เนียนสักหน่อย 2 เนียนมาเนียนกลับ Part 1
ร่างสูงพลิกตัวหลบแสงอาทิตย์ในยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทางบานกระจกสีทึบไร้ม่าน ดวงตาหยีลงตามความเคยชินเมื่อมีแสงเข้าตาเกินความจำเป็น ก่อนจะรวบรวมสติกระพริบตาตื่นจากการนอนเต็มอิ่ม พอสติเริ่มเข้าที่ก็บิดขี้เกียจสักสองสามทีพร้อมกับยืดตัวยืนเต็มความสูงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง
สายน้ำเย็นเฉียบจากฝักบัวไหลลงหัวกระทบใบหน้าคม เรื่อยมาจนถึงคาง ต่อด้วยอกแกร่งไหลผ่านตามร่องซิกแพค ลามมาถึงท้องน้อยจากนั้น…
(สงวนไว้แค่นั้น!)
สายตาเหม่อลอยทอดมองสายน้ำที่ไหลลงมาไม่มีที่สิ้นสุด ในสมองหวนคิดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา เมื่อคืนที่เพื่อนใหม่ ‘จิงจัง’ มาส่งเขาที่คอนโด
“กูต้องไปส่งมึงถึงห้องด้วยไหม”
“หลงเสน่ห์กูรึไง ถึงอยากเข้าห้องกูขนาดนั้น” ไม่รู้คิดยังไงเขาถึงอยากหยอกล้อคนที่นั่งยิ้มเรี่ยราดตรงหน้า ทั้งที่จริงแล้วตัวเขาออกจะเข้าหาคนยาก...กวนถอดหมวกกันน็อคแล้วส่งคืนให้อีกฝ่ายพร้อมยอกย้อนด้วยใบหน้าซังกะตาย ตลอดทางที่ซ้อนด้วยกันมา ร่างตรงหน้าขอไปส่งเขาที่ห้องทุกห้าวิจนเกือบถีบตกรถไปหลายรอบ
“พ่อง ฮ่าๆ” ไม่ด่าเปล่าอีกฝ่ายยังพยายามยกเท้ามาเขี่ยแกล้งกันอีก...ดีที่หลบทัน ไม่งั้นเสื้อนักเรียนต้องเปื้อนรอยเท้าแน่
“กลับไปได้แล้ว” พอเห็นว่าพายุกำลังเข้ากวนก็ถือโอกาสปัดมือไล่ให้อีกฝ่ายกลับไป มัวมาทำหน้าเด๋อด๋าอยู่แถวนี้ทำไมก็ไม่รู้
“ไม่อยากให้กูเข้าห้อง...นี่มึงซ่อนคลิปเด็ดไว้ใช่ไหม! อ๋อ อย่างนี้นี่เอง มึงเลยไม่ยอมให้กูขึ้นไปอะดิ”
“หมกมุ่นว่ะ”
“เปล่า ไม่ได้หมกมุ่น...เขาเรียกว่าแตกตื่นทางเพศต่างหาก” แววตาฉายชัดถึงความระอา ส่ายหัวไปมากับความกวนบาทาของเพื่อนใหม่
“กลับบ้านไป เล่นอะไรดูฟ้าดูฝนบ้าง”
“เออลืม งั้นกูกลับก่อนนะ” มือเล็กกระชับหมวกกันน็อคแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมออกรถ ก่อนจะหันกลับมา...หันกลับมากวนตีน
“เรียกใช้บริการเฮียได้เสมอนะจ๊ะ วันนี้ถือเป็นโปรโมชั่นพิเศษส่งฟรีไม่คิดตังค์ ถ้าคราวหน้ากลับดึกอีกเฮียจะคิดค่าน้ำมันนะจ๊ะ ฝันดี จุ๊บๆ”
ร่างสูงมองท่าทางดี๊ด๊านั้นด้วยสายตาว่างเปล่า คนแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ ไม่เต็ม…ใช่ไหม
ก็ยังสงสัยอยู่ในใจ
พอคนไม่เต็มขี่หายจนลับสายตา ฝนก็เทลงมาไม่ยั้งแถมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง...หรือมันจะโดนรถชนตายหาศพไม่เจอไปแล้ว
คงไม่ใช่แบบนั้นหรอก อีกอย่างเขาก็ไม่ได้พิศวาสอะไร แค่ห่วงตามภาษาเพื่อนที่ดี
กลับมาที่ปัจจุบันชายหนุ่มนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาแต่งตัวด้วยชุดนิสิตของมหาลัย ไม่ได้แต่งชุดนักเรียนมัธยมหรือชุดลำลองไปเรียนเสริมเหมือนเมื่อวาน พอแต่งตัวเสร็จก็หันหน้ามองกระจก หันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจความเรียบร้อย ก้มดูนาฬิกาข้อมือที่หน้าปัดชี้เลขเจ็ดมาได้สักพักแล้ว เขาที่มีเรียนตอนสิบโมงเลยไม่ได้รีบร้อนอะไร
ปกติช่วงเวลาตื่นนอนของกวนคือตีห้าถึงหกโมง หรือถ้าไม่ตื่นตามเวลาก็ตื่นตามดวงอาทิตย์ขึ้นพอดี ซึ่งเมื่อวานก็แค้นพวกเพื่อนตัวดีที่แกล้งบอกเวลาผิด ทำให้เขาต้องตื่นตามนาฬิกาปลุกเสียงดังน่ารำคาญพวกนั้น สุดท้ายต้องมานอนรอที่ม้านั่งจนกว่าจะถึงเวลานัดรวม
สองเท้าเดินย้ำไปเปิดตู้เย็นในครัว ในนั้น...ไม่มีอะไรเลย
ร่างสูงยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด เมื่อคืนเขาไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนก็ลืมซื้อข้าวกล่องมาตุนไว้ซะสนิท แล้วตัวเองก็เป็นพวกกินอาหารเช้าเยอะเหมือนกินทดแทนช่วงเวลาที่หลับไป อาหารเช้าจึงเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้และตอนนี้...โคตรหิว
กวนเดินไปหยิบหนังสือเรียนในห้องนั่งเล่น ก่อนจะลงมาหาอะไรกินตรงย่านการค้าแถวคอนโด ผ่านร้านค้ามาตั้งมากมายแต่ก็ยังไม่เจอร้านที่ถูกใจสักที จนมาสะดุดอยู่ร้านหนึ่ง มันไม่ใช่ร้านข้าวที่เป็นจุดหมายแต่เป็นร้านขายปลา
ร้านขายปลาไม่ได้น่าสนใจอะไรหรอก เขาสนใจคนที่อยู่ในร้านมากกว่า
เพื่อนใหม่ในชุดนิสิตยืนคุยกับพนักงานในร้านอย่างสนิทสนม ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้นไปอีก ในเมื่อจิงจังอยู่เอกเดียวกับบีทก็หมายความว่ามีเรียนบ่ายอย่างที่บีทพูดทิ้งท้ายไว้เมื่อวาน...แล้วต้องรีบแต่งชุดตั้งแต่ไก่โห่ขนาดนี้เลย
ทำตัวน่าสงสัยอีกแล้ว
ในหัวคิดว่าควรเลิกสนใจแล้วเดินไปหาร้านข้าวต่อ แต่ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่า ขาจึงก้าวเดินไปยังร้านขายปลาอย่างไม่ลังเล
กรุ๊งกริ๊ง
“ยินดีต้อนรับค่า" เสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงหวานของพนักงานสาวกล่าวตอนรับลูกค้าอย่างเป็นมิตร ภายในร้านเต็มไปด้วยตู้ปลาขนาดต่างๆ ภายในตู้มีปลาสีสวยว่ายเรียงรายกันไป พวกปลาแหวกว่ายกันดูสนุกสนาน ในขณะเดียวกันก็สวยงาม
“หืม...” คนตรงหน้าหรี่ตามอง “เฮ้ย! ไอ้...มึงชื่อไรนะ?” ...พึ่งได้เป็นเพื่อนกันเมื่อวานแถมมึงยังมาส่งถึงคอนโด นี่ลืมชื่อกันง่ายเกินไปหน่อยไหม
ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดที่อีกฝ่ายจำชื่อไม่ได้ ทั้งที่ชื่อนี้ออกจะเป็นเอกลักษณ์
“ฮ่าๆ กูล้อเล่น ใครจะลืมชื่อคนที่ถีบทักทายกันตั้งแต่วันแรกที่เจอกันอย่างมึงได้ลงคอล่ะ”
กวนตีน
“เออกูเอง” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วตกใจอะไรขนาดนั้น”
“เออ คนตื่นยากอย่างมึงกูไม่คิดว่าจะตื่นเช้าหนิ”
“หึ คนหล่อก็เงี้ย”
“เกี่ยวไรวะ” ร่างบางเบะปากใส่อย่างหมั่นไส้เพิ่มความน่าตีไปอีกขั้น
คนอวยตัวเองยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ละสายตาจากคนตรงหน้าลอบมองไปที่เคาน์เตอร์อย่างคนหาอะไรทำ แล้วก็เห็นถุงหลายสิบถุงวางกองอยู่ตรงหน้าพนักงานสาว ถุงพวกนั้นมีสีขาวสลับฟ้ามีรูปปลากับปะการังเป็นโลโก้
“เกลือทะเล” คำถามที่ส่งผ่านเพียงสายตาก็ได้คำตอบ เขาพยักหน้าเข้าใจพลางเปลี่ยนเป็นคำถาม
“มึงมีเรียนเช้า...เหรอ”
“เอ่อ...อืม...อ่อ ใช่ๆ กูมีเรียนเช้า” กำปั้นทุบฝามือตัวเองเหมือนพึ่งคิดออก อ้ำอึ้งแบบนี้ต้องปิดบังอะไรอยู่แน่นอน อำอึ้งไม่พอยังโกหกไม่เนียนอีกต่างหาก
น่าสงสัยตั้งแต่เมื่อวานที่โดนซ่อม เขาว่ากันว่าพวกพี่จะชอบแกล้งคนหน้าตาดีกับคนที่กล้าแสดงออก จะว่าจิงจังหน้าตาดีมากเลยโดนแกล้งซะเป็นชั่วโมงก็ไม่น่าใช่เพราะเขาหน้าตาดีกว่าเห็นๆ แถมหล่อกว่าด้วย...ตัดข้อสงสัยเรื่องหน้าตาทิ้งไปได้เลย ดูยังไงเขาก็หล่อกว่าอยู่ดี
(โคตรหลงตัวเอง)
“มึงกินอะไรมา...รึยัง” เขาลองถามออกไปเผื่อมันยังไม่ได้กินจะได้ถือโอกาสชวน
“ฮึ ยัง” เป็นคำตอบที่ถูกใจทีเดียว
“ไปกินร้านเมื่อวานด้วยกันหน่อย กูหิวจนจะแดกมึงได้ทั้งตัวแล้ว” ความจริงแล้วอาหารร้านนั้นก็อร่อยถูกปาก แต่ที่อยากไปเพราะเรื่องน่าสงสัยของคนตรงหน้ามากกว่า
“อ่าว กูนึกว่าเข้ามาซื้อของ นี่เข้ามาชวนกูแดกข้าวเหรอน้องกวน หลงเสน่ห์กูแล้วล่ะสิ” จากนั้นทำหน้าทะเล้นปิดท้าย ทำไมทำตัวได้น่ารั- ...น่าถีบแบบนี้
รู้สึกไม่เสียใจที่ถีบมันไปเมื่อวาน...
“มึงต้องไปแดกกับกู ไม่ได้ขู่แต่บังคับ” คนชวนส่ายหน้าเอือมยัดเยียดบทบังคับไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“สัส รอแปปกูจ่ายตังค์ก่อน ในเมื่อกูเลือกไม่ได้แล้วมึงมาชวนกูเพื่อ” ประโยคหลังจิงจังบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว แต่บ่นดังไปหน่อยเลยได้ยินชัดเจน
“ชวนตามมารยาทไง”
“มีด้วยเหรอนั่น”
แป๊ะ! ขอดีดเหม่งมันสักที มันเขี้ยว
“เชี่ย ดีดมาได้นะมึง กระดูกร้าวแล้วมั้ง” อีกฝ่ายเอามือทั้งสองข้างมากุมหัวแล้วทำหน้าตาเหมือนเจ็บปางตาย เล่นใหญ่จนกวนแทบยกเท้าถีบอีกรอบ
“สำออย”
“แร๊ง! เด็กผู้ชายสมัยนี้เขาด่ากับแบบนี้แล้วเหรอวะ ฮ่าๆ” ขำหนักแบบเอามือกุมท้องตัวเอง เมื่อกี้ด่ามันไปนี่ไม่โกรธบ้างรึไง
รอเจ้าคนเล่นใหญ่จ่ายเงินเสร็จก็ค่อยเดินออกจากร้านพร้อมกัน
“ไปไงอะ รถกูเหรอ” มันหันมาถามขณะหอบถุงใหญ่พะรุงพะรังเต็มไปหมด
“อืม”
“งุ้ย อยากใช้บริการกูก็บอกดีๆ ไม่ต้องบังคับก็ได้ มึงกลัวกูคิดค่าน้ำมันเหรอ ฮ่าๆ” มือบางส่งถุงเกลือขนาดยักษ์มาให้คนตัวโตถือก่อนจะขึ้นควบรถไปตั้งหลัก แล้วค่อยส่งหมวกกันน็อคมาให้เหมือนเมื่อวาน
ไม่ห่วงตัวเองรึไง
“หึ ถึงมึงคิดกูก็ไม่จ่าย...ไม่ใส่” เขาดันหมวกคืน ฝ่ายนั้นก็รับไปสวมอย่างไม่คิดอะไร
“สัส กูเสียหายนะ เงินกูต้องใช้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียตาดำๆ ที่บ้าน มึงไม่สงสารกูเลยเหรอ นายมันใจร้ายเกินไปแล้วไอ้สะมะกวน” จบประโยคกวนก็ทำตาดุใส่เป็นเชิงว่าจะเล่นอีกนานไหม
“ครับๆ กูรู้ว่ามึงโมโหหิว นั่งดีๆ อย่าพึ่งแดกหัวกูซะล่ะ”
เมื่อรถออกตัวกวนก็ไม่พูดอะไรต่อ ในขณะที่รถวิ่งลมก็หอบเอากลิ่นหอมบนตัวของอีกฝ่ายมาด้วย มันใช้น้ำหอมอะไร ทำไมมันถึงได้หอมขนาดนี้ เมื่อวานก็กลิ่นแบบเดียวกัน จะต่างกันแค่...ถ้าไม่มีกลิ่นเค็มของเกลือจะดีกว่านี้
เหม็นโว้ย