเงินหาทิปดีกว่า” ฉันหันไปบอกเพื่อนพร้อมกับยิ้มจนตาหยีแล้วก็เดินไปทำงานที่ดูท่าทางคงจะวุ่นวายมากจนกว่าร้านจะปิด “คุณคริชขา เอาเครื่องดื่มเพิ่มนะคะเดี๋ยวกัสสั่งเด็กเสิร์ฟให้” ฉันเดินไปเสิร์ฟเหล้าที่โต๊ะของผู้ชายคนนั้นซึ่งเพื่อนเขาเป็นคนสั่งแต่กลับไปยินเสียงยัยซูกัสคนสวยพูดหวาน ๆ แต่ดันเน้นคำว่าเด็กเสิร์ฟด้วยน้ำเสียงดูถูก ซึ่งแน่นอนค่ะต่อให้ตอนนี้ถ้าฉันเมาเหมือนหมาก็มีสติรับรู้ได้ว่านางพูดแขวะฉัน “...” เห็นกูเงียบ ๆ จะฟาดคำอะไรใส่ก็ได้งั้นเหรอมึง... “อื้ม สั่งมาเลยครับ” คุณคริช เทพบุตรหวานใจในมโนของฉันตอบกลับซูกัสด้วยน้ำเสียงทุ้ม หล่อ แบด ที่ทำให้ฉันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งที่เขาไม่ได้พูดกับฉันแต่ฉันก็ยังใจสั่นแล้วถ้าเขาพูดกับฉันฉันว่าฉันระทวยลงไปกองได้เลยนะคะ คนบ้าอะไรคาริสม่าแรงมาก “นี่! เอาออนเดอะร็อคมาเสิร์ฟด้วย เร็ว ๆ ล่ะ” เสียงสำเนียงที่แตกต่างจากการคุยกับบุรุษเมื่อ 0.001 วินาทีเมื่อกี้หันมาพูดกับฉันประหนึ่งว่าแม่นางเป็นแขกโคตรซุปเปอร์วีไอพีของร้าน “ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับแล้วก็ถอยออกมา เหอะ! ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในหน้าที่แล้วโดนพูดจาด้วยน้ำเสียงสันขวานแบบนี้นับเงินคนนี้จะเอาถาดเหล้าฟาดลงไปกลางหน้าให้โบท็อกสะเทือนเลย! #NUB NGERN END #KRICH TALK “สวยว่ะ” ไอ้แทนหรือแทนคุณเพื่อนสนิทที่สนิทกันแค่ในวงเหล้าของผมหันมาคุยกับผมในทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปแล้ว “เหรอวะ” ผมแกล้งหันไปถามมันด้วยน้ำเสียงกวนตีน แต่ต้องยอมรับว่ามากี่ครั้งพอเห็นพนักงานเสิร์ฟที่หน้าสดแต่สวยโคตร ๆ คนนี้ทีไรผมอยากจะลากเธอขึ้นเตียงทุกครั้ง “เสียดายแค่เสิร์ฟ ถ้ามานั่งกูจะให้ 50 ดื่มตั้งแต่แรกเลยว่ะ” มันยังคงพูดต่อไม่หยุดแถมมองตามเธอคนนั้นโดยที่ไม่ได้เกรงใจน้องคนสวยที่นั่งข้างมันเลยสักนิด มันให้น้องเขาแค่ 10 ดื่มอยู่เลยแต่พูดว่าจะให้คนอื่น 50 ดื่มต่อหน้าต่อตา เลวฉิบหาย “ให้น้องเขาไปมีอนาคตเถอะไอ้ห่า” ผมพูดกับมันแค่สั้น ๆ แล้วก็ยกเหล้าขึ้นกระดกหมดแก้ว วันนี้มีเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจเลยกะจะเมาให้เต็มที่ “มึงอย่าเมาหนักไอ้คริช กูขี้เกียจแบกกลับ” มันหันมาบอกผมแล้วก็เบนสายตาไปทางน้องคนสวยที่นั่งข้างมัน “กูกลับเองได้น่า มึงจะไปกดสาวที่ไหนก็ไปเถอะ” ผมบอกมันแล้วก็หันไปคุยกับน้องซูกัสต่อ ผู้หญิงคนนี้อ้อนเก่ง รู้หน้าที่ไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่ผมก็เลยชอบเรียกมานั่งด้วยเป็นประจำ “ออนเดอะร็อคค่ะ” ผมกำลังนั่งคุยกับซูกัสเพลิน ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่มพร้อมกับมองสบตากับผมเล็กน้อยแล้วก็รีบหลบสายตาด้วยความเขิน ซึ่งผมเจอปฏิกิริยาแบบนี้จากเธอหลายครั้ง ไม่ต้องฉลาดกูก็ดูออกครับว่าเธอคิดยังไง เด็กน้อยใสซื่อแอบชอบผู้ชายแต่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา เธอเป็นแบบนั้นนั่นแหละครับผมดูออก และถึงแม้ว่าเธอจะดูน่ากินแค่ไหนแต่พอเห็นแววตาใสซื่อของเธอผมก็เปลี่ยนใจไม่เข้าไปวอแวทุกครั้ง แค่เห็นเธอมาทำงานเสิร์ฟโดยที่ไม่สนใจว่าตัวเองสวยจนสามารถเป็นนางแบบหรือพริตตี้ที่หาเงินได้มากกว่าการเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มเป็นร้อยเท่าได้ผมก็ยิ่งไม่อยากไปทำให้เสียเด็ก ท่าทางคงเป็นเด็กดีอยู่พอสมควรแต่คงมาหารายได้พิเศษเท่านั้น เพราะฉะนั้นปล่อยน้องเขาไปดีกว่าครับ อนาคตที่สดใสอาจจะรอน้องเขาอยู่ “น้องคนเมื่อกี้หน้าตาเขาก็สวยนะซูกัสทำไมเขาถึงทำแค่งานเสิร์ฟล่ะ” ผมถามซูกัสในสิ่งที่สงสัยมานาน เพราะขนาดหน้าสดยังสวยถ้าลองได้แต่งตัวดี ๆ คงแซงซูกัสแบบไม่เห็นฝุ่น แต่ทำไมคนสวย ๆ ที่สวยธรรมชาติขนาดนี้ถึงได้มายอมเดินเสิร์ฟเหล้าทั้งคืนแบบนี้วะ “พี่คริชไม่รู้เหรอคะว่าคนที่น่าสนใจถ้าทำตัวให้ตัวเองเข้าถึงยาก แต่ก็ยังตัวธรรมดาเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีคนสนใจมากขึ้น” ซูกัสมองตามหลังผู้หญิงคนนั้นก่อนที่จะหันมาบอกผมด้วยรอยยิ้มเหยียด “ยังไง?” ผมมองซูกัสด้วยความสงสัย มันก็พอจะเข้าใจนั่นแหละครับ แต่ผมไม่อยากคิดไปเอง ซูกัสมองหน้าผมนิดหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดออกมาช้า ๆ “ก็...ยิ่งยากก็ยิ่งแพงไงคะ”
Mr. Cruel ร้ายรัก
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอเลย ไม่เลยจนกระทั่งถึงวันที่ไม่มีเธออยู่ในชีวิตแล้ว...
Love Sick
“หวาย” “ว่า” “วันนี้ไม่ได้ไปด้วยนะ” “เพราะ?” “มีนัด” “กับใคร?” ไม้หวายหันไปถามเพื่อนสนิทด้วยความสงสัยเพราะเธอกับมายานัดกันไว้ตั้งแต่เมื่อสามวันที่แล้ว “เออน่า” “มายาแกจะเบี้ยวฉันแล้วไปกับผู้ชายอีกแล้วเหรอ” “อีกแล้วอะไรกันล่ะ” “เหอะ! ให้มันได้อย่างนี้สิ” “เอาน่า ผู้ชายคนนี้งานดีมากเข้าใจเพื่อนหน่อย” “แล้วฉันก็ต้องไปคนเดียวทั้งที่นัดกันไว้แล้วนี่นะ” ไม้หวายกรอกตาใส่เพื่อนสนิทที่เอาแต่ยิ้มให้เธอ “เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก” “อือ ตามสบายเลย” เธอตอบกลับด้วยความเซ็ง ไม่ใช่ว่าอยากได้ขนมแต่เพราะรู้ว่าต่อให้พูดยังไงเพื่อนสนิทอย่างมายาก็ไม่ไปตามนัดของเธอแน่นอน “น่ารักที่สุด” “ได้แค่น่ารักไงไม่สวยเท่ามายาเลยไม่มีผู้เข้ามาให้เทเพื่อนบ้าง” “ฮ่า ๆๆ ไม่เอา ๆ ไม่กัดเพื่อน อุ้ย! ผู้ชายใกล้มาถึงแล้วฉันไปก่อนนะแก” “ขอติดรถไปลงหน้ามอได้ไหม” “ไม่ได้จ้ะเพื่อน” “ทำไมอ่ะ” “ไม่ได้ก็คือไม่ได้จ้ะเพื่อนรัก ขอโทษน้าแต่ไม่ได้จริง ๆ เพื่อนไปก่อนนะหวาย จุ๊บ~” มายายิ้มหวานให้เธอแล้วส่งจูบก่อนจะรีบปรี่ออกไปด้านหน้าคณะทิ้งให้ไม้หวายอยู่กับความเซ็งและติดอยู่กับความสงสัย สงสัยว่าทำไมมายาถึงได้ไม่เคยให้เธอได้ทำความรู้จักกับผู้ชายของเธอเลยสักครั้งไม่ว่าจะคบกับใครก็ตาม “ช่างเถอะ” ไม้หวายสลัดความคิดทิ้งก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากคณะเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่หน้ามหาวิทยาลัย ปริ๊น ๆ ปริ๊น ๆ “หวาย” “อ้าวพี่ลุค สวัสดีค่ะ” “เราจะไปไหน” “กำลังจะกลับค่ะ” “ขึ้นมาสิเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่เป็นไรค่ะพี่ลุค” “มาเร็ว” “จะดีเหรอคะ” เธอถามด้วยความเกรงใจ อีกอย่างตรงที่เธอยืนอยู่ก็ยังอยู่ไม่ไกลหน้าคณะซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่กับการขึ้นรถของพี่ลุค รุ่นพี่ปีสี่ที่ทั้งหล่อ รวย ฮอต เป็นที่หมายตาของสาว ๆ เกินครึ่งคณะ “มาเถอะน่า” “โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ลุค” ไม้หวายรีบขึ้นรถหรูของเขาก่อนที่ลุคจะขับรถออกไป “เพื่อนไปไหนล่ะทำไมเดินกลับคนเดียว” “ไปทำธุระค่ะ” ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเอาเรื่องส่วนตัวของเพื่อนมาพูดให้ใครฟังไม้หวายจึงเลือกที่จะตอบกว้าง ๆ เข้าไว้ “อื้ม” “พี่ลุคกำลังจะกลับเหรอคะ” “เปล่า พี่จะไปทำธุระให้ไอ้ชาร์ล” ลุคเอ่ยถึงเพื่อนสนิทของตัวเองที่เป็นหนึ่งในผู้ชายเพอร์เฟ็คที่สาว ๆ ทั้งในคณะและต่างคณะต่างก็อยากได้เขาเป็นแฟนกันทั้งนั้น “อ่อ” “แล้วนี่เราจะกลับห้องเลยใช่ไหม” “เปล่าค่ะ หวายจะไปซื้อของน่ะค่ะพี่ลุค” ไม้หวายตอบตามความจริง เธอจะไปซื้อของมาทำงานกลุ่มแต่เพื่อนในกลุ่มของเธออย่างมายาดันเบี้ยวนัดไม่ไปด้วยทำให้เธอต้องไปคนเดียว “ซื้อของใช้เหรอ” “ของทำงานกลุ่มค่ะ” “ไปคนเดียว?” “ค่ะ” เธอพยักหน้ารับเขาที่ถามด้วยสีหน้าฉงน “แล้วเพื่อนในกลุ่มไปไหนหมด หรือว่าไปเจอกันที่ร้าน” “เพื่อนไม่ว่างน่ะค่ะหวายเลยอาสาไปซื้อเอง” เธอยิ้มตอบเขาด้วยความสดใส ถึงจะเซ็งอยู่บ้างที่เพื่อนไม่ไปด้วยแต่จะเซ็งต่อไปก็เปล่าประโยชน์ “ของเยอะรึเปล่า” “นิดหน่อยค่ะ” “ซื้อที่ไหนล่ะ” “ร้าน XXX ค่ะ” เขาถามอะไรมาเธอก็ตอบอย่างไม่คิดอะไร “ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ใช่ไหม” “ค่ะ ไม่ไกลหวายเลยไปเอง” “แต่ยังไงงานกลุ่มก็ไม่สมควรไปซื้อคนเดียวจริงไหม” “ก็...ค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวตอนทำงานก็ช่วยกันทำเหมือนเดิม” “เดี๋ยวพี่พาไปแล้วกันไปคนเดียวลำบาก” “ไม่เป็นไรค่ะพี่ลุคหวายไปได้ค่ะ” “เถอะน่า พี่ว่าง” “เมื่อกี้เพิ่งบอกจะไปทำธุระให้พี่ชาร์ลไม่ใช่เหรอคะ” “อื้ม แต่ไม่ได้รีบอะไร” “อย่าเลยค่ะหวายเกรงใจนั่งแท็กซี่ไปแป๊บเดียวค่ะพี่ลุค” “ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่กำลังอยากขับรถเล่นอยากหาอะไรทำพอดี” “แต่... / นั่งเงียบ ๆ ก็พอไม้หวาย” เธอกำลังจะปฏิเสธอีกครั้งแต่เขาก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดุนิดหน่อยทำให้ไม้หวายยอมเงียบเพราะรู้ว่าคงปฏิเสธไม่ได้ถ้าเขาต้องการจะพาไป -เวลาต่อมา- “ของโคตรเยอะถ้ามาเองจะหอบขึ้นแท็กซี่ยังไง” “แหะ ๆ ขอบคุณนะคะ” เธอหัวเราะแผ่วเบาด้วยท่าทางเก้อเขินหลังจากที่เขายกของขึ้นรถแล้วหันมาพูดด้วยประโยคเมื่อครู่นี้ “ไม่เป็นไร ต้องซื้ออะไรอีกไหม” “ไม่แล้วค่ะ” “โอเคถ้างั้นพี่ไปส่งที่หอเลยนะ” “ค่ะ” ไม้หวายยิ้มรับก่อนที่ทั้งสองคนจะขึ้นรถแล้วขับตรงไปที่หอพักของเธอ ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด ...ชาร์ล ไม้หวายรับรู้ว่าใครโทรหาลุคจากการมองหน้าจอของรถยนต์ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ทำให้เธอเลือกที่จะนั่งเงียบเพื่อให้เขาได้คุยธุระ ติ๊ด! (เมื่อไหร่มึงจะมาวะ!) เสียงที่ดังจากปลายสายบ่งบอกอารมณ์ของคนพูดได้ดีว่ากำลังหงุดหงิดมากแค่ไหน “เออกำลังจะไป รอก่อน” (รอเหี้ยไร มึงรีบมาเดี๋ยวนี้ไอ้ลุคไม่งั้นกูได้ฆ่าผู้หญิงคนนี้ตายก่อนยัยนี่จะฆ่าตัวตายเองแน่!) “เออ ๆ บอกว่ารอก่อนไงวะ” (กูจะฆ่ายัยนี่ให้ตาย มึงรอมาเก็บศพแทนแล้วกัน) “อ่าส์! กูกำลังรีบไป” ติ๊ด! “พี่ต้องเปลี่ยนเส้นทางระทันหันนะหวาย” “เอ่อ...ค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวหวายลงข้างหน้าก็ได้ค่ะ” “ไปด้วยกันนี่แหละ เสร็จธุระเดี๋ยวพี่ไปส่ง ที่ ๆ พี่จะไปอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้” ลุคบอกเธอจบก็เพิ่มความเร็วของรถยนต์ขึ้นทันทีส่วนไม้หวายก็กล้าพูดอะไรต่อเพราะเธอตกใจตั้งแต่ที่ได้ยินประโยคนั้นของเพื่อนเขาแล้ว (รอเหี้ยไร มึงรีบมาเดี๋ยวนี้ไอ้ลุคไม่งั้นกูได้ฆ่าผู้หญิงคนนี้ตายก่อนยัยนี่จะฆ่าตัวตายเองแน่!) เธอไม่เคยคุยพี่ชาร์ลคนนั้นหรอกมีแค่พี่ลุคคนนี้เท่านั้นที่เธอมีโอกาสได้คุยบ้างเพราะบุคลิคที่เข้าถึงง่ายของเขาแตกต่างจากเพื่อนของเขาที่แค่มองหน้าก็เหมือนจะฆ่าคนให้ตายคนนั้นพอได้ยินเขาพูดประโยคนั้นออกมาเลยทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว “พี่ลุคคะ” หลังจากปล่อยให้บรรยากาศในรถเงียบอยู่พักหนึ่งไม้หวายก็ตัดสินใจเรียกคนข้าง ๆ “ครับ” “เหมือนจะมีธุระสำคัญ ให้หวายไปด้วยจะไม่เป็นไรเหรอคะ” “ก็...ไม่เป็นไรหรอก พี่รีบของเราก็เยอะจะให้กลับเองได้ไง ไม่เป็นไรหรอกอย่าคิดมากเลยใกล้ถึงแล้ว เคลียร์ธุระเสร็จเดี๋ยวพี่ไปส่งนะ” “ค่ะ” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อไม่กล้าพูดมากเพราะเกรงใจเขาด้วยทำให้เธอเลือกที่จะเงียบจนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีลุคก็พาไม้หวายเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง “ไปครับ” “คะ?” “ลงรถไงถึงแล้ว” “ค่ะ ๆ” เธอรีบลงรถตามที่เขาบอกเพราะดูเขาเองก็รีบพอตัวจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นส่วนเธอก็ยืนรออยู่ข้างนอกไม่ได้เดินตามเข้าไป “พี่ลุคมาทำไม!” เสียงที่ดังออกมาจากข้างในบ้านทำให้เธอที่ยืนอยู่ข้างนอกตกใจนิดหน่อย ดูเหมือนข้างในจะมีปัญหาใหญ่ที่เธอก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเพราะเป็นคนนอก และด้วยความที่เป็นคนนอกก็ยิ่งทำให้เธอลำบากใจที่จะยืนอยู่แถวนี้เช่นกัน “เฮ้อ! มาทำอะไรที่นี่นะหวายเอ้ย” ไม้หวายพึมพำกับตัวเองแล้วพยายามมองหาที่นั่งแต่มันดันไม่มีนี่สิ “กลับได้แล้วพิม” “ไม่! พิมยังคุยกับพี่ชาร์ลไม่รู้เรื่องเลย!” “คุยห่าอะไรอีกวะ” “คุยเรื่องเด็กในท้องพิมนี่ไงยังจะถามอีกเหรอว่าคุยเรื่องอะไร!” ไม้หวายตกใจมากกว่าเดิมกับสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่ได้ตั้งใจฟังแต่เพราะคนในบ้านคุยกันเสียงดังออกมาข้างนอกให้เธอได้ยินเอง “ฉันไม่ได้ทำเธอท้อง” “ไม่ได้ทำพิมท้องแล้วหมาที่ไหนมันทำในเมื่อพิมนอนกับพี่ชาร์ลคนเดียว!” “จะไปรู้เหรอวะ!” “เฮ้ยไอ้ชาร์ลมึงใจเย็น” “เย็นเหี้ยไรยัยนี่นอนกับกูสามครั้งกูใส่ถุงทุกครั้งจะมาท้องกับกูได้ยังไง!” “มันก็แตกได้ไหมพี่ชาร์ล! ปัดความรับผิดชอบเอาแต่ได้ ตกลงจะไม่รับผิดชอบพิมกับลูกใช่ไหม!” “เออ!” “ได้! ถ้าพี่ชาร์ลไม่รับผิดชอบพิมจะฆ่าตัวตาย!” “เออ! ตาย ๆ ไปเลยเรื่องของเธอ!” “เฮ้ย ๆ พอ ๆ กูว่าไปกันใหญ่แล้ว เอางี้พิมพี่ว่าคุยตอนนี้ก็มีแต่แรงใส่กันให้ไอ้ชาร์ลมันไปสงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่านะ” “แล้วพิมล่ะ! พิมจะอยู่ยังไงระหว่างที่พี่ชาร์ลไปสงบสติอารมณ์! คนทำแค่อารมณ์เสียแต่คนท้องมันจะตายอยู่แล้วนะพี่ลุค ฮื่อ ๆๆ” “ไม่เป็นไรเดี๋ยวคุยกับพี่ก่อน มีอะไรระบายกับพี่ ยิ่งดันทุรังคุยกับมันตอนนี้ยิ่งพังกว่าเดิมนะพิม” “แต่พิม... / เชื่อพี่ คุยตอนนี้ยิ่งพังก็เห็นอยู่ว่าไอ้ชาร์ลไม่ได้แคร์อะไร” “ฮึก! ก็ได้ค่ะ” “โอเค ถ้างันพิ้มรออยู่ตรงนี้ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรนั่งอยู่เฉย ๆ เดี๋ยวพี่มา ถ้าอยากให้เรื่องมันดีขึ้นอย่าวู่วามเด็ดขาดนะพิม” “ค่ะ ฮื่อ ๆๆ” “มึงมานี่ไอ้ชาร์ล” ลุคดึงเพื่อนสนิทของตัวเองออกมานอกบ้าน ทันทีที่เดินออกมาข้างนอกก็ทำให้ไม้หวายสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวทันทีที่เห็นสายตาเกรี้ยวกราดที่มองมาที่เธอ “...มึงพาเด็กในคณะมาทำไม?” “เอ่อ...” ไม้หวายรู้สึกเสียวสันหลังกับน้ำเสียงและสายตาที่ดูไม่พอใจกับการมีเธออยู่ที่นี่ของเขาทำให้เธออึกอักออกมาในทันที “ก็มึงเร่งกูจะให้ทำยังไงวะกูกำลังจะไปส่งน้องที่หอพอดีจะไปส่งก่อนก็กลัวไม่ทัน ช่างเถอะน่ากูว่าตอนนี้มึงกลับก่อนดีกว่าเดี๋ยวกูเคลียร์ทางนี้เอง” “อืม เคลียร์ไปเลยกูรำคาญ แต่ถ้าเคลียร์ไม่ได้ก็ปล่อยให้ตายอย่างที่อยากตายไปเลย” ชาร์ลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้เยื่อใยก่อนจะหันหลังเดินไปทันที “เดี๋ยวก่อนไอ้ชาร์ล” “อะไร” “กูคงต้องเคลียร์อีกนานฝากไม้หวายกลับกับมึงก่อน” “เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะพี่ลุคเดี๋ยวหวายกลับแท็กซี่ก็ได้ค่ะ” “ไม่ได้ พี่บังคับเรามาจะให้เรากลับเองได้ยังไงของเราก็เยอะ กูเคลียร์ธุระให้มึงมึงก็เคลียร์ธุระให้กูบ้าง พาไม้หวายไปส่งที่หอเอารถกูไปเพราะของน้องอยู่หลังรถกูเยอะ” ลุคพูดจบก็ยื่นกุญแจรถไปข้างหน้าเพื่อให้ชาร์ลมาหยิบมัน “...ยุ่งยากว่ะ” เขาพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเดินมาแลกกุญแจรถกับเพื่อนสนิทด้วยท่าทางที่ดูไม่น่าเข้าใกล้ที่สุดในความรู้สึกของไม้หวาย “กลับกับมันนะไม้หวาย พี่ขอโทษจริง ๆ ที่ไปส่งด้วยตัวเองไม่ได้” “...ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะพี่ลุค” ไม้หวายรับคำด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความจริงเธอยากกลับเองมากกว่าแต่ด้วยอารมณ์ของชาร์ลในตอนนี้ทำให้เธอไม่กล้าพูดอะไร “มาสักที” เสียงดุดันเอ่ยขึ้นทำให้สองขาเรียวต้องรีบเดินไปที่รถของลุคก่อนจะรีบขึ้นรถด้วยความลนลานแต่ยังไม่ทนที่เธอจะได้คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยรถหรูคันนี้ก็ถูกคนขับเหยียบคันเร่งเต็มแรงจนรถกระชากและมันก็ทำให้ไม้หวายอกสั่นขวัญหาย จากที่กลัวอยู่แล้วก็ยิ่งกลัวมากขึ้นหลายเท่าตัว บรรยายกาศในรถมีแต่ความเงียบไม่มีสักวินาทีที่ไม้หวายจะไม่เกร็ง แม้แต่การหายใจเข้าออกของตัวเองเธอก็ยังรู้สึกเกร็งต้องค่อย ๆ หายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนเขาที่เธอไม่ได้สนิทด้วยแม้แต่นิดเดียวต่อให้เขาจะเป็นพี่รหัสของเพื่อนสนิทเธอก็ตาม “ชื่ออะไรนะ” เสียงเย็นชาที่เอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงทำไม้หวายสติแทบหลุด “คะ” “เธอชื่ออะไร” เขาถามอีกครั้งโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าเธอแม้แต่นิดเดียวเอาแต่จ้องมองไปที่ถนนด้วยใบหน้าถมึงทึง “หวะ...หวายค่ะ” “อืม” เขาตอบรับแค่นั้นบรรยากาศโดยรอบก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งและมันยิ่งทำให้ไม้หวายทำตัวไม่ถูก แม้แต่มือไม้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหนดี “อย่าไปพูดเรื่องนั้นให้ใครฟัง” “...ค่ะ” เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบไม่ใช่เพราะจะไม่รับปากแต่เป็นเพราะเธอรู้สึกหวาดกลัวน้ำเสียงเย็นยะเยือกของเขาต่างหากเลยทำให้เธอขยับปากได้ช้า “รับปากแล้วก็ทำให้ได้ ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป...เธอตาย”
Love Secret
“พี่ไปหลายปีจะไม่ดื้อใช่ไหม” “เอยเคยดื้อด้วยเหรอคะ” “ก็ไม่ แต่ไม่เคยก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ดื้อ” “ไม่เคยก็ไม่ได้แปลว่าวันหนึ่งจะต้องเคยนี่คะ” เธอตอบโต้เขากลับด้วยคำพูดแสนฉลาดที่มาพร้อมกับเสียงน่ารักปนหวาน “เข้าใจคำว่าดื้อของพี่รึเปล่าเรา” “ก็...เข้าใจสิคะ” ขวัญเอยตอบคนที่มองหน้าเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง เข้าใจสิแต่เธอขอแค่อย่าพูดให้ตรงประเด็นมากเกินไปก็พอเพราะเธอคงอายเกินกว่าที่จะคุยกับเขาได้ เหมือนอย่างตอนนี้ไงที่คำพูดของเขากำลังทำให้เธออาย “เข้าใจว่า?” เขาขยับเข้ามาหาเธอนิดหน่อยแต่แค่นิดเดียวก็ใกล้กันมากแล้ว “ก็...เอยไม่ดื้อหรอกค่ะ” ขวัญเอยก้มหน้าหลบตาเขาก่อนจะตอบออกมาทำให้อีกคนยิ้มด้วยความเอ็นดูแล้วเอามือเชยคางเธอให้เงยหน้าสบตากับเขา “...” เขาจะรู้บ้างไหมว่าเธอใจเต้นแรงแทบบ้าอยู่แล้ว ยิ่งพอได้สบสายตาอบอุ่นของเขาเธอก็มือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันที “แค่สี่ปี รอพี่ก่อนนะเอย” “...” เธอทำได้แค่ฟังและมองเขาเท่านั้นแต่เธอพูดอะไรไม่ออกเลยเพราะนอกจากความเขินอายก็มีความรู้สึกกังวลมากมายในใจเกิดขึ้น “รอพี่นะเอยอย่าไปไหน รับปากพี่ได้ไหม” “แต่...” “พี่คุยกับผู้ใหญ่แล้วแค่พี่เรียนจบแค่นั้น ไม่มีใครไม่เอ็นดูเอยเลยนะ” มือที่เคยเชยคางขยับมาประคองแก้มของเธอช้า ๆ ยิ่งทำให้ขวัญเอยมีอาการมือไม้อ่อนแรงมากกว่าเดิม “...” “พี่รู้ว่าเอยกังวลเรื่องอะไร ไม่มีอะไรต้องกังวลรู้ไหม ขอแค่เราสองคนตั้งใจเรียนแล้วถึงวันนั้นพอเรากลับมาเจอกันทุกอย่างมันจะดี เอยเชื่อใจพี่ได้ไหม” “...ค่ะ ตั้งใจเรียนนะคะ” เธออยากรับปากเขาแต่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยพูดออกมาได้เท่านี้แต่เขาก็รู้ว่านั่นคือการตอบตกลงถึงได้ยิ้มแล้วขยับใบหน้าหล่อที่ใครต่อใครก็หลงใหลไปใกล้โดยที่ขวัญเอยทำได้แค่ยืนนิ่งเหมือนถูกสะกดไว้ ฟอด~ “...” “พี่จะไม่มีใคร รอพี่กลับมานะเอย” เสียงอบอุ่นของเด็กหนุ่มที่กำลังจะก้าวเข้าสู้การเป็นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นแผ่วเบาหลังจากจูบหน้าผากของสาวน้อยที่เขาหลงรักมานาน จูบมัดจำเอาไว้ก่อนแล้วอีกสี่ปีข้างหน้าเมื่อถึงเวลาเขาค่อยกลับมาทำในสิ่งที่เขาต้องการทำ -เวลาต่อมา- “ขอบใจมึงมากนะที่มา” เจ้าของปาร์ตี้ในคืนนี้เอ่ยขึ้นในระหว่างที่แขกในปาร์ตี้เลี้ยงส่งของเขากำลังสนุกสนานกันอยู่ “ขอบคุณทำห่าไรกูไม่ได้ลำบาก แค่กระโดดข้ามรั้วมาก็ถึง” “กูก็แค่ขอบคุณตามมารยาทมึงจะพูดขัดทำไมวะ” “หึ ๆๆ เออ เดินทางปลอดภัยตั้งใจเรียน ฟันสาวเมกาเยอะ ๆ เผื่อกูด้วยแล้วกัน” “ไม่มีทาง” “ไม่เผื่อ?” “ไม่ฟันสิวะ” “กูไม่เชื่อมึง” “กูไม่ใช่มึง พอ ๆๆ เลิกพูดเรื่องทะลึ่งสงสารเอยบ้าง” “สงสารเอยหรือกลัวเอยได้ยินว่ามึงจะไปทำอะไรกันแน่วะ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเล่ห์ซึ่งแน่นอนว่าคนฟังรู้ว่าเพื่อนของเขาแถมยังเป็นเพื่อนบ้านแค่แกล้งเล่นเท่านั้น “พอเลยมึงน้องยังเด็ก อย่าไปฟังมันล่ะเอย” “ค่ะ” ขวัญเอยรับคำสั้น ๆ แล้วยิ้มเพราะเธอรู้ว่าพี่ชายข้างบ้านแค่พูดเล่นไปงั้น “หึ ๆๆ ระวังมันหอบสาวเมกากลับมาบ้านนะเด็กน้อย” “เอยว่าถ้าหอบมาน่าจะหอบมาฝากคนอื่นมากกว่า...สักโหลจะพอรึเปล่าคะ” “...” อีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรกลับแค่ยิ้มให้เธอเท่านั้นก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แล้วจากนั้นทุกคนในวงสนทนาก็สนุกสนานกับปาร์ตี้คืนนี้จนเมามาย จะมีก็แค่ขวัญเอยเท่านั้นที่ไม่เมาเพราะเธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดและไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ -เวลาต่อมา- แอด~ “...ใครคะ?” “...” “เอยถามว่าใคร!” หมับ! “ว้าย! ปล่อยนะ! อื้อ! อื้อ!!” แคว๊ก! “อื้อ!!!” -สี่ปีต่อมา- “พี่เอยสวยจัง” “ขอบใจจ้า” “หนูพูดจริง ๆ นะคะ พี่เอยสวยมาก ๆ เป็นไอดอลความสวยของหนูเลย” “ฮ่า ๆๆ พี่รู้แล้วเด็กน้อย ขอบใจนะจ้ะ แล้วนี่จะกลับรึยัง” “พี่เอยจะกลับแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูก็กลับแล้วล่ะค่ะแต่รอแฟนซ้อมบาสกับชมรมก่อน” “โอเค ถ้างั้นพี่กลับก่อนนะ” “ค่ะพี่เอย สวัสดีค่ะ” “จ้า เจอกันวันจันทร์นะจ้ะ” “ค่ะ” รุ่นน้องที่ฉันมาช่วยงานกิจกรรมโบกมือลาฉันก็โบกลาเหมือนกันแล้วเดินออกจากคณะ วันนี้วันศุกร์เดี๋ยวต้องกลับบ้านค่ะ ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด ...พี่ลุค “...” ติ๊ด! “ค่ะพี่ลุค” “อยู่ไหนแล้วเรา” “กำลังออกจากคณะค่ะ พี่ลุคมาถึงแล้วเหรอคะ” “อื้ม พี่กำลังเลี้ยวเข้ามหาลัยเอย รอพี่หน้าคณะเลยนะ” “ได้ค่ะ ไม่ต้องรีบนะคะ” “โอเค” ติ๊ด! พี่ลุคพี่ชายข้างบ้านที่เรียนอยู่มหาลัยใกล้ ๆ กันจะแวะมารับฉันกลับบ้านในเย็นวันศุกร์เสมอตั้งแต่ฉันเรียนปีหนึ่งจนตอนนี้อยู่ปีสามแล้ว แต่ปีหน้าพี่เขาเรียนจบฉันคงต้องเดินทางเอง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ ปัญหามันอยู่ที่ปีหน้าคนไกลก็จะเรียนจบแล้วกลับมาเหมือนกัน คนไกลที่ฉัน...แทบจะไม่ได้ติดต่อเขาเลย บรื๊น! บรื๊น!! เสียงสปอร์ตคาร์คันหรูดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ข้างฉันซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครและไม่มีใครมองมาด้วยความแปลกใจหรอกในเมื่อคนที่นี่เห็นจนชินตาแล้ว “สวัสดีค่ะพี่ลุค” “ไงเราเรียนเป็นไงบ้าง” “หนักมากค่ะ หนักสุด ๆ” ฉันบอกพี่ลุคแล้วก็ทำหน้าเหนื่อยตบท้ายไปด้วย “หึ ๆๆ เด็กเก่งแบบขวัญเอยบ่นว่าเหนื่อยเพราะเรียนแล้วคนอื่นจะเป็นยังไง” “เอยก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นนี่คะมันก็ต้องมีบ่นกันบ้าง” “ถ้างั้นพี่พาไปหาอะไรอร่อย ๆ กินให้หายเหนื่อยดีไหม” “อืม...” “เลือกร้านเลยไม่ต้องคิด” พี่ลุคพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้ทันฉันเลยฉีกยิ้มใส่ “ไม่เลือกได้ไหมคะ” “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าร้านที่อยากกินอยู่ไกลมาก” “ก็...แหะ ๆๆ” “หึ ๆๆ ให้พี่เดาต้องเป็นร้านที่แชร์ไว้ล่าสุดแน่นอน” “หูย~ ไม่มีใครรู้ใจเอยเท่าพี่ลุคอีกแล้วในโลกนี้” “...ไม่หรอก เอาร้านนั้นใช่ไหมถ้างั้นเอยเปิดจีพีเอสให้พี่เลย” พี่ลุคเงียบไปนิดหน่อยถึงได้พูดออกมาแล้วจากนั้นก็เคลื่อนรถส่วนฉันก็หยิบโทรศัพท์ของพี่ลุคมาเปิดจีพีเอสนำทางให้เขา “แล้ววันนี้พี่ลุคเป็นยังไงบ้างคะ” “พี่เหรอ ก็เหมือนเดิมนั่นแหละปีสุดท้ายเรียนไม่หนักแต่งานหนัก” “ค่ะ ปีหน้าเอยก็คงเจอแบบเดียวกันเนอะ” “อื้ม แต่เอยเก่งไม่ต้องเครียดหรอก” “ใช่ค่ะ เอยเก่งแล้วที่สำคัญเอยมีพี่ลุคคอยช่วยด้วยใช่ไหมคะ” ฉันอ้อนพี่ลุคนิดหน่อยทำคนที่กำลังขับรถและมองถนนด้วยความตั้งใจยิ้มออกมา ถึงจะแค่ยิ้มมุมปากก็ตามเถอะแต่ฉันรู้ว่าเขาต้องกำลังมีความสุขแน่นอน ...แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีมากแล้วจริง ๆ เราทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานก็ไปกินข้าวร้านที่ฉันอยากกินนั่งคุยสัพเพเหระระหว่างที่กินข้าวกันจากนั้นพอกินเสร็จก็ตรงกลับบ้าน “ง่วงไหม” “ไม่ค่ะ” “ถ้าง่วงก็งีบไปเลยะนะรถมันติดมาก” ใช่ค่ะรถติดมา ออกมาได้ยี่สิบนาทีแต่มองกระจกหลังยังเห็นป้ายร้านอาหารชัดอยู่เลย “เอยขอโทษนะคะ ชอบอยากกินแต่ร้านที่อยู่ไกลตลอดเลยทั้งที่เป็นวันศุกร์แท้ ๆ” เย็นวันศุกร์คือวันที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดมากใครต่อใครก็รู้ แล้วก็เป็นประจำที่เราสองคนต้องเจอกับปัญหารถติดหลังจากกินข้าวในเย็นวันศุกร์เรียบร้อย “ไม่เป็นไรหรอกไม่ได้ไปกินทุกวันซะหน่อย” “แต่เอยก็เกรงใจอยู่ดี ทั้งมารับส่งทั้งพาไปกินข้าวแล้วเอยยังพาพี่ลุคมาเจอรถติด เอยเกรงใจพี่ลุคมากเลยนะคะ” “หึ ๆๆ นี่แกล้งพูดรึเปล่า” พี่เขาหันมายิ้มขำฉันนิดหน่อยฉันเลยแอบย่นจมูกให้ “ไม่ได้แกล้งเลยค่ะ ตอนหิวมันก็อีกอารมณ์นะพี่ลุคแต่พอตอนกลับเจอรถติดแบบนี้ประจำเอยก็รู้สึกผิดที่ทำพี่ลุคลำบาก ขับรถแบบนี้เหนื่อยน่าดู” “ไม่เป็นไรหรอกน่าพี่เต็มใจ เราอยากกินอะไรก็บอกพี่แบบนี้แหละพี่พาไปได้ไม่ได้ลำบากอะไร” พี่เขาพูดออกแล้วก็เอามือมาวางบนหัวฉันก่อนจะขยี้เบา ๆ แล้วก็หันไปขับรถต่อ “เอาใจน้องเก่งขนาดนี้จะเอาใจสาว ๆ เก่งขนาดไหนคะเนี่ย” ฉันถามพี่ลุคพร้อมกับจัดทรงผมที่เขาเพิ่งขยี้ให้เข้าที่เข้าทางส่วนคนโดนถามก็หันกลับมามองฉันในทันทีที่ถามจบ “เอาใจสาว ๆ เก่งขนาดไหนน่ะเหรอ...ก็เอาใจเก่งขนาดนี้ไง แต่เอาใจคนนี้คนเดียวนะเพราะมีคนเดียวไม่เคยมีคนอื่น” “...เอยไม่คุยกับพี่ลุคดีกว่า” “หึ ๆๆ ทำไมเขินเหรอ” “ง่วงค่ะ” “เอ้า! เมื่อกี้เอยบอกพี่ว่าไม่ง่วงไม่ใช่รึไง” “เมื่อกี้กับตอนนี้คนละเวลาค่ะ” ขวัญเอยบอกผมแล้วแอบย่นจมูกใส่นิดหน่อยอย่างที่เธอชอบทำเวลาจะแกล้งผมก่อนจะหันหน้าไปอีกด้านแล้วแกล้งหลับทันที หึ ๆๆ เด็กน้อยของผมน่ารักเสมอ เพราะแบบนี้ไงถึงทำให้ผมยอมทำอะไรหลายอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเอง...เสียเธอไปให้ใคร -เวลาต่อมา- “เอย” “เอยครับ” “น้องเอย~” “อื้อ~” “หึ ๆๆ ถึงแล้วเด็กน้อย” ผมปัดปอยผมตรงหน้าให้เธอเบา ๆ รถติดใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน คนที่แกล้งหลับตอนแรกก็ถึงกับหลับไปจริง ๆ มาถึงบ้านแล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีก “อื้อ~ ขะ ขยับไปสิคะ” ขวัญเอยลืมตาแล้วก็นิ่งไปเพราะผมโน้มตัวลงไปปลุกเธอใกล้ ๆ จนหน้าเราห่างกันไม่ถึงคืบ “...อยากจูบ” “พี่ลุค” เสียงเธอเรียกชื่อผมเบา ๆ แล้วเอนตัวไปข้างหลังแต่ไม่ได้เอนเพื่อให้ทำอะไรหรอกเธอเอนเพื่อหนีต่างหาก ส่วนผมก็มองเธอด้วยสายตาที่ผมรู้ว่ามันกำลังรู้สึกอะไรแล้วก็จับมือเธอที่วางอยู่บนตักตัวเองแล้วบีบคลึงช้า ๆ “ไม่ทำหรอกน่าพี่ก็แค่บอกเฉย ๆ ว่าอยากทำอะไร” “...” “หึ ๆๆ ลงรถได้แล้วยัยเด็กน้อยพี่อยากกลับบ้านไปอาบน้ำ” “...ค่ะ ขอบคุณนะคะ” “ครับผม” ผมตอบรับขวัญเอยที่กำลังนิ่ง ไม่รู้ว่าเขินหรือว่ากำลังกลัวกันแน่ ขวัญเอยไม่พูดอะไรต่อนอกจากเดินลงรถแล้วยืนรอให้ผมขับรถกลับบ้าน “เข้าบ้านสิ” “พี่ลุคก็ไปก่อนสิคะ” “ไม่ได้ เอยเข้าบ้านก่อนครับ” “ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” “ฝันดีนะเอย” “ค่ะ” ขวัญเอยยิ้มให้ผมบาง ๆ ก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้านหลังใหญ่ที่เป็นบ้านของเพื่อนบ้านผมแต่ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรอกเป็นเพื่อนที่เรียนและเล่นด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลด้วยต่างหาก “ไงจ๊ะพ่อลูกชาย” “ยังไม่นอนเหรอครับ” ผมหันไปทักทายผู้หญิงที่สวยที่สุดในบ้านนี้ที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งแต่ผมไม่ได้สังเกตเพราะแม่ไม่ได้เปิดไฟจนสว่างจ้า “ยัง แม่รอลูกชายแม่อยู่ ไปไหนมาจ้ะสุดหล่อของแม่กลับดึกเชียว” “กินข้าวเฉย ๆ ครับแต่รถติดก็เลยถึงบ้านเกือบดึก แค่เกือบสี่ทุ่มไม่เรียกดึกนะครับแม่ถ้าดึกต้องเที่ยงคืนตีหนึ่ง” ผมเน้นคำว่าเกือบดึกเพราะเมื่อกี้แม่พูดคำว่ากลับดึกออกมาทำให้แม่มองค้อนผม “เดี๋ยวเถอะนะตาลุคนี่” “หึ ๆๆ ผมว่าแม่น่าจะไปนอนได้แล้วนะครับ เดี๋ยวความสวยที่ไม่สร่างมันจะหายไปนะแม่” “ฉันรู้ย่ะ” “ถ้างั้นขึ้นนอนกันดีกว่าครับเดี๋ยวผมไปส่ง” ผมเดินไปหาแม่เพื่อประคองท่าน แม่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับผมแค่อยากอ้อนอยากดูแลแม่แค่นั้น แต่พอผมเดินไปใกล้แม่ก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น “เดี๋ยวก่อน แม่บอกว่าแม่รอลูกไง ยังไม่ได้คุยกันเลยนะตาลุค” “...ผมรู้ว่าแม่จะคุยเรื่องอะไร ไม่ต้องบ่นเรื่องเดิม ๆ หรอกครับเดี๋ยวหน้าเหี่ยวไม่รู้ด้วยนะ” ผมตอบออกไป พยายามทำเสียงอารมณ์ดีเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง “ลุค” แม่ไม่ได้สนคำพูดหยอกเย้าของผมแต่ท่านเรียกผมเสียงแข็งขึ้นเพื่อเตือนอะไรบางอย่างทำให้ผมเองก็นิ่งไป “...ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย” “แม่รู้ แต่ลูกกับตาแทนเป็นเพื่อนกันนะลุค ลูกจะทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าตาแทนกลับมาเห็นว่าลูกไปไหนมาไหนกับหนูเอยตาแทนจะรู้สึกยังไง แม่ไม่ห้ามถ้าลุคจะรับส่งน้อง ลุคกับน้องโตมาด้วยกันเป็นพี่เป็นน้องช่วยเหลือดูแลกันได้แต่อย่าให้มันมากไป” “...เรื่องแบบนี้อยู่ที่ว่าน้องจะเลือกใครครับแม่ แม่อย่าบอกให้ผมถอยแค่เพราะเป็นเพื่อนไอ้แทนเลยครับมันไม่ยุติธรรมกับลูกชายแม่สักนิดเพราะผมก็รักของผมมากเหมือนกัน” #LUKE END #KWANAOEI TALK แอด~ “...ใครคะ?” “...” “เอยถามว่าใคร!” หมับ! “ว้าย!ปล่อยนะ!อื้อ!อื้อ!!” แคว๊ก! “อื้อ!!!” ฉันร้องด้วยความกลัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะทันทีที่ใครก็ไม่รู้เข้ามาในห้องเขาก็ตรงดิ่งเข้ามาหาฉันในความมืดแล้วนั่งคร่อมเอามือข้างหนึ่งปิดปากไม่สิไม่ได้ปิดแต่กดลงมาจนฉันขยับคอไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วมืออีกข้างก็ฉีกกระชากเสื้อของฉันจนขาด หมับ! “อื้อ!อื้อ!!” ฉันกลัว กลัวมากเพราะคน ๆ นี้เข้ามาทำอะไรอุกอาจในห้องโดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย มือเขาปิดปากปิดจมูกของฉันเต็มแรงจนฉันที่อยากสะบัดหน้าให้หลุดพ้นไม่สามารถทำได้แถมกลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งเต็มไปหมดจนฉันแทบอาเจียนออกมา “อื้อ!” ฉันพยายามร้องแต่ก็เท่านั้น ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดเลยอีกอย่างบ้านหลังนี้ห้องทุกห้องเป็นห้องเก็บเสียงร้องออกไปคงไม่มีใครได้ยินนอกซะจากจะพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดออกไปจากห้องนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นฉันคง...โดนข่มขืน แคว๊ก! “อื้อ!” ยิ่งดิ้นคนคนนี้ก็ยิ่งฉีกกระชากเสื้อผ้าฉัน ห้องมันมืดมาก มืดจริง ๆ นะเลยทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรรู้แค่ชุดนอนกำลังขาดวิ่นไปหมดแล้ว จ๊วบ~ “อื้อ!” ฉันน้ำตาไหลพรากออกมาทันทีที่คนคนนี้ก้มลงมาดูดคอ ฉันกลัวที่สำคัญฉันรังเกียจที่ใครก็ไม่รู้กำลังขืนใจฉัน “อื้อ!” ฉันใช้แรงเฮือกสุดท้ายดิ้นสุดแรงเกิดจนสุดท้ายก็หลุดพ้น ผลัก! “ช่วยด้วย!ช่วย...อื้อ!” ฉันผลักเขาออกจนหลุดพ้นแล้วตะโกนสุดเสียง เป็นเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว มันดังชนิดที่ฉันมั่นใจว่าต่อให้เป็นห้องเก็บเสียงก็น่าจะดังเล็ดลอดออกไปบ้างล่ะไม่มากก็น้อยแต่เป็นอิสระแค่ไม่กี่วินาทีฉันก็ถูกปิดปากไว้อีกครั้งแล้วจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนฉันตั้งตัวไม่ทันทำอะไรไม่ได้เลย จ๊วบ~ “อื้อ!” เพราะอยู่ในชุดนอนเลยไม่ได้ใส่ชุดชั้นในฉันในสภาพที่โดนเอามือปิดปากโดนร่างกายใหญ่คร่อมทับเอาไว้เลยทำอะไรไม่ได้ตอนที่โดนเขาก้มลงไปดูดที่หน้าอก “อื้อ!อื้อ!!” จ๊วบ~ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ~ “อื้อ!ฮึก!” ฉันขยะแขยง ฉันรังเกียจ ฉันไม่รู้ว่าคนที่กำลังล่วงเกินร่างกายฉันคนนี้เป็นใคร และที่สำคัญฉันไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองนับจากนี้และฉันจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ยังไง “อืม~” เสียงของคนคนนี้ดังออกมาจากลำคอให้ฉันได้ยินเป็นครั้งแรก มันเป็นเสียงที่...คุ้นหู คุ้มมากเหลือเกินคุ้นซะจนฉันเกือบจะมั่นใจว่าเขาคือ...แต่ไม่ใช่หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่แน่นอน ไม่มีทางที่เขาคนนั้นจะทำร้ายฉันได้ ไม่มีทาง สวบ! “อื้อ!!!” ก่อนที่จะคิดอะไรไปได้มากกว่านี้ฉันก็รู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้ามาในร่างกาย ตรงกลางร่างกายที่ไม่เคยมีใครเข้ามาล่วงล้ำแต่วันนี้มันกลับถูกล่วงเกินโดยที่ฉันเองไม่ได้เต็มใจ ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะขัดขืนด้วยซ้ำแถมคนคนนี้ยังไม่แม้แต่ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายของเขาเลยสักชิ้น “อ่าส์~” เสียงคนที่อยู่บนตัวฉันครางออกมาด้วยความสุขโดยที่ไม่สนเลยว่าฉันกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหนจากนั้นสิ่งที่มันสร้างความเจ็บปวดให้ฉันจนเหมือนร่างกายกำลังฉีกขาดออกจากกันก็ขยับทันที ขยับด้วยความรุนแรงทั้งที่ร่างกายฉันฝืดเคืองมาก “อ่าส์~” เสียงครางจากคนข้างบนดังขึ้นมาให้ได้ยินเป็นระยะ เป็นเสียงครางที่ฟังดูมีความสุขมากทั้งที่ฉันกำลังสะอื้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน พั่บ! พั่บ พั่บ พั่บ! “อื้อ~ ฮึก! อื้อ!!!” ฉันเจ็บ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บแทบขาดใจตาย มันทรมานมากจนไม่รู้ว่าตัวเองจะผ่านเหตุการณ์เลวร้ายกับความเจ็บปวดในครั้งนี้ไปได้ยังไงดี “อ่าส์~” ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากคน ๆ นี้ มีแค่เสียงครางด้วยความสุขสมเท่านั้น เสียงครางที่คลอกับเสียงเจ็บปวดทรมานของฉัน พั่บ! พั่บ พั่บ พั่บ! “อื้อ!อื้อ!!!” ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันจะมีความสุขอะไรเลย ทำไมมันมีแต่ความทรมาน แล้วเขาคนนี้ ไอ้ชาติชั่วคนนี้มีความสุขได้ยังไงทั้งที่อีกคนไม่ได้มีอารมณ์ร่วมแถมมือข้างหนึ่งก็เอามือมาปิดปากฉันไว้ตลอดเวลา “โอ้ว อ๊าส์~” “อื้อ!!!” เขากดร่างกายเข้ามาเต็มแรงจากนั้นก็กดแช่เอาไว้ในร่างกายฉันแล้วเขาก็เกร็งกระตุกซึ่งฉันรู้ดีต่อให้ไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนว่าอาการนี้เขาเรียกว่าอะไร เขากดร่างกายเอาไว้อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนซบอยู่ที่อกฉันแล้วหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยและตอนนี้ปากฉันก็เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกมือที่น่าขยะแขยงกดเอาไว้เป็นเวลานาน “ฮึก! ปล่อย~” ฉันไม่มีเรี่ยวแรง ฉันเจ็บร้าวระบมไปทั้งตัวถึงจะไม่ถูกกระทำทารุณแต่ฉันก็ทรมานมากเหลือเกิน “อืม~” ไม่มีการกระทำที่บ่งบอกว่าฟังคำพูดของฉัน มีแค่ส่วนนั้นที่ถูกกดเข้ามาแล้วก็ตามมาด้วยเสียงครางที่ฉันขยะแขยง โคตรขยะแขยงเลย “อ่าส์~” เวลาผ่านไปพักหนึ่งร่างสูงใหญ่ขยับออกจากร่างกายฉันที่นอนหมดเรี่ยวแรงช้า ๆ โดยที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากนอนน้ำตาไหลพรากอยู่ที่เดิมเท่านั้น แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็เดินกลับมาอีกครั้งทำให้ฉันกลัวจนหายใจแทบไม่ออก กลัวว่าเขาจะมาทำอะไรฉันอีก เขาเดินมาใกล้ใจฉันก็แทบหยุดเต้นแล้วจริง ๆ ยิ่งเตียงยวบลงอีกครั้งไหนจะไออุ่นจากร่างกายใหญ่ที่แผ่ออกมาให้ฉันสัมผัสได้แล้วลมหายใจอุ่น ๆ ก็รินรดอยู่ข้างหูฉันก็ยิ่งน้ำตาไหลพรากกัดปากตัวเองด้วยความกลัวจนได้รสคาวของเลือด ฉันไม่ได้รู้สึกสยิวเลย ฉันกลัวฉันขยะแขยงแทบตายอยู่แล้ว! “อย่าเป็นของคนอื่นเด็ดขาด~” เฮือก!!! “...ฮึก! ฮื่อ ๆๆ ฮื่อ ๆๆ” กี่ครั้งที่ฉันต้องฝันถึงเหตุการณ์นั้น อีกกี่ครั้ง มันต้องอีกกี่ครั้ง! -วันต่อมา- ติ๊ง! Luke : ได้กลิ่นอะไรหอม ๆ “...” หือ? ได้กลิ่นอะไรหอม ๆ งั้นเหรออย่าบอกนะว่า? Kwanaoei : อยู่ไหนคะ Luke : ทาย Kwanaoei : ไม่ทายค่ะ Luke : ทายหน่อย Kwanaoei : ออกมาเลยค่ะ Luke : ทายก่อน Kwanaoei : เอยไม่เล่นแล้ว ไปดีกว่า “หึ ๆๆ บอกให้ทายหน่อยก็ไม่ทาย” “ชิส์!ไม่เห็นต้องทายเลย มาทำไมคะ” “เมื่อกี้เจอน้าเอมกับลุงภาคนั่งอยู่ที่สวนเห็นกำลังกินคุกกี้พอดีเลยมาขอคุกกี้กินบ้าง” “ไม่ให้ค่ะ” ฉันเลื่อนถาดคุกกี้ที่กำลังจะเตรียมแพ็คไปฝากป้ารินทร์คุณแม่ของเขามาหาตัวเองเพื่อแสดงอาการหวงให้พี่ลุครู้ “ได้ไง ไม่มีของพี่บ้างเลยเหรอ” “ไม่มีค่ะเพราะพี่ลุคไม่ชอบกินคุกกี้เอยเลยไม่ได้ทำเผื่อ” ฉันตอบเขาแล้วก็เผลอยื่นหน้าพร้อมกับย่นจมูกใส่ด้วยความพอใจที่ได้แกล้งเขา “หึ ๆๆ เดี๋ยวเถอะนะ” หมับ~ “อื้อ!บอกว่าไม่มีของพี่ลุคไงคะ คืนมาเลยนะ” พี่ลุคหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาหยิบคุกกี้ไปหน้าตาเฉยฉันก็เลยโวยวายแต่เขากลับยิ้มแล้วหยิบคุกกี้เข้าปาก ยั่วโมโหกันชัด ๆ เลย “พี่ลุค! อื้อ~” กำลังจะบ่นแต่เขากลับเอาคุกกี้ชิ้นที่กัดไปครึ่งคำยัดเข้ามาในปากฉันแล้วฉันที่กำลังอ้าปากจะทำอะไรได้นอกจากเคี้ยวมันเพราะจะคายทิ้งก็ไม่ใช่นิสัย “หึ ๆๆ” เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับมองฉันที่จำใจเคี้ยวคุกกี้ที่เขายัดเข้าปากไปพลางทำให้ฉันต้องรีบเคี้ยวแล้วกลืนมันให้หมด “ไม่ต้องมาหัวเราะมีความสุขเลยค่ะ นิสัยไม่ดี” “นิสัยไม่ดีอะไรพี่อุตส่าห์ใจดีให้เอยจูบพี่ทางอ้อมนะ” “บ้า!จูบทางอ้อมอะไรล่ะคะไม่ใช่เลย” “หึ ๆๆ พี่ล้อเล่นน่า แล้วอะไรติดหน้าล่ะนั่น” “คะ?” “แป้งเหรอหรือว่าเศษคุกกี้” “ไม่รู้ค่ะเอยไม่ได้ส่องกระจกตั้งแต่เช้าช่างมันเถอะค่ะ” “อ่อ ไม่น่าล่ะ” “คะ? ไม่น่าล่ะอะไร” พี่ลุคก็ทำหน้าแปลก ๆ ขึ้นมาฉันก็เลยงง “ไม่น่าล่ะ...ถึงมีขี้ตา” “ฮะ!” ฉันมองหน้าเขาตกใจจนตาเบิกโพลงขึ้น มีขี้ตาจริงเหรอ? ฉันเอาคุกกี้กับชาไปเสิร์ฟน้าเอยกับคุณลุงมาพวกท่านเห็นไหมเนี่ย น่าเกลียดแล้วก็น่ารังเกียจมากเลย “เดี๋ยว ๆ นั่นเราจะทำอะไร” พี่ลุครีบพูดขึ้นฉันที่กำลังจะเอามือเช็ดขี้ตาออกเลยชะงักทันที “ก็เช็ดขี้ตาไงคะ” “สกปรก” “คะ?” “สกปรก กำลังแพ็คคุกกี้อยู่แล้วจะเอามือไปเช็ดขี้ตาได้ยังไง สกปรกมากเลยเอย” “เอ่อ...” ฉันอึ้งไปเลยที่โดนต่อว่า ไม่สิไม่ได้แค่อึ้งแต่ฉันอายด้วย “มานี่มา” พี่ลุคทำหน้าเอือมระอาดูไม่พอใจความสกปรกของฉันเท่าไหร่ก่อนจะขยับพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงทิชชูมา “พี่ลุคเดี๋ยวเอยไปล้างมือแล้วเช็ดเอง” “เฉย ๆ เถอะ” เขาดุแล้วจับแขนข้างหนึ่งฉันไว้ก่อนจะยกทิชชูขึ้นมาเตรียมเช็ด “เอย” “คะ” ทำไมไม่เช็ดล่ะคนที่อายขี้ตามันก็อายนะ อยากวิ่งไปเช็ดหน้าในห้องน้ำแล้วเนี่ยแต่ไปไม่ได้เพราะเขาจับแขนเอาไว้ “ไม่ใช่ขี้ตาหรอกพี่ดูผิด” พี่ลุคพูดพร้อมกับเอ่ยออกมาโดยที่สายตาเขายังจ้องที่หน้าฉันอยู่ “ฮะ? เฮ้อ!โอเคค่ะโล่งอกไปที” ได้ยินก็งงแต่สุดท้ายก็โล่งอก โอเคไม่อายแล้ว “แต่มันมีเศษคุกกี้ติดที่คางนะ พี่เอาออกให้” “เดี๋ยวเอย...อื้อ!” กำลัง จะบอกว่าเดี๋ยวเช็ดเองแต่ไม่ทันเพราะเขาก้มลงมาประกบปากลงที่คางฉันแล้วเม้มเบา ๆ ซะก่อน! ผลัก! “พี่ลุคคะ!” “หึ ๆๆ อะไรพี่เอาเศษคุกกี้ออกให้เฉย ๆ ไม่เห็นต้องวีนพี่เลย” พอโดนผลักแทนที่จะสำนึกผิดดันยิ้มระรื่นหน้าตาเฉย! “เอาคุกกี้ออกอะไรล่ะนี่มัน...” ไม่กล้าพูดต่อเลยขวัญเอยเอ๊ย “นี่มันอะไร? พี่เอาคุกกี้ออกจริง ๆ ไม่เห็นต้องวีน...ไม่ได้จูบเราอย่างที่อยากจูบมานานแล้วซะหน่อย” “...บ้า!” -เวลาต่อมา- “เอย” “คะน้าเอม คุกกี้เป็นยังไงบ้างคะอร่อยรึเปล่าคะ” “อร่อยจ้ะ คุณลุงทานหมดเลย” “น่ารักที่สุดเลยค่ะ” ฉันฉีกยิ้มให้น้าเอมด้วยความดีใจ “ว่าแต่เมื่อวานไปไหนกับพี่ลุคมา” “คะ? อ๋อไปกินข้าวค่ะ” ฉันตอบน้าของตัวเองเบา ๆ ส่วนมือก็สาละวนอยู่กับการจัดระเบียบข้าวของในห้องนอนให้เป็นระเบียบ “ยังไง?” “ไม่ยังไงนี่คะน้าเอม ก็พี่น้องกันเหมือนเดิม” “แน่นะจ้ะ ไม่ใช่วันดีคืนดีเดินจับมือกันมาหาน้าแล้วบอกว่าเป็นแฟนกันแล้วนะ” “ไม่หรอกค่ะ พี่น้องกันค่ะน้าเอม” ฉันเงยหน้ายิ้มตอบน้าเอมที่ท่านชอบถามแบบนี้ประจำ “หนูไม่ชอบพี่ลุคเขาเหรอ” “ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้าตอบทันที “เพราะ?” “ก็...” “รออีกคน?” “...” “รอพี่แทนแต่แทบจะไม่ติดต่อพี่แทนเลยแล้วไปกับอีกคนมันคืออะไรยัยเอย” เสียงน้าเอมที่เคยใจดีเริ่มดุขึ้นมานิดหน่อยส่วนฉันก็ได้แต่ก้มหน้า “เอยไม่ได้รอพี่แทนค่ะน้าเอม” ถึงแม้ว่าในใจฉันจะอยากรอแต่ฉันรอเขาไม่ได้หรอก ยังไงก็ไม่ได้ “น้าไม่เข้าใจเอย” “เอยขอโทษนะคะถ้าเอยทำให้น้าเอมไม่สบายใจ แต่เอยไม่ได้รอพี่แทนแล้วเอยก็ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ลุคด้วยค่ะน้าเอม ตอนนี้เอยอยากโฟกัสเรื่องเรียนมากกว่า เอยไม่ได้ชอบใคร” “เฮ้อ!ความรู้สึกหนุ่มสาวสมัยนี้เข้าถึงยากจริง ๆ เอาเถอะน้าไม่อยากก้าวก่ายหรอกแต่ที่ถามเพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดปัญหารักสามเส้าแค่นั้นเอง” “...ไม่เกิดหรอกค่ะน้าเอม” ฉันชะงักเพราะคำพูดน้าเอมนิดหน่อยก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเพราะอยากให้น้าเอมสบายใจ “พี่ลุคเขาก็ดีนะลูก ดูแลหนูดีมากนะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเอยควรจะชัดเจน เอยทำแบบนี้เท่ากับเอยกำลังทำร้ายคนคนหนึ่งที่รักเอยนะ” “...ค่ะน้าเอม” “โอเคน้าไม่กวนแล้ว น้าจะไปชวนคุณลุงลงไปเดินเล่นดูต้นไม้ในสวนหน่อย” “ค่ะ ถ้างั้นทำความสะอาดห้องเสร็จเดี๋ยวเอยลงไปเดินเล่นด้วยนะคะ” “จ้า” น้าเอมยิ้มรับแล้วก็เดินไปส่วนฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาจัดของต่อพร้อมกับในหัวที่มีคำพูดบางคำของน้าเอมดังวนซ้ำ ๆ ไม่หยุด “ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเอยควรจะชัดเจน เอยทำแบบนี้เท่ากับเอยกำลังทำร้ายคนคนหนึ่งที่รักเอยนะ” ...เธอกำลังทำร้ายเขาสินะ ทำร้ายพี่ลุคที่แสนดีของเธอ -วันต่อมา- ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด ...TANKUN “...อ่าส์~” ติ๊ด! “อืม ว่าไงวะ” (มึงอยู่ไหน) “บ้าน” (มึงเจอเอยบ้างไหม) “ก็เจอบ้าง ทำไมวะ” (ไม่ค่อยรับโทรศัพท์กูว่ะ) “ก็ปกติไม่ใช่เหรอวะ” (อืม กูแม่งทำอะไรผิดวะ) “...” (เกือบสี่ปีที่กูมาอยู่ที่นี่กูแม่งไม่รู้เลยว่ากูทำอะไรผิดทำไมอยู่ ๆ เอยก็เฉยเมยกับกู) เพื่อนข้างบ้านที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กโทรมาระบายเรื่องหัวใจของมันกับผมเป็นประจำซึ่งผมทำได้แค่รับฟังแต่ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ เพราะถ้าจะให้แนะนำผมคงแนะนำได้แค่วิธีเดียวคือการบอกให้มัน...มันตัดใจ (มึงบอกกูหน่อยไอ้ลุคว่ากูต้องทำยังไง) “มึงก็ถามเอยไปตรง ๆ สิวะ” (ถามแล้วไม่ตอบอะไรกูเลย แม่งเอ๊ย! กูทำเหี้ยอะไรผิดวะ!) “มึงใจเย็นก่อนไอ้แทน” (แค่นี้กูยังใจเย็นไม่พออีกเหรอวะ? มึงรู้ไหมว่ากูคิดจะกลับเมืองไทยไปถามเอยตรง ๆ กี่รอบแล้ว) “...” (ไหนสัญญากันไว้แล้วไงวะว่าจะรอ ทำไมเอยใจร้ายกับกูแบบนี้วะ) “กูไม่รู้ว่าจะปลอบหรือให้คำแนะนำมึงยังไงดีแต่เรื่องที่มึงต้องรู้นะเว้ยไอ้แทนคือใจคนเรามันเปลี่ยนไปได้ทุกเวลา” (...) “มึงต้องจำคำนี้ไว้แล้วยอมรับความจริงให้ได้” (...อืม โอเคเดี๋ยวกูโทรหามึงใหม่แล้วกัน) “เออ มีไรก็โทรมา” (ขอบใจมึงมากนะเว้ย) “อย่าคิดมาก” (อืม อย่างน้อยเอยก็ยังไม่ได้มีใคร เอาไว้กลับไปเมื่อไหร่กูค่อยไปคุยกับเอยอีกที อาจจะโกรธหรือระแวงกลัวกูแอบมีใครที่นี่ก็ได้เลยตีตัวออกห่าง) “...อืม” ติ๊ด! “...” เมื่อไหร่มึงจะเลิกมีความหวังสักทีวะไอ้แทน ติ๊ง! Kwanaoei : พี่ลุคจะกลับตอนไหนคะ รู้ไหมว่าจากที่กำลังเซ็งมากแต่พอเห็นชื่อคนที่ทักมาผมก็ยิ้มออก เอาล่ะวางเรื่องของไอ้คนไกลเอาไว้ก่อนเพราะคนที่ผมให้ความสนใจและให้ความสนใจจริง ๆ คือคนใกล้ต่างหาก Luke : เราอยากกลับตอนไหน Kwanaoei : เอยถามพี่ลุคค่ะ “หึ ๆๆ มันเขี้ยวว่ะ” ผมอ่านข้อความแล้วอดหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยวเธอไม่ได้ Luke : พี่ตามใจเอยไง Kwanaoei : ไม่ค่ะเอยถามเพราะอยากรู้ว่าพี่ลุคสะดวกตอนไหน Luke : คือ? Kwanaoei : ถ้าพี่ลุคไม่สะดวกเดี๋ยวเอยจะให้คนที่บ้านไปส่งไงคะ Luke : จะกลับตอนไหน ผมไม่ตอบคำถามเธอแต่ส่งคำถามกลับไปแต่ผมเริ่มรู้แล้วว่าเธอจะกลับตอนไหน Kwanaoei : พี่ลุคจะกลับตอนไหนล่ะคะตอบคำถามเอยก่อน Luke : แล้วน้องเอยจะกลับตอนไหน? Luke : ว่าไงครับ? Luke : ถ้างั้นพี่ไปจอดรอที่บ้านตอนนี้เลย กลับตอนไหนก็ตอนนั้น เงียบแบบนี้แสดงว่าอยากจะกลับตอนนี้เลยไม่ตอบคำถามผมนั่นล่ะ Kwanaoei : เอยไม่ได้เร่งซะหน่อย แค่ถามถ้าพี่ลุคยังไม่กลับตอนนี้เอยจะขอให้น้าบุญไปส่งก่อน Luke : พี่ก็รอกลับพร้อมเอยนี่ไง รอที่บ้านพี่ลาแม่ก่อน ผมส่งข้อความบอกเธอแล้วเดินไปหยิบของจากนั้นก็ลงไปลาคุณรินทร์คุณแม่ของผมที่กำลังคุมแม่บ้านทำความสะอาดไม่ต่างจากหัวหน้าแม่บ้านเลยแม้แต่นิดเดียวจากนั้นก็ขับไปบ้านไอ้แทนเพื่อรับน้องสาวคนละพ่อคนละแม่ของมันไปส่งที่หอพัก “เอยเร่งพี่ลุครึเปล่า” พอขึ้นมาบนรถเสียงของขวัญเอยก็ดังขึ้น “เงียบไปเลยเด็กดื้อ” “ชิส์! ถ้างั้นเอยนอนเลยแล้วกันค่ะ” “เดี๋ยวก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “อะไรคะ” “รอก่อนครับ ขับรถออกจากบ้านก่อน” ผมบอกเธอแล้วขับรถออกจากบ้านโดยที่มีสายตาของขวัญเอยมองมาที่ผมเพื่อรอฟังว่าผมจะคุยอะไร “ตกลงมีอะไรคะพี่ลุค” “ไอ้แทนโทรหาพี่” “...ค่ะ” ผมเหลือบตามองปฏิกิริยาของขวัญเอยนิดหน่อยก็เห็นว่าเธอเศร้าลง ...เจ็บว่ะ “เอยน่าจะคุยกับมันนะ” “พี่ลุคก็รู้ว่าเอยไม่พร้อมคุยกับพี่แทน” เสียงเธอเปลี่ยนไปจนจับน้ำเสียงได้ชัดเจนว่าขวัญเอยกำลังเจ็บปวด แต่เธอคงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างเธอตอนนี้ก็เจ็บไม่ต่างกัน หรือบางทีอาจจะเจ็บกว่าด้วยซ้ำ “แล้วเอยจะทำยังไง อีกไม่ถึงปีมันก็กลับมาแล้ว ยังไงก็ต้องเจอกันในเมื่ออยู่บ้านเดียวกัน” “เอยอยู่หอค่ะพี่ลุค” “แล้วอยู่หอตลอดไปเหรอ ไม่คิดจะกลับบ้านเลยเหรอเอย” “...” “ไม่อยากให้มันรอก็บอกมันตรง ๆ ซะเอย อย่าทำแบบนี้” “ถึงบอกพี่แทนก็จะไม่ไปไหนถ้าเขาเห็นว่าเอยไม่มีใคร เขาจะวนอยู่กับคำถามว่าเพราะอะไรเอยถึงไม่รอเขาทั้งที่ความจริงเอยก็ไม่ได้มีใคร ไม่สิเอยไม่เคยมีใครเลยต่างหากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา” “ก็มีพี่นี่ไง” ผมสวนกลับไปทันทีที่เธอพูดจบ “เหมือนกันที่ไหนล่ะคะ” ขวัญเอยตอบมาเบา ๆ โดยที่เธอไม่ได้มองหน้าผม “แล้วทำให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เหรอ เอยก็รู้ว่าอีกคนก็รอเอยเหมือนกัน ถ้าไม่เลือกมันก็เลือกพี่ได้ไหม” “...” “ไม่ได้เลยเหรอเอย” ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมอ้อนวอนผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ มากี่ครั้งแล้ว ผมขอร้องเธอจนแทบจะไม่กล้าพูดอีกแต่พอถึงจังหวะที่อัดอั้นผมก็อดพูดไม่ได้ “...เอยไม่เคยลืมพี่แทนพี่ลุคก็รู้” เสียงขวัญเอยสั่นแต่ในใจผมน่าจะสั่นกว่า คำพูดประโยคนี้เหมือนเอาค้อนหนักหลายตันมาทุบที่ใจผม “ลองดูก่อนได้ไหมล่ะ ระหว่างที่มันยังไม่มาลองคบกับพี่ก่อนได้ไหม” ถ้าใครรู้ว่าผมคนนี้ยื่นข้อเสนอที่ตัวเองไม่ต่างจากของตายให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งคงโดนหัวเราะเยาะและบอกว่าผมโง่ ทั้งที่มีตัวเลือกมากมายแต่กลับไม่เคยมองไปที่ใครเลยนอกจากเฝ้ารอผู้หญิงที่อยู่ข้างบ้านคนนี้แค่คนเดียว “แล้วถ้าสุดท้ายเอย...” “ถ้าเอยไม่รู้สึกอะไรพี่จะถอย พี่สัญญาว่าพี่จะยอมรับความจริง” “พี่ลุค...ยอมรับความจริงได้เหรอคะ” เสียงขวัญเอยสั่น ตอนที่เธอเว้นระยะคำพูดน้ำตาของเธอก็คลอออกมา “พี่รับได้ทุกอย่างเอยก็รู้” “...” “เอย” ขวัญเอยน้ำตาคลอผมเลยรีบกุมมือเธอเอาไว้แล้วบีบเบา ๆ ไม่อยากเห็นขวัญเอยเจ็บเลยว่ะ ไม่อยากเห็นเธอจมอยู่กับฝันร้ายอย่างที่ผ่านมาเลยแม้แต่นิดเดียว “...เอยน่าสงสารมากใช่ไหมคะพี่ลุค
Love My Boss
“ฉันจะไปฝึกงานที่เชียงใหม่นะแก” “ฮะ?” “จริง ๆ” “บ้า~ ที่ฝึกงานไม่มีที่เชียงใหม่ซะหน่อย” “เดี๋ยวก็มี” ขวัญเอยเพื่อนสนิทของฉันพูดขึ้นแล้วยิ้มบาง ๆ แต่ทำไมยัยเอยยิ้มเศร้าจังเลย มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ทั้งคำพูดทั้งสีหน้าทุกอย่างดูแปลกไปหมด “มีอะไรรึเปล่าแก” “...” “เอย แกเป็นไร” ฉันย้ำถามเพราะเพื่อนไม่ตอบแต่เพื่อนมองฉันแล้วน้ำตาคลอแทนทำฉันใจคอไม่ดีทันที “...ฉันท้อง” “อะไรนะ!” “ฮึก!” “เฮ้ย ๆๆ ใจเย็น ๆ เอยอย่าเพิ่งร้อง” ตอนแรกตกใจนึกว่าอำเล่นแต่ร้องแบบนี้ไม่อำแล้วล่ะเรื่องจริงแน่นอน แค่ได้ยินเรื่องเล่าที่ไม่มีรายละเอียดก็รู้สึกมวนท้องขึ้นมาทันทีเลยมิ้งค์เอ้ย~ “...อย่าเพิ่งบอกใครนะแก ฮึก!” “ไม่บอก ๆ ฉันไม่บอกใครแน่นอน” จะไปบอกใครได้ยังไงเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่าว่าแต่จะไปบอกใครเลยลำพังตอนนี้แค่ตั้งสติของตัวเองยังทำไม่ได้ เกิดเรื่องใหญ่กับเพื่อนรักแถมตอนนี้เพื่อนรักของฉันก็เลิกกับแฟนไปแล้วด้วย ตายห่าคุณมิ้งค์คนนี้จะช่วยอะไรได้มากกว่าปลอบใจไหมเนี่ย! -สองอาทิตย์ต่อมา- “แม่คะ” “จ้ะ” “มิ้งค์จะฝึกงานแล้วนะ” “รู้จ้ะ แล้วที่ฝึกงานไกลไหมแม่ว่าจะถามก็ลืมตลอดเลย” “ไกลค่ะ” “เดินทางไหวไหมล่ะลูก ฝึกงานตั้งหลายเดือนไปหาหอใกล้ ๆ อยู่ระหว่างฝึกงานไหม” “ค่ะ ก็ต้องเอาแบบนั้นล่ะค่ะแม่เพราะว่าที่ฝึกงานของมิ้งค์ไกลมาก~” ฉันเน้นคำว่าไกลมากเป็นพิเศษ “มิ้งค์ดูที่พักรึยังล่ะหรือจะให้แม่พาไปดู” “ไม่ต้องดูค่ะแม่ ที่ฝึกงานมีที่พักให้ค่ะ” “จริงเหรอจ้ะถ้างั้นก็ดีสิ ว่าแต่หนูฝึกที่ไหนทำไมสวัสดิการดีจังเลย” “ฝึกที่ไร่สิริภัคดิ์ค่ะ” “ไร่? สำนักงานของไร่เหรอ ชื่อไร่คุ้น ๆ นะเหมือนเคยได้ยิน” แม่ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อบริษัทที่ฉันจะไปฝึกงาน “ไร่สิริภัคดิ์ที่เป็นไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดของไทยไงคะ มีโรงแรมแล้วก็โรงงานผลิตชาส่งออกแม่น่าจะรู้จักนะคะ เหมือนแม่เคยแท็กมิ้งค์ด้วยนะว่าอยากไปเที่ยวที่ไร่เขา” “อ้อก็ว่าอยู่ชื่อคุ้น ๆ ฝึกที่สำนักงานใช่ไหม ตั้งใจนะยัยมิ้งค์อย่าไปโก๊ะเด็ดขาด” “ค่า~ มิ้งค์ไม่ปล่อยโก๊ะหรอกค่ะแม่สบายใจได้เลย” “แล้วว่าแต่ที่ฝึกงานอยู่แถวไหนล่ะลูก” “...เชียงใหม่ค่ะ” “อะไรนะ?” “เชียงใหม่ค่ะแม่ มิ้งค์จะไปฝึกงานที่เชียงใหม่ค่ะ” “อำแม่เหรอยัยมิ้งค์” แม่ทำหน้าไม่เชื่อแต่ฉันก็ยังมีสีหน้ามุ่งมั่นแน่วแน่เหมือนเดิม จะไม่ให้แน่วแน่ได้ไงก็มิ้งค์มีความฝันที่ทำให้อยากไปมากพอมีโอกาสก็ต้องรีบคว้าไว้แล้วไปให้ได้ “ไม่อำค่ะแม่มิ้งค์จะไปฝึกงานที่เชียงใหม่กับเอยค่ะ” “...ไกลเลยนะลูก” ยิ่งย้ำแม่ก็ยิ่งอึ้งแต่ฉันก็เข้าใจนะใครจะคิดว่าลูกสาวจะไปฝึกงานไกลถึงเชียงใหม่จริงไหม กรุงเทพ-เชียงใหม่ ไม่ใกล้เลยนะคะ “ค่ะแม่แต่มิ้งค์อยากไป มีโอกาสก็เลยไปดีกว่า แม่ไม่โกรธใช่ไหมคะ” “ไม่โกรธหรอกจะโกรธทำไมมิ้งค์ไปฝึกงานนี่จ้ะไม่ได้ไปตามผู้ชายซะหน่อย” “...” เจอคำนี้ของแม่เข้าไปแอบสะอึกไปเหมือนกันนะมิ้งค์ “แม่แค่ตกใจแค่นั้น แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะลูก” “...วันจันทร์หน้าค่ะ” “ฮะ!” -หลายวันต่อมา- “เป็นไรแก” ขวัญเอยเพื่อนรักหันมามองฉันที่ขยับตัวหยุกหยิกไม่หยุดมาสักพักแล้ว “ฉันตื่นเต้น” “ตื่นเต้น? ไม่ต้องกลัวหรอกน่าวันนี้ยังไม่ได้เริ่มฝึกงานสักหน่อย” “อื้อ” เพื่อนจะคิดแบบนั้นก็ให้เพื่อนคิดไปเลยดีกว่าค่ะสบายใจทั้งสองฝ่ายดี แต่มันใช่แบบนั้นหรอกค่ะ มิ้งค์ไม่ได้ตื่นเต้นเพราะเรื่องฝึกงานเลยสักนิด “เดี๋ยวไปถึงไร่รับรองว่าความสวยของที่นั่นจะทำแกลืมความตื่นเต้นไปเลยเชื่อฉัน” “นั่นสิเนอะฉันดูรีวิวมาไร่สิริภัคดิ์สวยมากเลยนี่นา” “ใช่แต่ในรูปไม่สวยเท่าของจริงหรอกของจริงสวยกว่ามาก ๆ” ขวัญเอยเพื่อนฉันเป็นหลานสาวของเจ้าของไร่ค่ะ ที่เรามาที่นี่ก็เพราะเหตุผลก่อนหน้านี้นั่นแหละ ยัยเอยจะท้องโตขึ้นทุกวันเลยเลือกมาฝึกงานในบริษัทของบ้านตัวเองแล้วที่เลือกมาที่นี่เพราะยัยเอยอยากหนีอะไรบางอย่างมา ซึ่งอะไรบางอย่างก็คงไม่ต้องเดาให้ยากหรอกค่ะก็หนีพ่อของลูกมานั่นแหละ ส่วนฉันเป็นห่วงเพื่อนเลยตามมาฝึกงานที่นี่ด้วย แต่นั่นก็แค่หนึ่งเหตุผลนะคะเพราะฉันยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่ขอไม่บอกดีกว่า มันเป็นเหตุผลฟลุ๊ค ๆ ที่ทำให้ฉันแอบมีความสุขมากเหมือนกัน “แก” “ว่า” “พี่ชายแกดุไหม” “พี่แทนน่ะเหรอ ไม่ดุหรอกพี่แทนใจดี” “อื้อ” “ทำไมจ้ะกลัวว่าที่เจ้านายเหรอ” “อื้อ ก็ต้องกลัวไหมล่ะแกเล่นจะให้อยู่บ้านเดียวกันกับเจ้านายเลย ถ้าดุฉันอยู่ลำบากแน่ ๆ” “ฮ่า ๆๆ ไม่ต้องกลัวหรอกเพราะพี่แทนใจดีมาก~ ที่สำคัญหล่อมากด้วยนะจ้ะ” “โม้รึเปล่า” “ไม่โม้ รับรองถ้าแกเห็นพี่แทนแกจะต้องอยากยื่นใบสมัครเป็นพี่สะใภ้ฉันแน่นอนจ้ะยัยมิ้งค์คนสวยเพราะพี่แทนทั้งหล่อรวยนิสัยดีทุกอย่างดีหมดเลย ดีมากเหมาะเป็นแฟนเพื่อนมาก~” ฉันฟังคำพูดของยัยเอยแล้วก็เบ้ปากใส่เพื่อนที่พรีเซ้นส์พี่ชายตัวเองเต็มที่มาก แต่ฉันก็ไม่เถียงคะนะเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณแทนคุณรองประธานกรรมการของสิริภัคดิ์ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานหลังจากที่กลับมาจากอเมริกาหล่อมากเกินคำว่าหล่อด้วยซ้ำ พูดแล้วอยากเห็นตัวเป็น ๆ เลยแต่ถึงเห็นก็คงไม่รู้สึกอะไรเพราะฉันเคยเห็นคนที่หล่อมากเกินคำว่าหล่อมาแล้ว แฟนขวัญเอยไง รายนั้นก็หล่อมากเกินคำว่าหล่อเช่นกัน แต่หล่อให้ตายยังไงก็ทำได้แค่มองเพราะนั่นคือแฟนเพื่อน แหะ ๆ “อันนี้ไร่อะไรเหรอยัยเอย” ฉันชี้ไปที่ด้านหนึ่งที่เป็นทางเข้าไร่แต่อ่านป้ายได้ไม่ชัดเท่าไหร่ “นี่เหรอ ไร่ชาเหมือนกันนี่แหละแต่ไม่ได้เน้นชาเป็นพิเศษเท่าไร่เรา ทำหลายอย่างข้างในสวยนะเคยเข้าไปตอนเด็ก ๆ ตามคุณลุงไปทำอะไรไม่รู้จำไม่ได้เหมือนกัน” “อ้อ~” ฉันพยักหน้ารับแล้วมองไปที่ป้ายชื่อขนาดใหญ่ของไร่ ...สวยเหรอ เดี๋ยวต้องหาโอกาสเข้าไปดูไร่นี้สักครั้งแล้วล่ะค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่าจะสวยอย่างที่เขาบอกไหม ^^ รถขับผ่านไร่นั้นได้ไม่กี่ร้อยเมตรก็เลี้ยวเข้าจุดมุ่งหมายของเรา ไร่สิริภัคดิ์ ไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยแล้วก็มีโรงแรมที่สวยอลังกาลมาก ๆ อยู่ในนี้ด้วย ที่ที่ฉันต้องฝึกงานและใช้ชีวิตที่นี่ไปอีกสี่เดือน “สวัสดีค่ะคุณเอย” “สวัสดีค่ะคุณมิลิน” พอลงรถหน้าส่วนที่ยัยเอยบอกว่าเป็นออฟฟิตก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก ๆ มาต้อนรับ ใส่ชุดทำงานแสดงว่าเป็นพนักงานที่นี่สินะ เห็นยัยเอยไหว้ฉันก็ไหว้ด้วย “นี่มิ้งค์เพื่อนเอยที่จะมาฝึกงานด้วยกันค่ะ” “ค่ะ ยินดีต้อนรับนะจ้ะ คุณเอยกับเพื่อนไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่านะคะวันนี้ยังไม่ต้องรายงานตัว” “พี่แทนล่ะคะ” “ไปธุระค่ะ” “อ้อ ค่ะ ถ้างั้นเอยไปบ้านเลยดีกว่า ไปกันแก” ยัยเอยพยักหน้ารับแล้วก็หันมาชวนฉันจากนั้นเพื่อนฉันก็ขึ้นรถเลยส่วนฉันก็งง ๆ แต่แว๊บหนึ่งฉันเห็นผู้หญิงคนนี้แอบทำหน้าไม่สบอารมณ์ไล่หลังยัยเอยนะ “แก” พอรถปิดสนิทฉันก็สะกิดเพื่อนรักทันที “ฉันรู้นะว่าแกจะถามอะไร” “ฮ่า ๆๆ นี่สิเพื่อนรัก แค่มองตาก็รู้ว่าจะนินทาใคร” “เดี๋ยวเถอะยัยมิ้งค์นี่ ไม่ได้จะนินทาสักหน่อย เมื่อกี้คุณมิลินเป็นผู้จัดการทั่วไปของที่นี่” “อ้อเป็นผู้จัดการนี่เองไม่น่าล่ะจัดการให้เสร็จสรรพเลย” ตอนที่เห็นแว็บแรกก็ว่าสวยนะคะแต่พูดออกมาไม่กี่ประโยคก็รู้เลยว่ายัยเจ้นั่นฤทธิ์เยอะแน่นอน แล้ว! ที่สำคัญ! สิ่งที่ฉันรู้สึกไม่เข้าตาที่สุดคือการที่น้องสาวของเจ้าของไร่ถามหาพี่ชายแล้วเจ้แกตอบว่า ไปธุระค่ะ ฮัลโหล~ ไม่ได้จะเบ่งนะแต่ยัยเอยเป็นหลานสาวของเมียประธานบริษัทนะเว้ยเฮ้ย! บอกตรง ๆ นะคะว่าคำตอบของยัยเจ้นั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองพบเจอคนหวงก้างแล้วหนึ่ง ท่าทางพี่ชายเพื่อนจะฮอตแล้วก็เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในไร่เอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย แล้วเด็กฝึกงานสวย ๆ อย่างมิ้งค์ที่อยู่บ้านเดียวกันกับคุณแทนคุณจะโดนเพ่งเล็งจากสาว ๆ มากแค่ไหนกันนะไม่อยากจะคิดเลย -_-! “เสียดายเนอะเลยไม่ได้แนะนำให้ว่าที่พี่สะใภ้เจอพี่ชายเลย” “หืม~ เรียกซะ เดี๋ยวเจ้มิลินอะไรนั่นก็มาแหกอกเพื่อนหรอก” “ฮ่า ๆๆ ไม่ใช่แค่คุณมิลินหรอกที่จะแหกอกแกแกเชื่อฉันสิ” “ฉันก็ว่างั้นเพราะฉะนั้นมิ้งค์ขอบายจ้ะเพื่อนรัก” “อย่าเพิ่งพูดแบบนี้รอเจอพี่แทนก่อนสิ” “ฉันไม่ได้คลั่งคนหล่อนะแก ฉันคลั่งคนดีจ้ะคนสวย” “พี่ชายฉันก็ดีไง” “เชียร์เก่งจัง เป็นไรเนี่ยพี่ชายแกหล่อมากจนหาแฟนไม่ได้รึยังไง” “เปล่า~ แค่เห็นแกสวยเลยอยากได้มาเป็นพี่สะใภ้ อิอิ” “ฮ่า ๆๆ เจ้มิลินนั่นก็สวยไม่เชียร์เหรอจ้ะ” “ไม่เอาอ่ะ ละไว้ในฐานที่เข้าใจเนอะ เจอหน้าไม่กี่ครั้งก็รู้แล้วว่าเป็นยังไง” ขวัญเอยยิ้มแห้งฉันเลยขำเบา ๆ จากนั้นรถก็พาเราไปหยุดที่บ้านหลังใหญ่ที่...สวยมาก~ อ้อ! ไร่ก็สวยนะคะ โคตรสวยเลย สวยมาก ๆ เหมือนอยู่ในวิมานไม่มีผิดคิดไม่ผิดเลยที่มาฝึกงานที่นี่ เราสองคนเข้าไปในบ้านแม่บ้านก็พาฉันไปที่ห้องพัก ห้องสวยค่ะแต่เปิดไปที่ระเบียงสวยมากกว่าเพราะเห็นวิวที่มองไปเห็นไร่ตรงหน้าได้ชัดเจน บ้านอยู่บนเนินเขานี่สวยจริง ๆ เลยนะ อิจฉาเจ้าของบ้านจังที่มีบ้านสวยขนาดนี้ส่วนฉันคงได้แค่ฝัน สิบปีคงไม่มีแม้แต่ปัญญาจะซื้อที่ตรงตีนเขา แหะ ๆๆ “อยู่ตรงไหนนะ” ฉันพึมพำออกมาคนเดียวตรงริมระเบียงหลังจากที่ยืนกวาดสายตามองวิวตรงหน้าแล้วหาอะไรบางอย่าง “ตรงนั้นรึเปล่า” น่าจะใช่รึเปล่านะเพิ่งมาถึงเลยยังไม่ค่อยรู้ทิศรู้ทางเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรหรอกมิ้งค์อีกสักพักเดี๋ยวก็รู้เอง ฉันนอนพักผ่อนเพราะเพิ่งมาถึงไม่ได้มีอะไรให้ทำจนถึงช่วงบ่ายคล้อยเลยออกมาเดินเล่นส่วนยัยเอยน่าจะนอนอยู่นะคะเลยไม่ได้กวนเพื่อน “สวยจัง” ฉันเดินเล่นมาเรื่อย ๆ ออกจากตัวบ้านเดินลัดเลาะมาตามเนินเขาด้านหลังแล้วมองวิวที่หาซื้อไม่ได้ ธรรมชาตินี่สวยมากเลยเนอะมองตอนไหนก็เพลินตาไปหมด “คิดถึงมากเลยค่ะ” “...” หือ ใครคุยโทรศัพท์กับแฟนแถวนี้? “เมื่อเช้าก็เจอกันแล้วไง” อ้าว! ไม่ใช่เสียงคุยโทรศัพท์นี่คะมีเสียงผู้ชายด้วย “แต่มันไม่เหมือนกันนี่คะ” “เหมือนกันนั่นแหละ” “คุณจะไปรู้อะไร แล้วนี่ยังไงคะไปที่บ้านไม่ได้เลยเหรอ” “ไม่ได้ วันนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว” “ก็แค่น้องสาวรึเปล่า พี่ชายจะพาผู้หญิงเข้าบ้านก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักหน่อย” ฉันไม่ได้แอบฟังนะคะแต่บังเอิญว่าสองคนนี้คุยกันเข้าหูฉันเอง “บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้อย่าเซ้าซี้” เสียงผู้ชายเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาฉันว่าฉันพาตัวเองไปจากตรงนี้ดีกว่ามันดูเสียมารยาทยังไงก็ไม่รู้ ฉันรีบขยับตัวมองซ้ายมองขวาหาทางที่จะเดินไปต่อให้พ้นจากตรงนี้ทันที “อย่าเข้าใจผิดสิคะไม่ได้เซ้าซี้ซะหน่อย ไม่เอาค่ะไม่อารมณ์เสียนะทำงานมาเหนื่อย ๆ อุตส่าห์มาเจอกันตรงนี้ทั้งที มาค่ะเดี๋ยวทำให้หายเหนื่อยดีกว่า~” ทำไมผู้หญิงต้องทำเสียงเซ็กซี่ด้วย ที่นี่มีคนงานในไร่มาพลอดรักกันแบบนี้บ่อย ๆ รึเปล่าเนี่ยไม่อายเจ้าป่าเจ้าเขาก็ช่วยเกรงใจเจ้าของไร่ไม่ได้รึ...ไง แกร็บ~ ขวับ! “ว้าย!” “เอ่อ...” “เธอเป็นใคร!” “คือ...สวัสดีค่ะพี่แทน” “ใครเป็นพี่เธอ? ลงไปก่อน” เขาถามฉันเสียงไม่สบอารมณ์แต่ยังไม่ได้คำตอบจากฉันก็หันไปบอกผู้หญิงคนนั้นที่ฉันจำได้ว่าคือยัยเจ้มิลินให้ลงไปจากการนั่งคร่อมตักเขา “มาทำอะไรของเธอ คิดว่าจะเดินเล่นตรงไหนก็ได้รึไง” ยัยเจ้มิลินขยับตัวลงพร้อมกับต่อว่าฉันด้วยเสียงที่เหวี่ยงมาก อารมณ์เหมือนเจ้านายด่าลูกน้องไม่มีผิด แต่ก็คงจะอย่างนั้นไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงกล้าสั่งให้ยัยเอยไปพักที่บ้านแล้วตอบคำถามของยัยเอยแบบเมื่อกลางวันก็เพราะว่ายัยเจ้นี่ท่าทางจะเป็นว่าที่แม่เลี้ยงของไร่สิริภัคดิ์นี่ไง “ขอโทษค่ะ” ฉันได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาแล้วขอโทษนี่ล่ะ ถึงจะเป็นเพื่อนของยัยเอยแต่จะไปมีเพาเวอร์สู้แฟนเจ้าของไร่ได้ยังไงจริงไหมคะ เป็นทั้งผู้จัดการเป็นทั้งแฟนเจ้าของไร่ กินรวบหมดเลยโชคดีเป็นบ้า “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” เสียงเจ้าของที่นี่ถามขึ้นฉันก็ยิ่งก้มหน้า หล่อเกินคำว่าหล่อจริง ๆ นั่นแหละแต่น้ำเสียงไม่น่าสบตาคนหล่ออย่างเขาเลย “เพื่อนคุณขวัญเอยที่จะมาฝึกงานที่นี่ไงคะ เด็กเส้นของท่านประธาน” ฉันแค่เด็กติดสอยห้อยตามเถอะไม่ได้เป็นเด็กเส้นอย่ามาแอบแขวะ! “ไปก่อนไป” “...” “ไปสิ” เสียงแข็งจากยัยเจ้นั่นพูดออกมาเหมือนฉันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องทำให้ฉันได้แต่ก้าวขาแล้วเก็บความโกรธไว้ในใจ นี่สินะชีวิตจริงของการเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตของการเป็นผู้น้อย! “ขอผมคุยกับเด็กคนนี้แบบส่วนตัว” ฉันก้าวขาได้ขาเดียวเสียงเขาก็พูดขึ้นทำเอาฉันแทบหลุดขำ นี่เขาบอกให้ยัยเจ้มิลินแฟนเขาไปหรอกเหรอ ฮ่า ๆๆ แอบสะใจมากเหมือนกันนะที่ยัยเจ้นั่นหน้าแตก “คะ?” นี่ยังต้องทำหน้างงอีกเหรอคะเจ้ขา~ “คุณกลับบ้านพักได้แล้ว” “แต่...ก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้เจอกันนะคะ” ยัยเจ้มิลินอะไรนี่พูดจบก็เขย่งปลายเท้าทำท่าจะหอมแก้มแฟนเพื่อประกาศความเป็นเจ้าของแต่อีกฝ่ายมองหน้าเธอนิ่ง สายตาเย็นชาพอสมควรทำให้อีกคนชะงัก ยัยเจ้มิลินหน้าเสียแต่สุดท้ายก็ยิ้มให้เขาแล้วไม่วายหันมามองจิกฉันแล้วเดินไปทางที่ฉันเพิ่งเดินมาพอยัยเจ้นั่นเดินห่างไปไกลฉันก็รีบปรับสีหน้าให้ดีขึ้นแล้วยกมือไหว้เจ้าของที่นี่ให้เป็นทางการ “สวัสดีค่ะ หนูชื่อมิ้งค์ค่ะเป็นเพื่อนของยัย... / ห้ามบอกเอยเด็ดขาด” “คะ?” ยังพูดไม่จบเลยมือก็ยกไหว้ค้างอยู่เลยเนี่ยแต่เขาก็พูดแทรกซะก่อน น้ำเสียงเต็มไปด้วยคำสั่งแกมข่มขู่ทำฉันใจไม่ดีขึ้นมา First Impression ของฉันกับเขาโคตรแย่เลยสินะ -_-! “ห้ามบอกเรื่องที่เธอเห็นให้เอยรู้เด็ดขาดไม่งั้นเธอฝึกงานไม่ผ่านแน่นอน” เขาไม่เป็นมิตรกับฉันเลย เพราะอะไรแค่เพราะฉันบังเอิญมาเห็นเขากำลังจะพลอดรักกับแฟนของเขาเนี่ยนะ? แฟน รึเปล่านะ? ไม่หรอกไม่ใช่แน่นอน อาการแบบนี้แอบแซ่บกันชัวร์ “หนู...มิ้งค์ไม่เอาเรื่องใครไปพูดหรอกค่ะโดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว” “ก็ดี อย่าให้รู้ว่าเอยรู้เรื่องนี้ก็แล้วกัน” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นี้แล้วเดินผ่านหน้าฉันไปอีกทางทิ้งไว้แค่ฉันที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ก็เห็นยัยเอยเชียร์ฉันอยู่นะ คุยเรื่องพี่ชายก็คุยปกติไม่เห็นจะมีท่าทางเหมือนน้องสาวที่หวงไม่อยากให้พี่ชายมีแฟนเลยแล้วจะต้องกลัวยัยเอยรู้เรื่องนี้จนถึงขั้นขู่จะให้ฉันฝึกงานไม่ผ่านเลยเหรอ? ไม่เวิร์คว่ะมิ้งค์ การฝึกงานที่นี่แม่งไม่เวิร์คแน่ ๆ เพราะมาวันแรกแกก็ไม่เข้าตาคนที่มีอำนาจในนี้ซะแล้วทั้งยัยผู้จัดการตัวร้ายกับเจ้าของไร่หน้าหล่อ “เฮ้อ! เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทางเจ้าขา หนูแค่ตั้งใจมาฝึกงานแล้วก็มาดูแลเพื่อนของหนูเท่านั้นหนูไม่ได้มีเจตนาจะมารับรู้เรื่องส่วนตัวของใคร ขอให้การฝึกงานของหนูผ่านไปอย่างราบรื่นด้วยเถอะนะคะ หนูมาไกลหนูไม่มีที่พึ่งทางไหนเลยได้โปรดเมตตาหนูด้วยนะคะ” #MING END #TANKUN TALK “เฮ้อ! เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่เจ้าทางเจ้าขา หนูแค่ตั้งใจมาฝึกงานแล้วก็มาดูแลเพื่อนของหนูเท่านั้นหนูไม่ได้มีเจตนาจะมารับรู้เรื่องส่วนตัวของใคร ขอให้การฝึกงานของหนูผ่านไปอย่างราบรื่นด้วยเถอะนะคะ หนูมาไกลหนูไม่มีที่พึ่งทางไหนเลยได้โปรดเมตตาหนูด้วยนะคะ” ...ประสาท ผมไม่ได้จะแอบฟังเด็กคนนี้ยกมือไหว้สวดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรอกแต่ผมแค่บังเอิญได้ยินเพราะเด็กคนนี้เปล่งเสียงพูดออกมาเองต่างหาก โคตรบ้าเลยว่ะแต่เห็นแบบนี้ก็อดขำไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจอยู่รอหรอกครับแค่เมื่อกี้เดินไปอีกทางแล้วกลัวว่ามิลินจะแอบดักรอขู่อะไรเธอเพราะผมพอจะรู้นิสัยของผู้จัดการของที่นี่ก็เลยเดินย้อนกลับมา ว่าจะเดินนำไปก่อนไปดูให้แน่ใจว่ามิลินไปแล้วแค่นั้นเอง ผมหยุดยืนมองท่าทางของเด็กคนนี้แล้วก็เผลอยิ้มขำแต่แทนที่จะกลับบ้านเธอกลับนั่งลงตรงม้านั่งที่มิลินเพิ่งนั่งคร่อมผมแล้วมองดูวิวจากภูเขาตรงหน้า “คิดถึงแม่มากเลยค่ะ อยากให้มาด้วยจัง” ยัยเด็กนี่ชอบพูดคนเดียวเหรอวะ? มันก็ไม่แปลกที่คนเราจะคุยกับตัวเองแต่ยัยนี่แม่งเล่นพูดออกมาเลยมันก็เลยแปลกกว่าคนปกติทั่วไปที่เขาจะคุยกับตัวเองในใจ “แต่ดีแล้วค่ะที่แม่ไม่ได้มาด้วย เพราะถ้าแม่มาด้วยแล้วมาเห็นภาพบัดสีแบบเมื่อกี้แม่เป็นลมแน่เลย” ??? นี่ผมโดนแอบเหน็บสินะ หึ ๆๆ ท่าทางจะแสบไม่ใช่เล่นแล้วล่ะเพื่อนขวัญเอยคนนี้ ผมปล่อยให้เธอนั่งเล่นต่อแล้วก็เดินอ้อมไปอีกหน่อยจากนั้นก็เดินกลับบ้าน ระหว่างที่เดินกลับก็โทรหามิลินเพื่อเช็คถึงได้แน่ใจว่าเธอถึงบ้านพักของเธอแล้ว “ไงคะพี่แทน” กำลังจะเดินเข้าบ้านก็เห็นคนคนหนึ่ง คนที่อยู่ในใจผมตลอดมาเดินมาทักทายพอดี “ไงเรา เดินทางเหนื่อยไหม” “นั่งเครื่องชั่วโมงเดียวคิดว่าจะเหนื่อยไหมคะ” ขวัญเอยแกล้งถามผมเลยได้แค่ยิ้มก่อนจะมองที่หน้าท้องของเธอที่ตอนนี้เริ่มนูนขึ้นมานิดหน่อย “รู้ว่านั่งเครื่องแป๊บเดียวแต่ห่วงหลานของลุงไง” ผมพูดจริง ๆ ผมเป็นห่วงหลานในท้อง ตอนที่รู้ว่าขวัญเอยท้องผมทั้งช็อคทั้งเสียใจมากแต่พอเวลาผ่านไปสักพักก็เริ่มทำใจได้ ก็จะให้ทำใจยังไงในเมื่ออีกคนไม่คิดที่จะกลับมาผมก็คงทำได้แค่ทำใจต่อให้ไม่อยากทำเลยก็ตามแล้วจากนี้ไปก็คงทำหน้าที่พี่ชายคิดไม่ซื่อคอยดูแลเธอกับหลานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ขอบคุณนะคะแต่ไม่ต้องห่วงเลยหลานคุณลุงแทนแข็งแรงดีค่ะ” “หึ ๆๆ เก่งทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละ โทษทีนะที่พี่ไม่ได้ไปรับวันนี้มีประชุมด่วนน่ะ” “ไม่เป็นไรค่ะแต่จะว่าไปก็เป็นนั่นล่ะค่ะ” ขวัญเอยพูดแล้วแอบทำหน้าเซ็งนิดหน่อย “เป็นอะไร มีอะไรเหรอ” “ก็พี่แทนพลาดการไปรับคนสวยน่ะสิคะ เซ็งมาก ๆ น่าจะได้เจอกันตั้งแต่แรกที่มาถึง” “เราหมายถึงเพื่อนเรา?” ผมถามตรง ๆ ขวัญเอยก็ยิ้มจนตาหยีแล้วพยักหน้า “ใช่ค่ะ เอยเซ็งมากที่พี่แทนไม่ได้ไปรับเพราะอะไรรู้ไหมคะ เพราะว่าเพื่อนเอยสวยมาก~ รับรองว่าถ้าเห็นแล้วพี่แทนต้องอยากจองมาเป็นพี่สะใภ้เอยแน่นอน” “หึ ๆๆ พูดอย่างกับพี่เจอคนสวยแล้วต้องอยากได้มาเป็นเมียทันที” ผมหัวเราะส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็สวยมากอย่างที่ขวัญเอยบอกนั่นแหละผมไม่เถียงหรอก “รู้ค่ะว่าเจอคนสวยมาเยอะแต่เพื่อนเอยมีมากกว่าความสวยนะคะ ทั้งสวยแล้วก็น่ารักที่สำคัญนิสัยดีมาก ๆ เลยนะ” “อื้ม” ผมพยักหน้ารับแล้วก็ยิ้ม สงสัยจะนิสัยดีจริง ๆ ล่ะมั้งเพิ่งพูดคนเดียวแล้วแอบเหน็บผมอยู่เลย “ไม่เชื่อเหรอคะ” “คนเรามีหลายมุมอยู่ที่ว่าอยู่กับใคร อยู่กับเราอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีแต่ถ้าอยู่กับคนอื่นอาจจะไม่ดีก็ได้” “อะไรคะทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ไม่ชอบเพื่อนเอยรึเปล่าเนี่ย” “เปล่า พี่แค่พูดไปงั้นไม่ได้ไม่ชอบอะไรสักหน่อยคนยังไม่เจอกันจะไม่ชอบได้ยังไง พี่แค่จะบอกว่าเรื่องนิสัยมันต้องดูเอง จะให้เชื่อคำพูดคนอื่นเลยมันก็ไม่ได้จริงไหมล่ะ” “ก็จริงค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะเพราะเดี๋ยวพี่แทนก็เชื่อคำพูดเอยเพราะเพื่อนเอยเป็นอย่างที่เอยอวยทุกอย่าง นั่นไงมาแล้ว ค่อย ๆ หันไปมองนะคะแล้วอย่าตะลึงในความสวยล่ะ อิอิ” หึ ๆๆ ตลกขวัญเอยว่ะแต่ผมก็ทำตามนะครับ หันไปมองเด็กคนนั้นที่กำลังเดินกลับมาที่บ้านแต่ก็ไม่ได้ตะลึงหรอกจะตะลึงได้ยังไงในเมื่อเพิ่งคุยกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอสวยมากอย่างที่ขวัญเอยบอกแต่ชื่ออะไรผมจำไม่ได้แล้วตอนนั้นมัวแต่โมโหที่มีคนไปเห็นแล้วก็กลัวว่าเรื่องจะถึงหูขวัญเอยผมเลยลืมสนใจความสวยกับชื่อของเธอไปเลย “เป็นไงคะ สวยใช่ไหมล้า~” เสียงสดใสจากคนข้างหลังทำให้ผมยิ้ม ดีนะที่ขวัญเอยยืนอยู่ข้างหลังเลยไม่เห็นหน้าผมไม่งั้นเธอคงผิดหวังน่าดูที่ผมไม่ตะลึงอย่างที่เธอคิด “อื้ม” “อะไรอ่ะ ตอบแค่นี้เองเหรอพี่แทน” “ก็สวยไงจะให้พูดอะไรล่ะ” ผมหันกลับมามองขวัญเอยส่วนเด็กคนนั้นเมื่อกี้ก็ทำหน้าลำบากใจนิดหน่อยตอนที่เห็นหน้าผม “ชิส์! มิ้งค์จ๋า~ มานี่เร็วมารู้จักคุณแทนคุณพี่ชายเพื่อนเลย~” ขวัญเอยเรียกเพื่อนของเธอด้วยท่าทางตื่นเต้น นี่คงอยากจับคู่ให้ผมกับเพื่อนรักของตัวเองสินะ หึ ๆๆ ความหวังที่มีแค่ริบหรี่ในใจไอ้แทนดับมอดลงไปแล้วล่ะครับ “สวัสดีค่ะ” ยัยเด็กคนนี้เดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้ผมอีกครั้ง ก็ดีที่ทำเหมือนเราเพิ่งเจอกันไม่งั้นขวัญเอยถามต่อแน่ว่าเจอกันเมื่อไหร่แล้วคุยอะไรกันบ้าง บอกตรง ๆ ว่าไม่อยากโกหกคนท้อง “ครับ” ผมยกมือรับไหว้ทำให้คนที่ไหว้ผมเผลอทำหน้ากระอักกระอ่วนใจออกมา อ่าส์! ฉันก็ไม่อยากแกล้งทำเป็นมีมารยาททั้งที่เพิ่งขู่เธอไปเมื่อกี้เหมือนกันนั่นล่ะวะ “พี่แทนคะนี่มิ้งค์คนสวยของเอยเองค่ะ ดูแลดี ๆ นะคะไม่งั้นร้องไห้กลับบ้านตั้งแต่ยังฝึกงานไม่เสร็จแน่เลย” “ครับ ตามสบายนะที่นี่อยู่กันเหมือนพี่น้องอยู่กันแบบครอบครัวไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองได้เลย” “...ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณแทนคุณ” “แก~ ไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิตเรียกธรรมดาก็ได้คุณเคินอะไร” “ไม่ดีกว่าแกเดี๋ยวไม่ชินขอเรียกแบบนี้ดีกว่า” “แต่... / อย่าบังคับเพื่อนเลยเอยเอาตามที่เพื่อนสะดวกดีกว่า หิวรึยังแม่บ้านน่าจะทำอาหารเสร็จแล้วมั้ง” ผมก็ไม่อยากให้เด็กคนนี้เรียกผมว่าพี่เหมือนกัน ไม่รู้ว่ะ ไม่ใช่ไม่ชอบหน้าแต่ไม่อยากให้เรียกเฉย ๆ หรือถ้าจะเรียกก็คงไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน “โอเคค่ะถ้างั้นไปกินข้าวกันดีกว่าเอยก็เริ่มหิวแล้ว ไปกันแกแม่ครัวที่นี่ทำอาหารเหนืออร่อยมาก~” ขวัญเอยเดินผ่านผมไปเกาะแขนเพื่อนแล้วพาเพื่อนของเธอเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับโม้เรื่องอาหารไปด้วย ผมได้แต่ยืนมองผู้หญิงสองคนที่จะมาอยู่ด้วยอีกหลายเดือน สวยเหมือนกันทั้งคู่แต่นิสัยจะเหมือนกันไหมผมไม่รู้หรอก แต่ต่อให้เหมือนก็ไม่มีทางมีใครมาแทนที่เธอได้เพราะขวัญเอยก็คือขวัญเอย #TANKUN END #MING TALK ...ตามสบายนะที่นี่อยู่กันเหมือนพี่น้องอยู่กันแบบครอบครัวไม่ต้องเกร็ง ครอบครัวแบบไหนเหรอ ครอบครัวเลือดข้นคนจางเหรอ? ใช่แน่นอนเพราะดูจากยัยเจ้มิลินของเขาแล้วก็น่าจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ ...ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองได้เลย ใครจะไปทำตัวตามสบายได้ถามจริงในเมื่อเจ้าของบ้านเพิ่งขู่คนที่มาขออาศัยไปหยก ๆ ที่พูดเมื่อกี้แค่เอาใจน้องสาวตัวเองเท่านั้นแหละ ท่าทางอีตาแทนคุณอะไรนี่จะเกรงใจน้องสาวตัวเองมากน่าดู เฮ้อ! ท่าไม่ดีตั้งแต่วันแรกแต่ก็ทนหน่อยนะมิ้งค์เอ้ยมาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยยัยเอยก็น่าจะคุ้มกะลาหัวแกได้บ้างไม่มากก็น้อยล่ะวะ “แก” ฉันบอกเพื่อนดีไหมนะ “ว่า~” เห็นเพื่อนมีความสุขฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรเลยค่ะ ฉันรู้นะว่ายัยเอยชอบไปแอบร้องไห้เวลาอยู่คนเดียวเพราะฉะนั้นเรื่องที่อึดอัดใจเก็บไว้ก่อนก็ได้มั้งมิ้งค์ อย่างน้อยก็ช่วยให้คนท้องมีสุขภาพจิตดีตอนที่อยู่กับแกเถอะนะ “ไม่มีอะไรแค่จะบอกว่าหิว” “อ้อ ถ้างั้นรีบมาเลยจ้ะมิ้งค์เดี๋ยวเพื่อนพาไปกิน” ขวัญเอยลากฉันให้เดินเร็วกว่าเดิมจนต้องห้ามให้เดินช้าลงเผื่อเพื่อนลืมว่าตัวเองท้องอยู่ พอมาถึงโต๊ะอาหารเจ้าของบ้านก็เดินตามมาฉันถูกจัดให้นั่งตรงข้ามยัยเอย แน่นอนว่าเจ้าของบ้านนั่งหัวโต๊ะและใช่ค่ะฉันกับยัยเอยนั่งขนาบเขาซ้ายขวา เกร็งเป็นบ้าเลยอาหารที่จัดไว้บนโต๊ะน่ากินแต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะกล้ากินเยอะรึเปล่า “น่ากินมาก~ อาหารของที่นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เอยเลือกมาฝึกงานที่นี่เลยนะคะ” “หึ ๆๆ ถ้างั้นก็กินเยอะ ๆ ทั้งคุณแม่แล้วก็คุณลูกล่ะ” “ค่า~” ฉันนั่งฟังสองพี่น้องที่ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดแต่ดูสนิทสนมกันดีแล้วก็เกร็งไปอีกเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองจมหายไปจากโต๊ะอาหารในชั่วขณะหนึ่ง ชิส์! คนก็อุตส่าห์คิดว่ามาแล้วจะต้อนรับกันแบบน้องนุ่งที่ไหนได้ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด ก็อุตส่าห์จะฝากตัวเป็นน้องสาวเพราะเห็นเป็นพี่ชายของเพื่อนรักแต่บอกตรง ๆ นะคะตอนนี้ในสายตาฉันเขาเป็นแค่เจ้าของบริษัทที่ฉันมาฝึกงานแล้วฉันก็ต้องวางตัวให้นอบน้อมที่สุดก็เท่านั้น ถ้าคลานเข่าเป็นทาสในเรือนเบี้ยได้ก็คงทำไปแล้ว -เวลาต่อมา- “มาทำอะไรทำไมไม่เข้านอน” “อุ้ย!” ฉันสะดุ้งแล้วรีบหันไปตามเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง “ว่าไงทำไมไม่เข้านอน” เสียงเจ้าของบ้านโคตรดุเลย นี่เพิ่งสี่ทุ่มเองนะจะรีบไล่ไปนอนถึงไหน “พอดีเห็นตรงนี้วิวดีค่ะเลยออกมานั่งเล่น” “นี่ไม่ใช่เวลามานั่งเล่น” ฉันพยายามจะสร้างมิตรภาพเพื่อให้ตัวเองอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ยากลำบากแต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ชอบเท่าไหร่ -_-! “...ทราบค่ะ” “ขึ้นนอนซะแล้วคราวหลังอย่าทำอะไรตามใจตัวเองอยากออกไปไหนทำอะไรก็ทำแบบนี้อีก มันไม่ใช่บ้านของเธอ” โห~ อาการออกขนาดนี้ทำไมไม่ให้ฉันไปนอนบ้านพักคนงานล่ะยะไปได้นะแบบนั้นน่าจะสบายใจกว่า “ค่ะ!” ฉันรับคำแล้วเดินหนีเขาทันที เผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสมใส่เขาด้วยนะ ฉันกระแทกเสียงใส่แล้วสะบัดหน้าหันหลังให้เขาทันที “เหอะ! กลัวฉันจะไปเห็นว่าแอบพลอดรักกับผู้จัดการอีกรึไงยะ!”
So Sexy Girl สยบรักร้ายนายเจ้าชู้
"พี่เควินคะ" ฉันเดินเข้าไปหาผู้ชายที่ทั้งฮอตทั้งน่ารักก่อนที่จะเรียกชื่อพี่เขาออกมาด้วยพลังทั้งหมดที่มี "ครับ เรียกพี่เหรอ" พี่เขาหันมายิ้มให้ฉันพร้อมทั้งเอียงคอด้วยความสงสัยแล้วก็เอานิ้วชี้ที่ตัวเอง งือ~ น่าร้าก~ ยิ่งเห็นหน้าพี่เขาใกล้ ๆ แบบนี้ก็ยิ่งตกหลุมรัก หน้าหล่อ ขาวใส ออร่าเวอร์ "ค่ะ" ฉันตอบเบา ๆ แล้วก็ยิ้มด้วยความอาย แถมขาเริ่มสั่นแล้ว เอาไงดี เอาไงดี! "มีอะไรกับพี่รึเปล่าครับ" พี่เขามองหน้าฉันยิ้ม ๆ งื้อ~ ถามบ้าอะไรก็ไม่รู้ มีอะไรกับพี่รึเปล่า บ้า! >///< ไม่ใช่แล้วอย่าคิดลึกนะขนมอิอิ เอาวะมาถึงขนาดนี้เเล้วจะถอยก็คงไม่ทัน ตั้งใจแล้วก็ต้องสู้สิ ฉันค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วก็มองหน้าพี่เขาที่กำลังยืนมองฉันอยู่ "หนู...หนูชอบพี่ค่ะ หนูชอบพี่มาก หนูแอบชอบพี่มานานแล้ว พี่คบกับหนูได้ไหม!" กรี๊ด! พูดไปแล้ว พูดไปรัว ๆ คล้ายท่องอาขยาน แต่ไม่เป็นไรเพราะความจริงใจฉันใส่ไปเต็ม อิอิ “น้องชอบพี่?” พี่เขาดูจะไม่ได้อึ้งหรือแปลกใจอะไรกับการสารภาพรักของฉัน พี่เขาแค่ถามพร้อมกับยิ้มแค่นั้น “ค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบรับแล้วก็ยิ้มแฉ่งให้ ใจเต้น ตื่นเต้นไปหมดแล้ว ^///^ “ขอบคุณนะครับ ถ้างั้นพี่ขอตัวก่อนนะ” ฮะ! อะไร? ขอบคุณครับ ขอตัวก่อนนะ แล้วจะทิ้งให้ฉันยืนเบลออยู่ตรงนี้น่ะเหรอ จะไม่พูดอะไรสักนิดเลย? “พี่จะไม่...เอ่อ” ฉันถามเขาเบา ๆ รู้สึกหน้าแหกนิด ๆ ที่พี่เขาไม่หือไม่อืออะไรเลยกับคำสารภาพรัก “ถ้าน้องไม่มีธุระอะไรแล้วพี่ขอตัวก่อนนะครับ” พี่เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติไม่ต่างจากตอนที่หันมาคุยกับฉันในประโยคแรก แถมยังเดินอ้อมฉันเพื่อไปเปิดประตูรถอีก “พี่ไม่ชอบหนูเหรอคะ ถ้าไม่ชอบพี่บอกมาตรงนี้ได้เลยค่ะ หนูโอเค” ฉันหันขวับไปถามทันที คือฉันมาสารภาพรักนะเว้ย ไม่ชอบไม่ว่าแต่บอกดี ๆ สิ ไม่ใช่ขอบคุณแล้วหนีไป ทำแบบนี้มันค้างคาใจ “น้อง น้องยังจะให้พี่พูดอีกเหรอครับ” พี่เค้าหันมามองหน้าฉันพร้อมมองด้วยสายตาที่มีประโยคคำถาม เออสิถ้าไม่ให้พูดฉันจะถามเขาทำไม “ค่ะ หนูอยากได้ยินจากปากพี่ว่าพี่รู้สึกยังไง” “วันนี้พี่มีผู้หญิงมาสารภาพรักเยอะมาก เสนอตัวนอนด้วยก็มี สวย ๆ ทั้งนั้นแต่พี่ปฏิเสธหมดเลย” พี่เขาพูดไปยิ้มไป แต่ทำไมฉันเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขามันไม่ได้สดใสเหมือนที่เคยมองเห็นจากที่ไกล ๆ หรือที่เคยเห็นในรูปเลย “...” “ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมครับว่าคำตอบของพี่คืออะไร กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้วครับ อย่ามาเสียเวลากับพี่เลย สวยกว่าน้องเป็นร้อยเท่าพี่ก็ปฏิเสธมาหมดแล้ว” “พี่ชอบคนสวย?” ฉันถามด้วยความอึ้ง ก็ไม่ได้แปลกใจนะใครล่ะจะไม่ชอบคนสวย ฉันก็รู้ตัวว่าฉันไม่ได้เกิดมสวยจัดจ้านเหมือนคนอื่นเขา หน้าตาก็แค่พอไปวัดไปวา ยิ่งเทียบกับบรรดาผู้หญิงที่พี่เขาควงก็ยิ่งไม่เห็นฝุ่นแต่มันใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดปฏิเสธคนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้ตัวเองด้วยคำพูดแบบนี้เหรอ “ใครไม่ชอบบ้างล่ะน้อง สวยก่อนค่อยมาให้พี่พิจารณาแล้วกันนะครับ ส่วนตอนนี้...พี่ขอผ่านก่อนนะคะ”
Mr. Fox สยบหัวใจนายเจ้าเล่ห์
เขาแค่หวังจะเอาเธอมาแทนที่ใคร แต่สุดท้ายเขาก็ได้รู้ว่าสำหรับเขาแล้ว "ไม่มีใครแทนใครได้"
So Sorry ตำแหน่งนี้ไม่อยากเป็น!
เพราะความจำเป็นทำให้เธอต้องกลายมาเป็นเด็กเสี่ย พร้อมกับคำเตือนจากเขาเอง "ห้ามรักเขาเพราะเขาจะไม่มีวันรักเธอ"
Mr. Coldman รักร้ายของนายเย็นชา
หมับ~ “…” อะไร…วะเนี่ย หมับ~ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่ใช่สิแต่ต้องเน้นเลยต่างหากว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับ...ก้นฉัน! ฟรืบ~ OoO! ใคร...ใครมาลูบก้นมิ่น! ฉันยืนสั่นอยู่ในบีทีเอสประเทศไทยที่ตอนเช้าอัดแน่นกันเป็นลูกอ๊อดที่ถูกอัดอยู่ในถุงสูญญากาศ นี่แทบจะเรียกกว่าหายใจรดต้นคอไม่ได้แล้ว เรียกว่าหายใจรดรูขุมขนของเชื้อแบคทีเรียที่เกาะตามผิวหนังยังจะเห็นภาพได้ชัดกว่า! ฟรืบ~ มะ มันเริ่มลูบอีกแล้ว มาอีกแล้วค่ะ ลูบแล้วก็เริ่มนวดด้วย ฮื่อ~ ฮื่อ ๆๆ แม่จ๋าพ่อจ๋า ปู่ย่าตายายญาติสนิทมิตรสหายทุกคนช่วยมิ่นด้วย มิ่นโดนจับก้น! T^T “ชะ...” หมับ! กำลังจะร้องขอความช่วยเหลือแต่มือที่กำลังเริ่มจะบีบก้นก็ผละออก สงสัยได้แค่เสี้ยววินาทีคิดว่าโรคจิตมันตกใจเสียงฉันเลยรีบเอามือออกแต่ที่ไหนได้มีคนจับออกนี่เอง “เฮ้ย! ทำอะไร?” ขวับ! ฉันหันไปมองพลเมืองดีที่มาช่วยแต่ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่พลเมืองดี นี่มัน...เนื้อคู่ชัด ๆ -///- เนื้อคู่ไม่ได้อยู่ประตูถัดไปแต่อยู่ในโบกี้เดียวกันแถมยังมาในเวลาที่มิ่นต้องการฮีโร่ขี่ แต่ฮีโร่ของมิ่นไม่ได้ขี่ม้าขาวนะคะ ฮีโร่ของมิ่นขึ้นบีทีเอสต่างหาก หล่อ เขาหล่อมาก หน้าหล่อ เสียงหล่อ น้ำใจก็ยังหล่อ หล่อมากเลยค่ะคุณขา หล่อแบบที่มิ่นพร้อมถวายตัวให้เลย >///< “ว่าไง ทำอะไร จับก้นผู้หญิงเหรอ?” เสียงเขาดึงฉันออกจากภวังค์ความหล่อ นี่ไม่ใช่เวลามาหลงความหล่อนะขมิ้น! จับไอ้โรคจิตก่อน! ดูสิคนในโบกี้หันมามองกันเต็มเลยแกอย่าเพิ่งทำหน้าเคลิ้มหลงใหลความหล่อให้อายคนนะขมิ้น “เอ่อ...ปะ เปล่านะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” ฉันเห็นหน้าไอ้โรคจิตแล้ว หน้าตาดีนะคะแต่สันดานโคตรแย่ “ไม่ทำอะไรก็เห็นอยู่” “บ้าเหรอผมไม่ได้ทำอะไร รถแน่นคนเบียดกันขนาดนี้มันก็ต้องมีโดนกันบ้างล่ะน่า” “เหรอ? ถ้างั้นไปคุยกับตำรวจดีกว่า อาการแบบคุณผมว่าตำรวจสอบไม่นานหรอก รีบไหมครับ” เขาคุยกับไอ้โรคจิตแล้วหันมาถามฉัน อาการขมิ้นคนนี้เลิกลั่กยิ่งกว่าตอนโดนจับก้นซะอีกค่ะ “เอ่อ...ต้องรีบไปสอบค่ะ” “โทรบอกอาจารย์ เอาหลักฐานไปให้ดูแล้วขอสอบนอกรอบ” “คะ?” ก็ ก็น่าจะได้นะ มั้งนะ แต่ก็คงได้ล่ะ แต่ก็ไม่รู้จะขอได้ไหม แต่ก็คงได้แหละ “อยู่ม. A ถูกไหม?” “ค่ะ” เขาเห็นเข็มมั้งคะ มหาลัยฉันเป็นมหาวิทยาลับชื่อดังระดับต้น ๆ ของประเทศเลยนะ “คณะอะไร” “อัก อักษรศาสตร์ค่ะ” “วิชาของใคร” ถามเพื่อ? ตอบไปแล้วพี่จะรู้จักคณาจารย์ในคณะของหนูรึไงคะ -_-! “ของอาจารย์ประวิทย์ค่ะ” สงสัยนะแต่ก็ยังตอบออกไป “อ่อ โอเคถ้างั้นเดี๋ยวผมจัดการให้ คุณไปโรงพักกับผมแล้วก็ไอ้นี่ก็พอนักศึกษา” ...นักศึกษา อาจารย์เหรอ? ใช่เหรอคะ? มหาลัยฉันมีอาจารย์หล่อที่ไม่ถูกบอกต่อด้วยเหรอ ไม่จริงอ่ะ... -เวลาต่อมา- “ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณหนูคงแย่” ฉันกับเขาที่ได้รู้ตอนเขาบอกตำรวจว่าชื่อ คุณปกป้อง เดินออกมาจากโรงพกพร้อมกันฉันก็ยกมือไหว้ขอบคุณเขาทันที ชื่อปกป้องแถมยังปกป้องผู้หญิงได้ดีสมชื่อ เขาเกิดมาเพื่อเป็นสุภาพุรุษแบบที่หลายคนตามหาชัด ๆ “ไม่เป็นไร คราวหลังก็ระวังตัวดี ๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกวัน ถ้าเดินอีกก็อย่ากลัวอย่าปล่อยให้มันลวนลาม โวยวายหรือไม่ก็ด่าออกมาเลย” “หนูก็อยากด่านะคะ แต่ตอนนั้นมันตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก” “ก็จำไว้เป็นบทเรียน เอาล่ะเสร็จธุระแล้วก็รีบไปสอบเถอะเดี๋ยวอาจารย์ดุ” “จริงด้วย! หนูลืมไปเลย ว่าแต่ที่คุณบอกว่าคุณจะจัดการเอง / ผมโทรบอกอาจารย์ของคุณให้แล้ว ไปเถอะไม่ต้องห่วง” ท่าทางเขาจะดูออกว่าจะถามอะไรถึงได้พูดแทรกออกมา แถมยังยิ้มให้ด้วยนะ เป็นรอยยิ้มให้กำลังใจที่ทำให้ใจมิ่นฟูมากเลยค่ะคุณขา -///- “คุณ...เป็นอาจารย์ที่มหาลัย หนูไม่เคยเห็นเลย” ก่อนที่เราจะจากกันฉันก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่สงสัย คุณปกป้องของขมิ้นก็ยิ้มอ่อนโยนให้ทันที “กำลังจะเป็น คงได้เจอกันนะ...นักศึกษา” ใช่จริง ๆ ด้วย คำว่ากำลังจะเป็นแสดงว่าเขาเป็นอาจารย์ใหม่สินะ “...ค่ะ” คงได้เจอแล้วหนูก็หวังว่าเราจะได้เจอกันบ่อย ๆ นะคะ...อาจารย์ >///< ฉันลาเขา ยกมือไหว้เขาอีกครั้ง อยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้แต่ก็ดูท่าทางเขาจะมีธุระเหมือนกันเลยไม่ได้ทิ้งคอนแท็คอะไรไว้เพื่อสานสัมพันธ์ต่อ เอาเถอะคุณเขาบอกว่ากำลังจะเป็นอาจารย์แถมยังบอกทิ้งท้ายเองว่าคงได้เจอกันนะนักศึกษา นั่นก็หมายความว่าต้องได้เจอแน่ ๆ ฉันเลยไม่ได้ทอดสะพานอะไรอีกเพราะทำอาหารไม่เก่งซะด้วยสิ อีกอย่างฉันก็ถือคติ...คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก ^^ ...ถ้าเราคู่กันสักวันอาจารย์จะเดินเข้ามาหาหนูเอง ^^ เซย์ไฮนะคะ ฉันลืมแนะนำตัวไปใช่ไหม ฉันเป็นสาวน้อยนักศึกษาอยู่ปี 2 คณะอักษรศาสตร์ชื่อ ขมิ้น ชื่อน่ารักใช่ไหมคะ ใช่ค่ะใครต่อใครก็บอกแบบนั้นเวลาได้ยินชื่อครั้งแรกหรือรู้จักกันครั้งแรก แต่พอนาน ๆ ไปทุกคนกลับเรียกฉันว่า...มิ่น อีมิ่น หรือ...อีมี้น~ -_-! แต่ช่างเถอะ ชื่อนั้นสำคัญไฉนฉันเชื่อคำนี้มาเสมอเพราะต่อให้ชื่อจะน่ารักแค่ไหนแต่สุดท้ายชีวิตของฉันดันบัดซบบรมตั้งแต่ที่ได้เจอไอ้สำเพ็ง เอ๊ย! ไอ้เส็งเคร็ง ไอ้เส็งเคร็งที่หน้าตาโคตรหล่อแต่สันดานดันอุบาทว์ชาติชั่วอย่างไอ้คนที่ชื่อ...แม็คเวล
So Long ลารักร้ายผู้ชายสารเลว!
"อื๊อ~ ซี๊ด~ กระแทกแรงๆ เลยค่ะที่รัก อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!" ปัง! "แอล!" "เฮ้ย! เข้ามาทำไมวะ" "ยังกล้าถามอีกเหรอ? ฉันมากกว่าไหมที่ต้องถามนายว่ากำลังทำบ้าอะไร!" "ซี๊ด~ เอากันอยู่ไง ไม่มีตาดูรึไง" "ก็เพราะมีตาดูไง ถึงได้ถาม นายทำแบบนี้ได้ยังไง นายคบกับฉันแต่มาเอากับผู้หญิงคนอื่นนี่นะ!" "ก็เธอไม่ให้ฉันเอา ฉันก็ต้องมาเอากับคนอื่นสิวะรู้แล้วก็รีบออกไปสักที ขัดจังหวะฉิบ"
SO BAD เพื่อนสนิทร้ายซ่อนรัก
"ต่อไปนี้เรามาคบกันแบบเพื่อนนอนด้วยได้ไหมวะ เอากันสนุก ๆ มีความสุขทั้งสองฝ่าย แต่ไม่ต้องผูกมัด”