บทย่อ
“พี่ไปหลายปีจะไม่ดื้อใช่ไหม” “เอยเคยดื้อด้วยเหรอคะ” “ก็ไม่ แต่ไม่เคยก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ดื้อ” “ไม่เคยก็ไม่ได้แปลว่าวันหนึ่งจะต้องเคยนี่คะ” เธอตอบโต้เขากลับด้วยคำพูดแสนฉลาดที่มาพร้อมกับเสียงน่ารักปนหวาน “เข้าใจคำว่าดื้อของพี่รึเปล่าเรา” “ก็...เข้าใจสิคะ” ขวัญเอยตอบคนที่มองหน้าเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง เข้าใจสิแต่เธอขอแค่อย่าพูดให้ตรงประเด็นมากเกินไปก็พอเพราะเธอคงอายเกินกว่าที่จะคุยกับเขาได้ เหมือนอย่างตอนนี้ไงที่คำพูดของเขากำลังทำให้เธออาย “เข้าใจว่า?” เขาขยับเข้ามาหาเธอนิดหน่อยแต่แค่นิดเดียวก็ใกล้กันมากแล้ว “ก็...เอยไม่ดื้อหรอกค่ะ” ขวัญเอยก้มหน้าหลบตาเขาก่อนจะตอบออกมาทำให้อีกคนยิ้มด้วยความเอ็นดูแล้วเอามือเชยคางเธอให้เงยหน้าสบตากับเขา “...” เขาจะรู้บ้างไหมว่าเธอใจเต้นแรงแทบบ้าอยู่แล้ว ยิ่งพอได้สบสายตาอบอุ่นของเขาเธอก็มือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันที “แค่สี่ปี รอพี่ก่อนนะเอย” “...” เธอทำได้แค่ฟังและมองเขาเท่านั้นแต่เธอพูดอะไรไม่ออกเลยเพราะนอกจากความเขินอายก็มีความรู้สึกกังวลมากมายในใจเกิดขึ้น “รอพี่นะเอยอย่าไปไหน รับปากพี่ได้ไหม” “แต่...” “พี่คุยกับผู้ใหญ่แล้วแค่พี่เรียนจบแค่นั้น ไม่มีใครไม่เอ็นดูเอยเลยนะ” มือที่เคยเชยคางขยับมาประคองแก้มของเธอช้า ๆ ยิ่งทำให้ขวัญเอยมีอาการมือไม้อ่อนแรงมากกว่าเดิม “...” “พี่รู้ว่าเอยกังวลเรื่องอะไร ไม่มีอะไรต้องกังวลรู้ไหม ขอแค่เราสองคนตั้งใจเรียนแล้วถึงวันนั้นพอเรากลับมาเจอกันทุกอย่างมันจะดี เอยเชื่อใจพี่ได้ไหม” “...ค่ะ ตั้งใจเรียนนะคะ” เธออยากรับปากเขาแต่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยพูดออกมาได้เท่านี้แต่เขาก็รู้ว่านั่นคือการตอบตกลงถึงได้ยิ้มแล้วขยับใบหน้าหล่อที่ใครต่อใครก็หลงใหลไปใกล้โดยที่ขวัญเอยทำได้แค่ยืนนิ่งเหมือนถูกสะกดไว้ ฟอด~ “...” “พี่จะไม่มีใคร รอพี่กลับมานะเอย” เสียงอบอุ่นของเด็กหนุ่มที่กำลังจะก้าวเข้าสู้การเป็นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นแผ่วเบาหลังจากจูบหน้าผากของสาวน้อยที่เขาหลงรักมานาน จูบมัดจำเอาไว้ก่อนแล้วอีกสี่ปีข้างหน้าเมื่อถึงเวลาเขาค่อยกลับมาทำในสิ่งที่เขาต้องการทำ -เวลาต่อมา- “ขอบใจมึงมากนะที่มา” เจ้าของปาร์ตี้ในคืนนี้เอ่ยขึ้นในระหว่างที่แขกในปาร์ตี้เลี้ยงส่งของเขากำลังสนุกสนานกันอยู่ “ขอบคุณทำห่าไรกูไม่ได้ลำบาก แค่กระโดดข้ามรั้วมาก็ถึง” “กูก็แค่ขอบคุณตามมารยาทมึงจะพูดขัดทำไมวะ” “หึ ๆๆ เออ เดินทางปลอดภัยตั้งใจเรียน ฟันสาวเมกาเยอะ ๆ เผื่อกูด้วยแล้วกัน” “ไม่มีทาง” “ไม่เผื่อ?” “ไม่ฟันสิวะ” “กูไม่เชื่อมึง” “กูไม่ใช่มึง พอ ๆๆ เลิกพูดเรื่องทะลึ่งสงสารเอยบ้าง” “สงสารเอยหรือกลัวเอยได้ยินว่ามึงจะไปทำอะไรกันแน่วะ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเล่ห์ซึ่งแน่นอนว่าคนฟังรู้ว่าเพื่อนของเขาแถมยังเป็นเพื่อนบ้านแค่แกล้งเล่นเท่านั้น “พอเลยมึงน้องยังเด็ก อย่าไปฟังมันล่ะเอย” “ค่ะ” ขวัญเอยรับคำสั้น ๆ แล้วยิ้มเพราะเธอรู้ว่าพี่ชายข้างบ้านแค่พูดเล่นไปงั้น “หึ ๆๆ ระวังมันหอบสาวเมกากลับมาบ้านนะเด็กน้อย” “เอยว่าถ้าหอบมาน่าจะหอบมาฝากคนอื่นมากกว่า...สักโหลจะพอรึเปล่าคะ” “...” อีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรกลับแค่ยิ้มให้เธอเท่านั้นก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แล้วจากนั้นทุกคนในวงสนทนาก็สนุกสนานกับปาร์ตี้คืนนี้จนเมามาย จะมีก็แค่ขวัญเอยเท่านั้นที่ไม่เมาเพราะเธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดและไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ -เวลาต่อมา- แอด~ “...ใครคะ?” “...” “เอยถามว่าใคร!” หมับ! “ว้าย! ปล่อยนะ! อื้อ! อื้อ!!” แคว๊ก! “อื้อ!!!” -สี่ปีต่อมา- “พี่เอยสวยจัง” “ขอบใจจ้า” “หนูพูดจริง ๆ นะคะ พี่เอยสวยมาก ๆ เป็นไอดอลความสวยของหนูเลย” “ฮ่า ๆๆ พี่รู้แล้วเด็กน้อย ขอบใจนะจ้ะ แล้วนี่จะกลับรึยัง” “พี่เอยจะกลับแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูก็กลับแล้วล่ะค่ะแต่รอแฟนซ้อมบาสกับชมรมก่อน” “โอเค ถ้างั้นพี่กลับก่อนนะ” “ค่ะพี่เอย สวัสดีค่ะ” “จ้า เจอกันวันจันทร์นะจ้ะ” “ค่ะ” รุ่นน้องที่ฉันมาช่วยงานกิจกรรมโบกมือลาฉันก็โบกลาเหมือนกันแล้วเดินออกจากคณะ วันนี้วันศุกร์เดี๋ยวต้องกลับบ้านค่ะ ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด ...พี่ลุค “...” ติ๊ด! “ค่ะพี่ลุค” “อยู่ไหนแล้วเรา” “กำลังออกจากคณะค่ะ พี่ลุคมาถึงแล้วเหรอคะ” “อื้ม พี่กำลังเลี้ยวเข้ามหาลัยเอย รอพี่หน้าคณะเลยนะ” “ได้ค่ะ ไม่ต้องรีบนะคะ” “โอเค” ติ๊ด! พี่ลุคพี่ชายข้างบ้านที่เรียนอยู่มหาลัยใกล้ ๆ กันจะแวะมารับฉันกลับบ้านในเย็นวันศุกร์เสมอตั้งแต่ฉันเรียนปีหนึ่งจนตอนนี้อยู่ปีสามแล้ว แต่ปีหน้าพี่เขาเรียนจบฉันคงต้องเดินทางเอง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ ปัญหามันอยู่ที่ปีหน้าคนไกลก็จะเรียนจบแล้วกลับมาเหมือนกัน คนไกลที่ฉัน...แทบจะไม่ได้ติดต่อเขาเลย บรื๊น! บรื๊น!! เสียงสปอร์ตคาร์คันหรูดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ข้างฉันซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครและไม่มีใครมองมาด้วยความแปลกใจหรอกในเมื่อคนที่นี่เห็นจนชินตาแล้ว “สวัสดีค่ะพี่ลุค” “ไงเราเรียนเป็นไงบ้าง” “หนักมากค่ะ หนักสุด ๆ” ฉันบอกพี่ลุคแล้วก็ทำหน้าเหนื่อยตบท้ายไปด้วย “หึ ๆๆ เด็กเก่งแบบขวัญเอยบ่นว่าเหนื่อยเพราะเรียนแล้วคนอื่นจะเป็นยังไง” “เอยก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นนี่คะมันก็ต้องมีบ่นกันบ้าง” “ถ้างั้นพี่พาไปหาอะไรอร่อย ๆ กินให้หายเหนื่อยดีไหม” “อืม...” “เลือกร้านเลยไม่ต้องคิด” พี่ลุคพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้ทันฉันเลยฉีกยิ้มใส่ “ไม่เลือกได้ไหมคะ” “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าร้านที่อยากกินอยู่ไกลมาก” “ก็...แหะ ๆๆ” “หึ ๆๆ ให้พี่เดาต้องเป็นร้านที่แชร์ไว้ล่าสุดแน่นอน” “หูย~ ไม่มีใครรู้ใจเอยเท่าพี่ลุคอีกแล้วในโลกนี้” “...ไม่หรอก เอาร้านนั้นใช่ไหมถ้างั้นเอยเปิดจีพีเอสให้พี่เลย” พี่ลุคเงียบไปนิดหน่อยถึงได้พูดออกมาแล้วจากนั้นก็เคลื่อนรถส่วนฉันก็หยิบโทรศัพท์ของพี่ลุคมาเปิดจีพีเอสนำทางให้เขา “แล้ววันนี้พี่ลุคเป็นยังไงบ้างคะ” “พี่เหรอ ก็เหมือนเดิมนั่นแหละปีสุดท้ายเรียนไม่หนักแต่งานหนัก” “ค่ะ ปีหน้าเอยก็คงเจอแบบเดียวกันเนอะ” “อื้ม แต่เอยเก่งไม่ต้องเครียดหรอก” “ใช่ค่ะ เอยเก่งแล้วที่สำคัญเอยมีพี่ลุคคอยช่วยด้วยใช่ไหมคะ” ฉันอ้อนพี่ลุคนิดหน่อยทำคนที่กำลังขับรถและมองถนนด้วยความตั้งใจยิ้มออกมา ถึงจะแค่ยิ้มมุมปากก็ตามเถอะแต่ฉันรู้ว่าเขาต้องกำลังมีความสุขแน่นอน ...แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีมากแล้วจริง ๆ เราทั้งคู่ใช้เวลาไม่นานก็ไปกินข้าวร้านที่ฉันอยากกินนั่งคุยสัพเพเหระระหว่างที่กินข้าวกันจากนั้นพอกินเสร็จก็ตรงกลับบ้าน “ง่วงไหม” “ไม่ค่ะ” “ถ้าง่วงก็งีบไปเลยะนะรถมันติดมาก” ใช่ค่ะรถติดมา ออกมาได้ยี่สิบนาทีแต่มองกระจกหลังยังเห็นป้ายร้านอาหารชัดอยู่เลย “เอยขอโทษนะคะ ชอบอยากกินแต่ร้านที่อยู่ไกลตลอดเลยทั้งที่เป็นวันศุกร์แท้ ๆ” เย็นวันศุกร์คือวันที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดมากใครต่อใครก็รู้ แล้วก็เป็นประจำที่เราสองคนต้องเจอกับปัญหารถติดหลังจากกินข้าวในเย็นวันศุกร์เรียบร้อย “ไม่เป็นไรหรอกไม่ได้ไปกินทุกวันซะหน่อย” “แต่เอยก็เกรงใจอยู่ดี ทั้งมารับส่งทั้งพาไปกินข้าวแล้วเอยยังพาพี่ลุคมาเจอรถติด เอยเกรงใจพี่ลุคมากเลยนะคะ” “หึ ๆๆ นี่แกล้งพูดรึเปล่า” พี่เขาหันมายิ้มขำฉันนิดหน่อยฉันเลยแอบย่นจมูกให้ “ไม่ได้แกล้งเลยค่ะ ตอนหิวมันก็อีกอารมณ์นะพี่ลุคแต่พอตอนกลับเจอรถติดแบบนี้ประจำเอยก็รู้สึกผิดที่ทำพี่ลุคลำบาก ขับรถแบบนี้เหนื่อยน่าดู” “ไม่เป็นไรหรอกน่าพี่เต็มใจ เราอยากกินอะไรก็บอกพี่แบบนี้แหละพี่พาไปได้ไม่ได้ลำบากอะไร” พี่เขาพูดออกแล้วก็เอามือมาวางบนหัวฉันก่อนจะขยี้เบา ๆ แล้วก็หันไปขับรถต่อ “เอาใจน้องเก่งขนาดนี้จะเอาใจสาว ๆ เก่งขนาดไหนคะเนี่ย” ฉันถามพี่ลุคพร้อมกับจัดทรงผมที่เขาเพิ่งขยี้ให้เข้าที่เข้าทางส่วนคนโดนถามก็หันกลับมามองฉันในทันทีที่ถามจบ “เอาใจสาว ๆ เก่งขนาดไหนน่ะเหรอ...ก็เอาใจเก่งขนาดนี้ไง แต่เอาใจคนนี้คนเดียวนะเพราะมีคนเดียวไม่เคยมีคนอื่น” “...เอยไม่คุยกับพี่ลุคดีกว่า” “หึ ๆๆ ทำไมเขินเหรอ” “ง่วงค่ะ” “เอ้า! เมื่อกี้เอยบอกพี่ว่าไม่ง่วงไม่ใช่รึไง” “เมื่อกี้กับตอนนี้คนละเวลาค่ะ” ขวัญเอยบอกผมแล้วแอบย่นจมูกใส่นิดหน่อยอย่างที่เธอชอบทำเวลาจะแกล้งผมก่อนจะหันหน้าไปอีกด้านแล้วแกล้งหลับทันที หึ ๆๆ เด็กน้อยของผมน่ารักเสมอ เพราะแบบนี้ไงถึงทำให้ผมยอมทำอะไรหลายอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเอง...เสียเธอไปให้ใคร -เวลาต่อมา- “เอย” “เอยครับ” “น้องเอย~” “อื้อ~” “หึ ๆๆ ถึงแล้วเด็กน้อย” ผมปัดปอยผมตรงหน้าให้เธอเบา ๆ รถติดใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน คนที่แกล้งหลับตอนแรกก็ถึงกับหลับไปจริง ๆ มาถึงบ้านแล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีก “อื้อ~ ขะ ขยับไปสิคะ” ขวัญเอยลืมตาแล้วก็นิ่งไปเพราะผมโน้มตัวลงไปปลุกเธอใกล้ ๆ จนหน้าเราห่างกันไม่ถึงคืบ “...อยากจูบ” “พี่ลุค” เสียงเธอเรียกชื่อผมเบา ๆ แล้วเอนตัวไปข้างหลังแต่ไม่ได้เอนเพื่อให้ทำอะไรหรอกเธอเอนเพื่อหนีต่างหาก ส่วนผมก็มองเธอด้วยสายตาที่ผมรู้ว่ามันกำลังรู้สึกอะไรแล้วก็จับมือเธอที่วางอยู่บนตักตัวเองแล้วบีบคลึงช้า ๆ “ไม่ทำหรอกน่าพี่ก็แค่บอกเฉย ๆ ว่าอยากทำอะไร” “...” “หึ ๆๆ ลงรถได้แล้วยัยเด็กน้อยพี่อยากกลับบ้านไปอาบน้ำ” “...ค่ะ ขอบคุณนะคะ” “ครับผม” ผมตอบรับขวัญเอยที่กำลังนิ่ง ไม่รู้ว่าเขินหรือว่ากำลังกลัวกันแน่ ขวัญเอยไม่พูดอะไรต่อนอกจากเดินลงรถแล้วยืนรอให้ผมขับรถกลับบ้าน “เข้าบ้านสิ” “พี่ลุคก็ไปก่อนสิคะ” “ไม่ได้ เอยเข้าบ้านก่อนครับ” “ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” “ฝันดีนะเอย” “ค่ะ” ขวัญเอยยิ้มให้ผมบาง ๆ ก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้านหลังใหญ่ที่เป็นบ้านของเพื่อนบ้านผมแต่ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรอกเป็นเพื่อนที่เรียนและเล่นด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลด้วยต่างหาก “ไงจ๊ะพ่อลูกชาย” “ยังไม่นอนเหรอครับ” ผมหันไปทักทายผู้หญิงที่สวยที่สุดในบ้านนี้ที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งแต่ผมไม่ได้สังเกตเพราะแม่ไม่ได้เปิดไฟจนสว่างจ้า “ยัง แม่รอลูกชายแม่อยู่ ไปไหนมาจ้ะสุดหล่อของแม่กลับดึกเชียว” “กินข้าวเฉย ๆ ครับแต่รถติดก็เลยถึงบ้านเกือบดึก แค่เกือบสี่ทุ่มไม่เรียกดึกนะครับแม่ถ้าดึกต้องเที่ยงคืนตีหนึ่ง” ผมเน้นคำว่าเกือบดึกเพราะเมื่อกี้แม่พูดคำว่ากลับดึกออกมาทำให้แม่มองค้อนผม “เดี๋ยวเถอะนะตาลุคนี่” “หึ ๆๆ ผมว่าแม่น่าจะไปนอนได้แล้วนะครับ เดี๋ยวความสวยที่ไม่สร่างมันจะหายไปนะแม่” “ฉันรู้ย่ะ” “ถ้างั้นขึ้นนอนกันดีกว่าครับเดี๋ยวผมไปส่ง” ผมเดินไปหาแม่เพื่อประคองท่าน แม่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับผมแค่อยากอ้อนอยากดูแลแม่แค่นั้น แต่พอผมเดินไปใกล้แม่ก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น “เดี๋ยวก่อน แม่บอกว่าแม่รอลูกไง ยังไม่ได้คุยกันเลยนะตาลุค” “...ผมรู้ว่าแม่จะคุยเรื่องอะไร ไม่ต้องบ่นเรื่องเดิม ๆ หรอกครับเดี๋ยวหน้าเหี่ยวไม่รู้ด้วยนะ” ผมตอบออกไป พยายามทำเสียงอารมณ์ดีเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเอง “ลุค” แม่ไม่ได้สนคำพูดหยอกเย้าของผมแต่ท่านเรียกผมเสียงแข็งขึ้นเพื่อเตือนอะไรบางอย่างทำให้ผมเองก็นิ่งไป “...ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย” “แม่รู้ แต่ลูกกับตาแทนเป็นเพื่อนกันนะลุค ลูกจะทำแบบนี้ไม่ได้ ถ้าตาแทนกลับมาเห็นว่าลูกไปไหนมาไหนกับหนูเอยตาแทนจะรู้สึกยังไง แม่ไม่ห้ามถ้าลุคจะรับส่งน้อง ลุคกับน้องโตมาด้วยกันเป็นพี่เป็นน้องช่วยเหลือดูแลกันได้แต่อย่าให้มันมากไป” “...เรื่องแบบนี้อยู่ที่ว่าน้องจะเลือกใครครับแม่ แม่อย่าบอกให้ผมถอยแค่เพราะเป็นเพื่อนไอ้แทนเลยครับมันไม่ยุติธรรมกับลูกชายแม่สักนิดเพราะผมก็รักของผมมากเหมือนกัน” #LUKE END #KWANAOEI TALK แอด~ “...ใครคะ?” “...” “เอยถามว่าใคร!” หมับ! “ว้าย!ปล่อยนะ!อื้อ!อื้อ!!” แคว๊ก! “อื้อ!!!” ฉันร้องด้วยความกลัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเพราะทันทีที่ใครก็ไม่รู้เข้ามาในห้องเขาก็ตรงดิ่งเข้ามาหาฉันในความมืดแล้วนั่งคร่อมเอามือข้างหนึ่งปิดปากไม่สิไม่ได้ปิดแต่กดลงมาจนฉันขยับคอไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วมืออีกข้างก็ฉีกกระชากเสื้อของฉันจนขาด หมับ! “อื้อ!อื้อ!!” ฉันกลัว กลัวมากเพราะคน ๆ นี้เข้ามาทำอะไรอุกอาจในห้องโดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย มือเขาปิดปากปิดจมูกของฉันเต็มแรงจนฉันที่อยากสะบัดหน้าให้หลุดพ้นไม่สามารถทำได้แถมกลิ่นเหล้ายังคละคลุ้งเต็มไปหมดจนฉันแทบอาเจียนออกมา “อื้อ!” ฉันพยายามร้องแต่ก็เท่านั้น ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดเลยอีกอย่างบ้านหลังนี้ห้องทุกห้องเป็นห้องเก็บเสียงร้องออกไปคงไม่มีใครได้ยินนอกซะจากจะพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดออกไปจากห้องนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นฉันคง...โดนข่มขืน แคว๊ก! “อื้อ!” ยิ่งดิ้นคนคนนี้ก็ยิ่งฉีกกระชากเสื้อผ้าฉัน ห้องมันมืดมาก มืดจริง ๆ นะเลยทำให้ฉันมองไม่เห็นอะไรรู้แค่ชุดนอนกำลังขาดวิ่นไปหมดแล้ว จ๊วบ~ “อื้อ!” ฉันน้ำตาไหลพรากออกมาทันทีที่คนคนนี้ก้มลงมาดูดคอ ฉันกลัวที่สำคัญฉันรังเกียจที่ใครก็ไม่รู้กำลังขืนใจฉัน “อื้อ!” ฉันใช้แรงเฮือกสุดท้ายดิ้นสุดแรงเกิดจนสุดท้ายก็หลุดพ้น ผลัก! “ช่วยด้วย!ช่วย...อื้อ!” ฉันผลักเขาออกจนหลุดพ้นแล้วตะโกนสุดเสียง เป็นเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว มันดังชนิดที่ฉันมั่นใจว่าต่อให้เป็นห้องเก็บเสียงก็น่าจะดังเล็ดลอดออกไปบ้างล่ะไม่มากก็น้อยแต่เป็นอิสระแค่ไม่กี่วินาทีฉันก็ถูกปิดปากไว้อีกครั้งแล้วจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมากจนฉันตั้งตัวไม่ทันทำอะไรไม่ได้เลย จ๊วบ~ “อื้อ!” เพราะอยู่ในชุดนอนเลยไม่ได้ใส่ชุดชั้นในฉันในสภาพที่โดนเอามือปิดปากโดนร่างกายใหญ่คร่อมทับเอาไว้เลยทำอะไรไม่ได้ตอนที่โดนเขาก้มลงไปดูดที่หน้าอก “อื้อ!อื้อ!!” จ๊วบ~ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ~ “อื้อ!ฮึก!” ฉันขยะแขยง ฉันรังเกียจ ฉันไม่รู้ว่าคนที่กำลังล่วงเกินร่างกายฉันคนนี้เป็นใคร และที่สำคัญฉันไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองนับจากนี้และฉันจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ยังไง “อืม~” เสียงของคนคนนี้ดังออกมาจากลำคอให้ฉันได้ยินเป็นครั้งแรก มันเป็นเสียงที่...คุ้นหู คุ้มมากเหลือเกินคุ้นซะจนฉันเกือบจะมั่นใจว่าเขาคือ...แต่ไม่ใช่หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ใช่แน่นอน ไม่มีทางที่เขาคนนั้นจะทำร้ายฉันได้ ไม่มีทาง สวบ! “อื้อ!!!” ก่อนที่จะคิดอะไรไปได้มากกว่านี้ฉันก็รู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้ามาในร่างกาย ตรงกลางร่างกายที่ไม่เคยมีใครเข้ามาล่วงล้ำแต่วันนี้มันกลับถูกล่วงเกินโดยที่ฉันเองไม่ได้เต็มใจ ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะขัดขืนด้วยซ้ำแถมคนคนนี้ยังไม่แม้แต่ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายของเขาเลยสักชิ้น “อ่าส์~” เสียงคนที่อยู่บนตัวฉันครางออกมาด้วยความสุขโดยที่ไม่สนเลยว่าฉันกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหนจากนั้นสิ่งที่มันสร้างความเจ็บปวดให้ฉันจนเหมือนร่างกายกำลังฉีกขาดออกจากกันก็ขยับทันที ขยับด้วยความรุนแรงทั้งที่ร่างกายฉันฝืดเคืองมาก “อ่าส์~” เสียงครางจากคนข้างบนดังขึ้นมาให้ได้ยินเป็นระยะ เป็นเสียงครางที่ฟังดูมีความสุขมากทั้งที่ฉันกำลังสะอื้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน พั่บ! พั่บ พั่บ พั่บ! “อื้อ~ ฮึก! อื้อ!!!” ฉันเจ็บ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บแทบขาดใจตาย มันทรมานมากจนไม่รู้ว่าตัวเองจะผ่านเหตุการณ์เลวร้ายกับความเจ็บปวดในครั้งนี้ไปได้ยังไงดี “อ่าส์~” ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากคน ๆ นี้ มีแค่เสียงครางด้วยความสุขสมเท่านั้น เสียงครางที่คลอกับเสียงเจ็บปวดทรมานของฉัน พั่บ! พั่บ พั่บ พั่บ! “อื้อ!อื้อ!!!” ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันจะมีความสุขอะไรเลย ทำไมมันมีแต่ความทรมาน แล้วเขาคนนี้ ไอ้ชาติชั่วคนนี้มีความสุขได้ยังไงทั้งที่อีกคนไม่ได้มีอารมณ์ร่วมแถมมือข้างหนึ่งก็เอามือมาปิดปากฉันไว้ตลอดเวลา “โอ้ว อ๊าส์~” “อื้อ!!!” เขากดร่างกายเข้ามาเต็มแรงจากนั้นก็กดแช่เอาไว้ในร่างกายฉันแล้วเขาก็เกร็งกระตุกซึ่งฉันรู้ดีต่อให้ไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อนว่าอาการนี้เขาเรียกว่าอะไร เขากดร่างกายเอาไว้อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนซบอยู่ที่อกฉันแล้วหายใจถี่ด้วยความเหนื่อยและตอนนี้ปากฉันก็เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกมือที่น่าขยะแขยงกดเอาไว้เป็นเวลานาน “ฮึก! ปล่อย~” ฉันไม่มีเรี่ยวแรง ฉันเจ็บร้าวระบมไปทั้งตัวถึงจะไม่ถูกกระทำทารุณแต่ฉันก็ทรมานมากเหลือเกิน “อืม~” ไม่มีการกระทำที่บ่งบอกว่าฟังคำพูดของฉัน มีแค่ส่วนนั้นที่ถูกกดเข้ามาแล้วก็ตามมาด้วยเสียงครางที่ฉันขยะแขยง โคตรขยะแขยงเลย “อ่าส์~” เวลาผ่านไปพักหนึ่งร่างสูงใหญ่ขยับออกจากร่างกายฉันที่นอนหมดเรี่ยวแรงช้า ๆ โดยที่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากนอนน้ำตาไหลพรากอยู่ที่เดิมเท่านั้น แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็เดินกลับมาอีกครั้งทำให้ฉันกลัวจนหายใจแทบไม่ออก กลัวว่าเขาจะมาทำอะไรฉันอีก เขาเดินมาใกล้ใจฉันก็แทบหยุดเต้นแล้วจริง ๆ ยิ่งเตียงยวบลงอีกครั้งไหนจะไออุ่นจากร่างกายใหญ่ที่แผ่ออกมาให้ฉันสัมผัสได้แล้วลมหายใจอุ่น ๆ ก็รินรดอยู่ข้างหูฉันก็ยิ่งน้ำตาไหลพรากกัดปากตัวเองด้วยความกลัวจนได้รสคาวของเลือด ฉันไม่ได้รู้สึกสยิวเลย ฉันกลัวฉันขยะแขยงแทบตายอยู่แล้ว! “อย่าเป็นของคนอื่นเด็ดขาด~” เฮือก!!! “...ฮึก! ฮื่อ ๆๆ ฮื่อ ๆๆ” กี่ครั้งที่ฉันต้องฝันถึงเหตุการณ์นั้น อีกกี่ครั้ง มันต้องอีกกี่ครั้ง! -วันต่อมา- ติ๊ง! Luke : ได้กลิ่นอะไรหอม ๆ “...” หือ? ได้กลิ่นอะไรหอม ๆ งั้นเหรออย่าบอกนะว่า? Kwanaoei : อยู่ไหนคะ Luke : ทาย Kwanaoei : ไม่ทายค่ะ Luke : ทายหน่อย Kwanaoei : ออกมาเลยค่ะ Luke : ทายก่อน Kwanaoei : เอยไม่เล่นแล้ว ไปดีกว่า “หึ ๆๆ บอกให้ทายหน่อยก็ไม่ทาย” “ชิส์!ไม่เห็นต้องทายเลย มาทำไมคะ” “เมื่อกี้เจอน้าเอมกับลุงภาคนั่งอยู่ที่สวนเห็นกำลังกินคุกกี้พอดีเลยมาขอคุกกี้กินบ้าง” “ไม่ให้ค่ะ” ฉันเลื่อนถาดคุกกี้ที่กำลังจะเตรียมแพ็คไปฝากป้ารินทร์คุณแม่ของเขามาหาตัวเองเพื่อแสดงอาการหวงให้พี่ลุครู้ “ได้ไง ไม่มีของพี่บ้างเลยเหรอ” “ไม่มีค่ะเพราะพี่ลุคไม่ชอบกินคุกกี้เอยเลยไม่ได้ทำเผื่อ” ฉันตอบเขาแล้วก็เผลอยื่นหน้าพร้อมกับย่นจมูกใส่ด้วยความพอใจที่ได้แกล้งเขา “หึ ๆๆ เดี๋ยวเถอะนะ” หมับ~ “อื้อ!บอกว่าไม่มีของพี่ลุคไงคะ คืนมาเลยนะ” พี่ลุคหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาหยิบคุกกี้ไปหน้าตาเฉยฉันก็เลยโวยวายแต่เขากลับยิ้มแล้วหยิบคุกกี้เข้าปาก ยั่วโมโหกันชัด ๆ เลย “พี่ลุค! อื้อ~” กำลังจะบ่นแต่เขากลับเอาคุกกี้ชิ้นที่กัดไปครึ่งคำยัดเข้ามาในปากฉันแล้วฉันที่กำลังอ้าปากจะทำอะไรได้นอกจากเคี้ยวมันเพราะจะคายทิ้งก็ไม่ใช่นิสัย “หึ ๆๆ” เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับมองฉันที่จำใจเคี้ยวคุกกี้ที่เขายัดเข้าปากไปพลางทำให้ฉันต้องรีบเคี้ยวแล้วกลืนมันให้หมด “ไม่ต้องมาหัวเราะมีความสุขเลยค่ะ นิสัยไม่ดี” “นิสัยไม่ดีอะไรพี่อุตส่าห์ใจดีให้เอยจูบพี่ทางอ้อมนะ” “บ้า!จูบทางอ้อมอะไรล่ะคะไม่ใช่เลย” “หึ ๆๆ พี่ล้อเล่นน่า แล้วอะไรติดหน้าล่ะนั่น” “คะ?” “แป้งเหรอหรือว่าเศษคุกกี้” “ไม่รู้ค่ะเอยไม่ได้ส่องกระจกตั้งแต่เช้าช่างมันเถอะค่ะ” “อ่อ ไม่น่าล่ะ” “คะ? ไม่น่าล่ะอะไร” พี่ลุคก็ทำหน้าแปลก ๆ ขึ้นมาฉันก็เลยงง “ไม่น่าล่ะ...ถึงมีขี้ตา” “ฮะ!” ฉันมองหน้าเขาตกใจจนตาเบิกโพลงขึ้น มีขี้ตาจริงเหรอ? ฉันเอาคุกกี้กับชาไปเสิร์ฟน้าเอยกับคุณลุงมาพวกท่านเห็นไหมเนี่ย น่าเกลียดแล้วก็น่ารังเกียจมากเลย “เดี๋ยว ๆ นั่นเราจะทำอะไร” พี่ลุครีบพูดขึ้นฉันที่กำลังจะเอามือเช็ดขี้ตาออกเลยชะงักทันที “ก็เช็ดขี้ตาไงคะ” “สกปรก” “คะ?” “สกปรก กำลังแพ็คคุกกี้อยู่แล้วจะเอามือไปเช็ดขี้ตาได้ยังไง สกปรกมากเลยเอย” “เอ่อ...” ฉันอึ้งไปเลยที่โดนต่อว่า ไม่สิไม่ได้แค่อึ้งแต่ฉันอายด้วย “มานี่มา” พี่ลุคทำหน้าเอือมระอาดูไม่พอใจความสกปรกของฉันเท่าไหร่ก่อนจะขยับพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงทิชชูมา “พี่ลุคเดี๋ยวเอยไปล้างมือแล้วเช็ดเอง” “เฉย ๆ เถอะ” เขาดุแล้วจับแขนข้างหนึ่งฉันไว้ก่อนจะยกทิชชูขึ้นมาเตรียมเช็ด “เอย” “คะ” ทำไมไม่เช็ดล่ะคนที่อายขี้ตามันก็อายนะ อยากวิ่งไปเช็ดหน้าในห้องน้ำแล้วเนี่ยแต่ไปไม่ได้เพราะเขาจับแขนเอาไว้ “ไม่ใช่ขี้ตาหรอกพี่ดูผิด” พี่ลุคพูดพร้อมกับเอ่ยออกมาโดยที่สายตาเขายังจ้องที่หน้าฉันอยู่ “ฮะ? เฮ้อ!โอเคค่ะโล่งอกไปที” ได้ยินก็งงแต่สุดท้ายก็โล่งอก โอเคไม่อายแล้ว “แต่มันมีเศษคุกกี้ติดที่คางนะ พี่เอาออกให้” “เดี๋ยวเอย...อื้อ!” กำลัง จะบอกว่าเดี๋ยวเช็ดเองแต่ไม่ทันเพราะเขาก้มลงมาประกบปากลงที่คางฉันแล้วเม้มเบา ๆ ซะก่อน! ผลัก! “พี่ลุคคะ!” “หึ ๆๆ อะไรพี่เอาเศษคุกกี้ออกให้เฉย ๆ ไม่เห็นต้องวีนพี่เลย” พอโดนผลักแทนที่จะสำนึกผิดดันยิ้มระรื่นหน้าตาเฉย! “เอาคุกกี้ออกอะไรล่ะนี่มัน...” ไม่กล้าพูดต่อเลยขวัญเอยเอ๊ย “นี่มันอะไร? พี่เอาคุกกี้ออกจริง ๆ ไม่เห็นต้องวีน...ไม่ได้จูบเราอย่างที่อยากจูบมานานแล้วซะหน่อย” “...บ้า!” -เวลาต่อมา- “เอย” “คะน้าเอม คุกกี้เป็นยังไงบ้างคะอร่อยรึเปล่าคะ” “อร่อยจ้ะ คุณลุงทานหมดเลย” “น่ารักที่สุดเลยค่ะ” ฉันฉีกยิ้มให้น้าเอมด้วยความดีใจ “ว่าแต่เมื่อวานไปไหนกับพี่ลุคมา” “คะ? อ๋อไปกินข้าวค่ะ” ฉันตอบน้าของตัวเองเบา ๆ ส่วนมือก็สาละวนอยู่กับการจัดระเบียบข้าวของในห้องนอนให้เป็นระเบียบ “ยังไง?” “ไม่ยังไงนี่คะน้าเอม ก็พี่น้องกันเหมือนเดิม” “แน่นะจ้ะ ไม่ใช่วันดีคืนดีเดินจับมือกันมาหาน้าแล้วบอกว่าเป็นแฟนกันแล้วนะ” “ไม่หรอกค่ะ พี่น้องกันค่ะน้าเอม” ฉันเงยหน้ายิ้มตอบน้าเอมที่ท่านชอบถามแบบนี้ประจำ “หนูไม่ชอบพี่ลุคเขาเหรอ” “ไม่ค่ะ” ฉันส่ายหน้าตอบทันที “เพราะ?” “ก็...” “รออีกคน?” “...” “รอพี่แทนแต่แทบจะไม่ติดต่อพี่แทนเลยแล้วไปกับอีกคนมันคืออะไรยัยเอย” เสียงน้าเอมที่เคยใจดีเริ่มดุขึ้นมานิดหน่อยส่วนฉันก็ได้แต่ก้มหน้า “เอยไม่ได้รอพี่แทนค่ะน้าเอม” ถึงแม้ว่าในใจฉันจะอยากรอแต่ฉันรอเขาไม่ได้หรอก ยังไงก็ไม่ได้ “น้าไม่เข้าใจเอย” “เอยขอโทษนะคะถ้าเอยทำให้น้าเอมไม่สบายใจ แต่เอยไม่ได้รอพี่แทนแล้วเอยก็ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ลุคด้วยค่ะน้าเอม ตอนนี้เอยอยากโฟกัสเรื่องเรียนมากกว่า เอยไม่ได้ชอบใคร” “เฮ้อ!ความรู้สึกหนุ่มสาวสมัยนี้เข้าถึงยากจริง ๆ เอาเถอะน้าไม่อยากก้าวก่ายหรอกแต่ที่ถามเพราะเป็นห่วง ไม่อยากให้เกิดปัญหารักสามเส้าแค่นั้นเอง” “...ไม่เกิดหรอกค่ะน้าเอม” ฉันชะงักเพราะคำพูดน้าเอมนิดหน่อยก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเพราะอยากให้น้าเอมสบายใจ “พี่ลุคเขาก็ดีนะลูก ดูแลหนูดีมากนะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเอยควรจะชัดเจน เอยทำแบบนี้เท่ากับเอยกำลังทำร้ายคนคนหนึ่งที่รักเอยนะ” “...ค่ะน้าเอม” “โอเคน้าไม่กวนแล้ว น้าจะไปชวนคุณลุงลงไปเดินเล่นดูต้นไม้ในสวนหน่อย” “ค่ะ ถ้างั้นทำความสะอาดห้องเสร็จเดี๋ยวเอยลงไปเดินเล่นด้วยนะคะ” “จ้า” น้าเอมยิ้มรับแล้วก็เดินไปส่วนฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาจัดของต่อพร้อมกับในหัวที่มีคำพูดบางคำของน้าเอมดังวนซ้ำ ๆ ไม่หยุด “ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเอยควรจะชัดเจน เอยทำแบบนี้เท่ากับเอยกำลังทำร้ายคนคนหนึ่งที่รักเอยนะ” ...เธอกำลังทำร้ายเขาสินะ ทำร้ายพี่ลุคที่แสนดีของเธอ -วันต่อมา- ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด ...TANKUN “...อ่าส์~” ติ๊ด! “อืม ว่าไงวะ” (มึงอยู่ไหน) “บ้าน” (มึงเจอเอยบ้างไหม) “ก็เจอบ้าง ทำไมวะ” (ไม่ค่อยรับโทรศัพท์กูว่ะ) “ก็ปกติไม่ใช่เหรอวะ” (อืม กูแม่งทำอะไรผิดวะ) “...” (เกือบสี่ปีที่กูมาอยู่ที่นี่กูแม่งไม่รู้เลยว่ากูทำอะไรผิดทำไมอยู่ ๆ เอยก็เฉยเมยกับกู) เพื่อนข้างบ้านที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กโทรมาระบายเรื่องหัวใจของมันกับผมเป็นประจำซึ่งผมทำได้แค่รับฟังแต่ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ เพราะถ้าจะให้แนะนำผมคงแนะนำได้แค่วิธีเดียวคือการบอกให้มัน...มันตัดใจ (มึงบอกกูหน่อยไอ้ลุคว่ากูต้องทำยังไง) “มึงก็ถามเอยไปตรง ๆ สิวะ” (ถามแล้วไม่ตอบอะไรกูเลย แม่งเอ๊ย! กูทำเหี้ยอะไรผิดวะ!) “มึงใจเย็นก่อนไอ้แทน” (แค่นี้กูยังใจเย็นไม่พออีกเหรอวะ? มึงรู้ไหมว่ากูคิดจะกลับเมืองไทยไปถามเอยตรง ๆ กี่รอบแล้ว) “...” (ไหนสัญญากันไว้แล้วไงวะว่าจะรอ ทำไมเอยใจร้ายกับกูแบบนี้วะ) “กูไม่รู้ว่าจะปลอบหรือให้คำแนะนำมึงยังไงดีแต่เรื่องที่มึงต้องรู้นะเว้ยไอ้แทนคือใจคนเรามันเปลี่ยนไปได้ทุกเวลา” (...) “มึงต้องจำคำนี้ไว้แล้วยอมรับความจริงให้ได้” (...อืม โอเคเดี๋ยวกูโทรหามึงใหม่แล้วกัน) “เออ มีไรก็โทรมา” (ขอบใจมึงมากนะเว้ย) “อย่าคิดมาก” (อืม อย่างน้อยเอยก็ยังไม่ได้มีใคร เอาไว้กลับไปเมื่อไหร่กูค่อยไปคุยกับเอยอีกที อาจจะโกรธหรือระแวงกลัวกูแอบมีใครที่นี่ก็ได้เลยตีตัวออกห่าง) “...อืม” ติ๊ด! “...” เมื่อไหร่มึงจะเลิกมีความหวังสักทีวะไอ้แทน ติ๊ง! Kwanaoei : พี่ลุคจะกลับตอนไหนคะ รู้ไหมว่าจากที่กำลังเซ็งมากแต่พอเห็นชื่อคนที่ทักมาผมก็ยิ้มออก เอาล่ะวางเรื่องของไอ้คนไกลเอาไว้ก่อนเพราะคนที่ผมให้ความสนใจและให้ความสนใจจริง ๆ คือคนใกล้ต่างหาก Luke : เราอยากกลับตอนไหน Kwanaoei : เอยถามพี่ลุคค่ะ “หึ ๆๆ มันเขี้ยวว่ะ” ผมอ่านข้อความแล้วอดหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความมันเขี้ยวเธอไม่ได้ Luke : พี่ตามใจเอยไง Kwanaoei : ไม่ค่ะเอยถามเพราะอยากรู้ว่าพี่ลุคสะดวกตอนไหน Luke : คือ? Kwanaoei : ถ้าพี่ลุคไม่สะดวกเดี๋ยวเอยจะให้คนที่บ้านไปส่งไงคะ Luke : จะกลับตอนไหน ผมไม่ตอบคำถามเธอแต่ส่งคำถามกลับไปแต่ผมเริ่มรู้แล้วว่าเธอจะกลับตอนไหน Kwanaoei : พี่ลุคจะกลับตอนไหนล่ะคะตอบคำถามเอยก่อน Luke : แล้วน้องเอยจะกลับตอนไหน? Luke : ว่าไงครับ? Luke : ถ้างั้นพี่ไปจอดรอที่บ้านตอนนี้เลย กลับตอนไหนก็ตอนนั้น เงียบแบบนี้แสดงว่าอยากจะกลับตอนนี้เลยไม่ตอบคำถามผมนั่นล่ะ Kwanaoei : เอยไม่ได้เร่งซะหน่อย แค่ถามถ้าพี่ลุคยังไม่กลับตอนนี้เอยจะขอให้น้าบุญไปส่งก่อน Luke : พี่ก็รอกลับพร้อมเอยนี่ไง รอที่บ้านพี่ลาแม่ก่อน ผมส่งข้อความบอกเธอแล้วเดินไปหยิบของจากนั้นก็ลงไปลาคุณรินทร์คุณแม่ของผมที่กำลังคุมแม่บ้านทำความสะอาดไม่ต่างจากหัวหน้าแม่บ้านเลยแม้แต่นิดเดียวจากนั้นก็ขับไปบ้านไอ้แทนเพื่อรับน้องสาวคนละพ่อคนละแม่ของมันไปส่งที่หอพัก “เอยเร่งพี่ลุครึเปล่า” พอขึ้นมาบนรถเสียงของขวัญเอยก็ดังขึ้น “เงียบไปเลยเด็กดื้อ” “ชิส์! ถ้างั้นเอยนอนเลยแล้วกันค่ะ” “เดี๋ยวก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกัน” “อะไรคะ” “รอก่อนครับ ขับรถออกจากบ้านก่อน” ผมบอกเธอแล้วขับรถออกจากบ้านโดยที่มีสายตาของขวัญเอยมองมาที่ผมเพื่อรอฟังว่าผมจะคุยอะไร “ตกลงมีอะไรคะพี่ลุค” “ไอ้แทนโทรหาพี่” “...ค่ะ” ผมเหลือบตามองปฏิกิริยาของขวัญเอยนิดหน่อยก็เห็นว่าเธอเศร้าลง ...เจ็บว่ะ “เอยน่าจะคุยกับมันนะ” “พี่ลุคก็รู้ว่าเอยไม่พร้อมคุยกับพี่แทน” เสียงเธอเปลี่ยนไปจนจับน้ำเสียงได้ชัดเจนว่าขวัญเอยกำลังเจ็บปวด แต่เธอคงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างเธอตอนนี้ก็เจ็บไม่ต่างกัน หรือบางทีอาจจะเจ็บกว่าด้วยซ้ำ “แล้วเอยจะทำยังไง อีกไม่ถึงปีมันก็กลับมาแล้ว ยังไงก็ต้องเจอกันในเมื่ออยู่บ้านเดียวกัน” “เอยอยู่หอค่ะพี่ลุค” “แล้วอยู่หอตลอดไปเหรอ ไม่คิดจะกลับบ้านเลยเหรอเอย” “...” “ไม่อยากให้มันรอก็บอกมันตรง ๆ ซะเอย อย่าทำแบบนี้” “ถึงบอกพี่แทนก็จะไม่ไปไหนถ้าเขาเห็นว่าเอยไม่มีใคร เขาจะวนอยู่กับคำถามว่าเพราะอะไรเอยถึงไม่รอเขาทั้งที่ความจริงเอยก็ไม่ได้มีใคร ไม่สิเอยไม่เคยมีใครเลยต่างหากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา” “ก็มีพี่นี่ไง” ผมสวนกลับไปทันทีที่เธอพูดจบ “เหมือนกันที่ไหนล่ะคะ” ขวัญเอยตอบมาเบา ๆ โดยที่เธอไม่ได้มองหน้าผม “แล้วทำให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เหรอ เอยก็รู้ว่าอีกคนก็รอเอยเหมือนกัน ถ้าไม่เลือกมันก็เลือกพี่ได้ไหม” “...” “ไม่ได้เลยเหรอเอย” ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมอ้อนวอนผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ มากี่ครั้งแล้ว ผมขอร้องเธอจนแทบจะไม่กล้าพูดอีกแต่พอถึงจังหวะที่อัดอั้นผมก็อดพูดไม่ได้ “...เอยไม่เคยลืมพี่แทนพี่ลุคก็รู้” เสียงขวัญเอยสั่นแต่ในใจผมน่าจะสั่นกว่า คำพูดประโยคนี้เหมือนเอาค้อนหนักหลายตันมาทุบที่ใจผม “ลองดูก่อนได้ไหมล่ะ ระหว่างที่มันยังไม่มาลองคบกับพี่ก่อนได้ไหม” ถ้าใครรู้ว่าผมคนนี้ยื่นข้อเสนอที่ตัวเองไม่ต่างจากของตายให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งคงโดนหัวเราะเยาะและบอกว่าผมโง่ ทั้งที่มีตัวเลือกมากมายแต่กลับไม่เคยมองไปที่ใครเลยนอกจากเฝ้ารอผู้หญิงที่อยู่ข้างบ้านคนนี้แค่คนเดียว “แล้วถ้าสุดท้ายเอย...” “ถ้าเอยไม่รู้สึกอะไรพี่จะถอย พี่สัญญาว่าพี่จะยอมรับความจริง” “พี่ลุค...ยอมรับความจริงได้เหรอคะ” เสียงขวัญเอยสั่น ตอนที่เธอเว้นระยะคำพูดน้ำตาของเธอก็คลอออกมา “พี่รับได้ทุกอย่างเอยก็รู้” “...” “เอย” ขวัญเอยน้ำตาคลอผมเลยรีบกุมมือเธอเอาไว้แล้วบีบเบา ๆ ไม่อยากเห็นขวัญเอยเจ็บเลยว่ะ ไม่อยากเห็นเธอจมอยู่กับฝันร้ายอย่างที่ผ่านมาเลยแม้แต่นิดเดียว “...เอยน่าสงสารมากใช่ไหมคะพี่ลุค
EP : 1
“พี่ไปหลายปีจะไม่ดื้อใช่ไหม”
“เอยเคยดื้อด้วยเหรอคะ”
“ก็ไม่ แต่ไม่เคยก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ดื้อ”
“ไม่เคยก็ไม่ได้แปลว่าวันหนึ่งจะต้องเคยนี่คะ” เธอตอบโต้เขากลับด้วยคำพูดแสนฉลาดที่มาพร้อมกับเสียงน่ารักปนหวาน
“เข้าใจคำว่าดื้อของพี่รึเปล่าเรา”
“ก็...เข้าใจสิคะ” ขวัญเอยตอบคนที่มองหน้าเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง เข้าใจสิแต่เธอขอแค่อย่าพูดให้ตรงประเด็นมากเกินไปก็พอเพราะเธอคงอายเกินกว่าที่จะคุยกับเขาได้ เหมือนอย่างตอนนี้ไงที่คำพูดของเขากำลังทำให้เธออาย
“เข้าใจว่า?” เขาขยับเข้ามาหาเธอนิดหน่อยแต่แค่นิดเดียวก็ใกล้กันมากแล้ว
“ก็...เอยไม่ดื้อหรอกค่ะ” ขวัญเอยก้มหน้าหลบตาเขาก่อนจะตอบออกมาทำให้อีกคนยิ้มด้วยความเอ็นดูแล้วเอามือเชยคางเธอให้เงยหน้าสบตากับเขา
“...” เขาจะรู้บ้างไหมว่าเธอใจเต้นแรงแทบบ้าอยู่แล้ว ยิ่งพอได้สบสายตาอบอุ่นของเขาเธอก็มือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันที
“แค่สี่ปี รอพี่ก่อนนะเอย”
“...” เธอทำได้แค่ฟังและมองเขาเท่านั้นแต่เธอพูดอะไรไม่ออกเลยเพราะนอกจากความเขินอายก็มีความรู้สึกกังวลมากมายในใจเกิดขึ้น
“รอพี่นะเอยอย่าไปไหน รับปากพี่ได้ไหม”
“แต่...”
“พี่คุยกับผู้ใหญ่แล้วแค่พี่เรียนจบแค่นั้น ไม่มีใครไม่เอ็นดูเอยเลยนะ” มือที่เคยเชยคางขยับมาประคองแก้มของเธอช้า ๆ ยิ่งทำให้ขวัญเอยมีอาการมือไม้อ่อนแรงมากกว่าเดิม
“...”
“พี่รู้ว่าเอยกังวลเรื่องอะไร ไม่มีอะไรต้องกังวลรู้ไหม ขอแค่เราสองคนตั้งใจเรียนแล้วถึงวันนั้นพอเรากลับมาเจอกันทุกอย่างมันจะดี เอยเชื่อใจพี่ได้ไหม”
“...ค่ะ ตั้งใจเรียนนะคะ” เธออยากรับปากเขาแต่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยพูดออกมาได้เท่านี้แต่เขาก็รู้ว่านั่นคือการตอบตกลงถึงได้ยิ้มแล้วขยับใบหน้าหล่อที่ใครต่อใครก็หลงใหลไปใกล้โดยที่ขวัญเอยทำได้แค่ยืนนิ่งเหมือนถูกสะกดไว้
ฟอด~
“...”
“พี่จะไม่มีใคร รอพี่กลับมานะเอย” เสียงอบอุ่นของเด็กหนุ่มที่กำลังจะก้าวเข้าสู้การเป็นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นแผ่วเบาหลังจากจูบหน้าผากของสาวน้อยที่เขาหลงรักมานาน จูบมัดจำเอาไว้ก่อนแล้วอีกสี่ปีข้างหน้าเมื่อถึงเวลาเขาค่อยกลับมาทำในสิ่งที่เขาต้องการทำ
-เวลาต่อมา-
“ขอบใจมึงมากนะที่มา” เจ้าของปาร์ตี้ในคืนนี้เอ่ยขึ้นในระหว่างที่แขกในปาร์ตี้เลี้ยงส่งของเขากำลังสนุกสนานกันอยู่
“ขอบคุณทำห่าไรกูไม่ได้ลำบาก แค่กระโดดข้ามรั้วมาก็ถึง”
“กูก็แค่ขอบคุณตามมารยาทมึงจะพูดขัดทำไมวะ”
“หึ ๆๆ เออ เดินทางปลอดภัยตั้งใจเรียน ฟันสาวเมกาเยอะ ๆ เผื่อกูด้วยแล้วกัน”
“ไม่มีทาง”
“ไม่เผื่อ?”
“ไม่ฟันสิวะ”
“กูไม่เชื่อมึง”
“กูไม่ใช่มึง พอ ๆๆ เลิกพูดเรื่องทะลึ่งสงสารเอยบ้าง”
“สงสารเอยหรือกลัวเอยได้ยินว่ามึงจะไปทำอะไรกันแน่วะ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเล่ห์ซึ่งแน่นอนว่าคนฟังรู้ว่าเพื่อนของเขาแถมยังเป็นเพื่อนบ้านแค่แกล้งเล่นเท่านั้น
“พอเลยมึงน้องยังเด็ก อย่าไปฟังมันล่ะเอย”
“ค่ะ” ขวัญเอยรับคำสั้น ๆ แล้วยิ้มเพราะเธอรู้ว่าพี่ชายข้างบ้านแค่พูดเล่นไปงั้น
“หึ ๆๆ ระวังมันหอบสาวเมกากลับมาบ้านนะเด็กน้อย”
“เอยว่าถ้าหอบมาน่าจะหอบมาฝากคนอื่นมากกว่า...สักโหลจะพอรึเปล่าคะ”
“...” อีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรกลับแค่ยิ้มให้เธอเท่านั้นก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม แล้วจากนั้นทุกคนในวงสนทนาก็สนุกสนานกับปาร์ตี้คืนนี้จนเมามาย จะมีก็แค่ขวัญเอยเท่านั้นที่ไม่เมาเพราะเธอเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดและไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-เวลาต่อมา-
แอด~
“...ใครคะ?”
“...”
“เอยถามว่าใคร!”
หมับ!
“ว้าย! ปล่อยนะ! อื้อ! อื้อ!!”
แคว๊ก!
“อื้อ!!!”