เนียนสักหน่อย 1 เป็นพี่เนียนต้องพยายาม Part 3
ก๊อก ก๊อก
ผมเคาะประตูตามมารยาทไปสองครั้งก่อนจะดันประตูเข้าไปยังห้องประชุม ภายในห้องมีโต๊ะยาวอยู่หนึ่งตัว รอบโต๊ะมีเก้าอี้วางไว้ตามจำนวนคนที่อยู่ข้างใน แต่ก็ไม่ได้นั่งเป็นระเบียบกัน นั่งแบบใครอยากนั่งตรงไหนก็นั่งซะมากกว่า นั่งพื้น นั่งโซฟา นั่งบนโต๊ะ นั่งใต้โต๊ะ นั่งขอบหน้าต่าง นั่งบนเพดานยังมี
ล้อเล่น ใครมันจะนั่งบนเพดานล่ะ ไม่ใช่สไปเดอร์แมนสักหน่อย ฮ่าๆ
เดินไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ที่พื้นก็ได้เวลาเปิดประชุมพอดิบพอดี แอบโล่งใจที่ตัวเองมาทันเวลา
“วันนี้เป็นวันรับน้องวันแรกยังไงก็ขอบคุณมากที่เหนื่อยกันมาจนถึงตอนนี้”
เสียงทรงอำนาจดังขึ้นเป็นผลให้ภายในห้องเงียบลง จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฮดว้ากของคณะเรา ‘ภูเขา’ พี่แกเป็นคนที่ทุกคนโหวตให้เป็นเฮดกันมากที่สุดและทุกคนก็ให้ความเคารพนับถือด้วยเช่นกัน นั่นทำให้พี่ภูเขาได้เป็นเฮดว้ากแบบไม่มีใครค้าน แล้วอีกอย่างพี่แกก็เป็นพี่รหัสผมด้วย
พี่รหัสผมเท่สุดๆ ไปเลย!
จริงๆ แล้วพี่แกไม่ใช่คนโหดอะไรหรอกครับออกจะใจดีด้วยซ้ำ แต่ก็โหดอยู่บ้างนั้นแหละ อะไรของผมวะ...ที่พี่แกต้องโหดแบบนี้เป็นเพราะหน้าที่ครับ ยอมโดนน้องหลายคนเกลียดเพื่อควบคุมคนให้อยู่ในกฎระเบียบของ SOTUS
S = Seniority หรืออาวุโส หมายถึง ความเกรงใจเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน
O = Order หรือระเบียบวินัย สิ่งนี้จำเป็นมากในชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มในสังคม
T = Tradition หรือประเพณี เป็นสิ่งที่เห็นว่าดี ถูกต้องและประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา
U = Unity หรือความสามัคคี คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
S = Spirit หรือน้ำใจ หมายถึง การมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อันนี้ผมท่องมาครับ ถึงจะมีหลายคนไม่ชอบมันก็เถอะ ระบบ SOTUS จะมีความหมายก็ต่อเมื่อคนยกมาใช้อย่างถูกต้องและรู้คุณค่าจริงๆ ของระบบนี้ ซึ่งหลายครั้งเอาไปใช้ในทางที่ผิดจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหนักมาก
พี่ภูเขาถามทุกคนในห้องเกี่ยวกับปัญหาในหน้าที่จนวนมาถึงพวกผม ‘แก๊งพี่เนียนปีสอง’
“ว่าไงบ้าง มีน้องที่ไม่มีเพื่อนบ้างไหม” น้ำเสียงเคร่งขรึมในทีแรกอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ไอ้แฟร็งไงพี่ มันยังไม่มีใครคบเลย” ผมกวนพี่เขาอย่างมั่นใจ
“…” กริบเลยทีนี้ ซีเรียสเหรอเนี่ย เฮียขอโต๊ดครับ เฮียผิดไปแล้ว...พี่เล่นกับผมหน่อยก็ได้ ผมแค่ไม่อยากให้เครียดกันเกินไปเท่านั้นเอง
“ฝั่งผู้หญิงปังเห็นอยู่ห้าหกคนที่ไม่มีเพื่อน”
“เยอะเหมือนกันนะ หาเพื่อนให้น้องให้ได้”
“ฝั่งผม ผมเห็นมีแค่สามคน ดูเป็นเด็กติ๋มๆ เลยไม่มีใครกล้าไปทัก”
“ฝากด้วยนะหมอก” พูดจบแค่นั้นแล้วเดินหันหลังจากไปอย่างเท่ มีเอฟเฟคลมพัดผมพลิ้วปลิวไสวมาประกอบท่าเดิน...พี่ครับ พี่อินกับบทมากไป แล้วลมมันมาจากไหนนิ
การประชุมยังคงดำเนินต่อไปอย่างเรื่อยๆ มีเครียดกันบ้างนิดน้อยเพราะพวกเราอยากทำให้การรับน้องมันออกมาดีที่สุดแต่โดยรวมก็ถือว่าโอเคในวันแรก
“เลิกประชุมได้” สิ้นเสียงทรงอำนาจ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับ
“พวกมึง เรื่องน้องผู้ชายที่ไอ้หมอกบอกอะ” ผมเปิดหัวข้อสนทนา หลังจากที่เราเดินออกมาจากห้องประชุม “ส่งไอ้แฟร็งมันไปทำหน้าที่นี้ไหม มันยังไม่มีใครคบหนิ”
“น้องจะคบกับกูเหรอวะ น้องเขาดูติ๋มๆ ไม่ใช่รึไง”
“เออได้ มึงก็เนียนเป็นติ๋มไง”
“ทำไง กูทำไมเป็น” มันเกาหัวสงสัย
“มึงทำตัวให้เรียบร้อย ขี้อายสักหน่อยก็พอ” ขนมปังเสริม
“ไอ้อิฐมึงลองทำดิ๊ เดี๋ยวกูเล่นเป็นน้องเอง” แฟร็งแต่งตั้งบทบาทขึ้นมาให้ตัวเองเข้าใจง่าย จากประสบการณ์ ผมไม่อยากนึกภาพเลยจริงๆ ว่าต่อจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น
“นายๆ ขอนั่งด้วยได้ไหม ที่อื่นเต็มหมดแล้ว” และแล้วบทสนทนาระหว่างชายถึกสองคนก็ได้เริ่มขึ้น
“ตามสบาย”
“สวัสดี ฉันอิฐ อิฐ วีสสะลีย์นะ” ...ทำไมบทมันคุ้นๆ วะ เหมือนเคยดูจากหนังแฟนตาซีชื่อดังเรื่องหนึ่ง
“ฉันแฟร็งกี้ แฟร็งกี้ พอตสะเตอร์”
“งั้น...ก็จริงสิ แบบว่า...นายมี ไอ้นั่น” อิฐปิดปากทำหน้าตกใจแล้วเอานิ้วชี้ไปใต้สะดือของไอ้แฟร็งกี้ พอตสะเตอร์
ชี้ไปที่ไหนของมึงไอ้อิฐ มึงอย่าทำหนังเขาเสื่อมแบบนี้!
“อะไรเหรอ” แฟร็งถามหน้าซื่อตาใสจนอยากเตะก้านคอสักป๊าบสองป๊าบ
“กระปู้”
“มีสิ!” ไอ้แฟร็งทำท่าจะรูดซิบกางเกงลง
“สต๊อป นาว! หยุดบทสนทนาเสื่อมๆ นี่ไปเลย พวกมึงอย่าทำลายจินตนาการของเด็กๆ ไปมากกว่านี้เหอะสัส!”
“ร้ายกาจ” X2
ดีที่ไอ้หมอกห้ามสองตัวนี้ได้ทัน ไม่งั้นคืนนี้ผมต้องหลอนจนนอนไม่หลับแน่ ฮ่าๆ
“ให้ไอ้แฟร็งเป็นติ๋มแบบนี้กูขนลุกว่ะ” ขนมปังเพื่อนสาวยกแขนขึ้นกอดตัวเองด้วยอาการขนหัวลุก
เออจริง
“แต่ก็ทำไปเถอะ พวกมึงเหมาะที่สุดแล้ว” ผมบอกเพื่อนก่อนที่จะเริ่มได้กลิ่นเย็นๆ ของฝนลอยมาแต่ไกล “งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมโบกมือลาเพื่อนรีบวิ่งไปโรงจอดรถทันทีด้วยความที่กลัวฝนจะลงซะก่อน หยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา บนหน้าจอแสดงเวลาหนึ่งทุ่ม คิดว่าจะเลิกดึกกว่านี้ เราประชุมกันไวดีเหมือนกันแฮะ
เก็บมือถือเข้ากระเป๋าแล้วขึ้นคร่อมลูกชายออกจากมหาลัย จุดหมายปลายทางคือบ้านตัวเองด้วยความที่ไม่มีธุระแวะไปไหนต่อ ขี่เรียบฟุตบาทไปตามทางสักพักตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นร่างอันคุ้นตาเดินดึ๊บๆ (?) อยู่บนฟุตบาท...ทำไมถึงยังไม่กลับอีกหรือว่าบ้านมันอยู่แถวนี้?
ทักสักหน่อยดีกว่าในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ (เนียน) ที่ดี
“ไอ้กวน~ มึงยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” ขับรถไปจอดข้างมัน อีกฝ่ายดูสงสัยเล็กน้อยว่าผมเป็นใคร ผมเลยต้องถอดหมวกกันน็อคออกให้มันเห็นหน้าผมได้ถนัด
“อืม กูตกรถ” โธ่เด็กน้อย มัวไปเที่ยวจนตกรถแบบนี้ ไม่ดีนะรู้ไหม
“บ้านมึงอยู่ไกล?” อืม...ถ้าบ้านมันอยู่ไกลแล้วมันจะเดินไปไงวะ เดินไหวเหรอ
รุ่นน้องตัวโตส่ายหัวตีหน้านิ่งจนน่ายิกให้มันทำหน้าอื่นบ้าง ”อยู่คอนโดแถวนี้ เลยจะเดินกลับ” อ๋อ รู้ที่อยู่ละ ไปปล้นได้...ล้อเล่นหน่า
“แล้วทำไมมึงไม่ให้เพื่อนไปส่งอะ” บ้านอยู่แค่นี้ เพื่อนกันมันไปส่งได้อยู่แล้ว
“อยากกลับคนเดียวมากกว่า” สัส อินดี้จัดเลยมึง
ผมทำหน้าปวดหัวกับคำตอบของอีกฝ่าย ทำไมรอบตัวผมมีแต่คนไม่ปกติอยู่เต็มไปหมด
“เออ...มึงนี่เนอะ แล้วอีกไกลไหม” ผมถามเผื่อไปส่งได้ เดินคนเดียวมันเหงาเปลี่ยวหัวใจ~ น้องลำบากก็ต้องช่วย ถ้าไม่ช่วยแล้วปล่อยน้องเดินคนเดียวก็กลัวจะโดนใครเขาฉุดเอา ยิ่งหน้าตาดีอยู่ด้วย คนสมัยนี้น่ากลัวจะตายไป...อืม มันหน้าตาดีจริงครับ หล่อสูงคมเข้มกระชากใจวัยทีน ถ้าไม่มีใครฉุด งั้นผมจะฉุดเองนะงั้นน่ะ เอาไปขายคงได้ราคาดี
ไม่ใช่ละ!
“เดินไปอีกสองช่วงถนนก็ถึง” โอ๊ะ ถึงก่อนบ้านผมอีก ไปส่งได้อยู่ทางเดียวกัน “แล้วมึงทำไมยังอยู่แถวนี้ ไม่ใช่ว่ากลับไปตั้งนานแล้ว”
ฉิบหาย
“กูออกมาซื้อกับข้าว” ไหนข้าวมึงไอ้จัง หน้ามันเหมือนจะถามแบบนั้น “กูยังหาร้านข้าวไม่เจอเลยว่ะ หายากสัส” ตอแหลไปเรื่อย มองไปที่ร้านข้างทางของฝั่งตรงข้าม มีร้านอาหารหลากหลายสไตล์ทั้งอาหารไทย ญี่ปุ่น จีน อิตาลี เรียงกันเป็นแถว
เจริญพร~
ผมเกาแก้มแก้เขินยิ้มแห้งไปให้มัน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นฟ้าแลบที่หางตา บ่งบอกให้รู้ว่าฝนกำลังจะตกอีกไม่นาน “ขึ้นมา” ผมตบเบาะหลังปุๆ อย่าทำหน้างงสิ รู้ไหมว่าสีหน้ามึงอ่านง่ายมากไอ้กวน ถึงภายนอกจะเห็นนิ่งเป็นรูปปั้นก็เถอะ...แล้วผมอ่านออกได้ไงวะ มโนอีกแล้วกู
“เดี๋ยวกูไปส่ง ฝนจะตกแล้ว”
“มึงก็กลับบ้านมึงไปสิ” แหม มีเกรงใจกันด้วย...เปล่า มันรำคาญผมอยู่ ฮือ
“คนเขาอุตส่าห์ใจดีไปส่ง” ผมหน้ามุ่ยเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบรับพลางทำท่ารำคาญใส่
“หึ กูต้องซาบซึ้งใช่ไหม” อีกฝ่ายกอดอกตัวเองอย่างเหนือกว่าแล้วยังมาทำหน้ากวนตีนใส่อีก
รู้แล้วว่าทำไมมันถึงชื่อกวน พ่อแม่ช่างตั้งให้เหมาะกับนิสัยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ากูยังเป็นที่เนียนอยู่นะ กูจะเขกกบาลมึงนาว!
“ใช่ ขึ้นมาเร็ว ทางเดียวกัน” ผมยังตื้อไม่เลิกจนเขาเริ่มใจอ่อน...มันก็ไม่ได้ใจร้ายอะไรมากมายนี่นา
“ไหนบอกมาซื้อข้าว” ไม่ใจร้ายแต่กวนตีน!
“งุ้ย กูไม่แดกแล้วสัส ขึ้นมา!” ขี้สงสัยจริงมึงอะ เดี๋ยวก็ไปซื้อข้าวมายัดปากซะหรอก อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอแต่ก็ยอมขึ้นมาโดยดี
“เกาะแน่นๆ นะน้องสาว เฮียจะฟาสแย้ว”
“เร็ว อย่ามาลีลา”
“จ้ะ ให้เฮียส่งให้ถึงห้องเลยไหม- จ้ะๆ ไปแล้ว” หยุดเล่นทันทีเมื่อรู้สึกถึงรังสีมองแรงทางด้านหลัง
ทำไมวันนี้ไม่มีใครเล่นกับผมเลยอะ เดี๋ยวผมคงต้องไปอัพสกิลเล่นกับคนยังไงไม่โดนมองแรงเพิ่มซะแล้ว!