EP 7 | หมี่เหลืองแล้ว
ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนเช้าเพราะความอึดอัดเหมือนกำลังโดนงูรัดแต่เมื่อลืมตาขึ้นมาดูก็แทบช็อกเพราะที่รัดฉันอยู่ไม่ใช่งูแต่เป็นคุณโรมต่างหาก
O///O!!
ทำไมเราถึงมานอนกอดกันกลมดิ๊กอยู่บนโซฟาแบบนี้ล่ะ ฉันก้มลงสำรวจตัวเอง เฮือก! ฉันใส่ชุดของคุณโรมอีกด้วย
สมองอันน้อยนิดประมวลภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทันที ฉันหลงป่าคุณโรมมาเจอฉันแล้วพามาที่เรือนกระจก ฉันง่วงมากก็เลยหลับไปแปลว่าคุณโรมเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉัน งั้นเขาก็เห็นน้องบิ๊กเปาของฉันแล้วดิ! T^T
ฉันเงยหน้าขึ้นมองคุณโรมอีกครั้ง ทั้งที่เห็นตั้งแต่เด็กอยู่แล้วว่าเขาหล่อแต่แม่เจ้า! มุมเสยก็ยังหล่อ
ผิวขาวเนียนละเอียดเหมือนก้นเด็ก ดวงตาที่กำลังหลับพริ้ม จมูกโด่งๆ ทรงสวยกว่าไปศัลยกรรมที่เกาหลี ปากกระจับได้รูปสีชมพูนิดๆ
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก!
นี่ฉันกำลังหวั่นไหวกับคุณโรมเหรอเนี้ย!
ฉันเรียกสติตัวเองกลับคืนมาก่อนจะค่อยๆ ยกแขนอันหนักอึ้งของคุณโรมออกและนั่นก็ทำให้คนที่นอนกอดฉันอยู่ลืมตาขึ้นทันที
“ตื่นแล้วเหรอ ปวดหัวมั้ย”
คุณโรมถามพลางยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของฉันเบาๆ ฉันเลือกที่จะส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ตัวไม่ร้อน ดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นไข้”
เขาพูดพลางค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟา ใบหน้าเรียบเฉยราวกับการนอนกอดฉันเป็นเรื่องปกติทั้งที่ฉันใจเต้นแรงจนไม่กล้ามองหน้าเขา
อย่าเพิ่งตายนะคาร่า!
ไม่เคยใจเต้นแรงขนาดนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ!
ฮี่ๆๆ ~
เสียงร้องของม้าที่ดังอยู่หน้าเรือนกระจกเรียกความสนใจของเราสองคนให้หันไปมองพร้อมกัน
สเตฟาน!
สเตฟานจริงๆ ด้วย ฉันรีบสวมเสื้อโค้ตของคุณโรมอย่างถือวิสาสะก่อนจะเปิดประตูเรือนกระจกออกไปหาเจ้าม้า
“หายไปไหนมา รู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วงแทบแย่”
สเตฟานยื่นหน้าลงมาหา ฉันจึงลูบข้างแก้มของเขาทั้งสองข้างก่อนจะโอบกอดคอเขาไว้หลวมๆ
“เมื่อวานมันก็มาอยู่ที่นี่ พี่หาเจอตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว”
เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้ฉันปล่อยแขนออกจากคอสเตฟานแล้วหันกลับไปมอง
“พอเจอม้า เด็กก็หายต่อ”
ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเมื่อวานฉันสร้างเรื่องไว้เยอะเลยล่ะ=__=
“คาร่าขอโทษนะคะคุณโรม”
“ถ้ารู้สึกผิดจริงๆ ก็อย่าดื้อกับพี่”
ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณโรมมองฉันไม่เหมือนเดิมนะ สายตาที่เขาใช้มองฉันมันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ มันชวนให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว
หลังจากนั้นเราก็ขี่สเตฟานกลับจากเรือนกระจกโดยที่ฉันนั่งอยู่ในอ้อมแขนของคุณโรม อากาศหนาวของหิมะไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกหนาวเหมือนเมื่อวานเลยการได้อยู่ในอ้อมกอดของคุณโรมทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น
แถมตอนนี้เราสองคนก็นั่งอยู่บนหลังสเตฟาน โยกขึ้น โยกลง โยกขึ้น โยกลง
กรี๊ด!
ยัยเด็กลามก >///<
“ไม่ๆๆๆ”
“ไม่อะไร”
ฉันส่ายหน้าไปมาจนคุณโรมเอ่ยถาม โอ๊ยย! โป๊ะอีกแล้วยัยคาร่า
“เปล่าค่ะ คาร่าคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
แล้วฉันก็นั่งเงียบมาตลอดทางเพราะกลัวว่าตัวเองจะหลุดโป๊ะอะไรออกมาอีก
คุณโรมขี่สเตฟานมาจนถึงหน้าประตูบ้าน พี่ฮันนี่ที่เห็นเราสองคนกลับมาก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที คิดว่าน่าจะเข้าไปรายงานคุณป้าแน่ๆ ว่าเรามาถึงแล้ว
“คาร่า โรม เป็นยังไงบ้างลูก”
คุณป้ารีบเดินออกมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยพลางมองสำรวจเราสองคน
“หนูไม่เป็นอะไรค่ะคุณป้า”
ฉันตอบในขณะที่คุณโรมกระโดดลงจากหลังสเตฟานก่อนจะหันมาช่วยอุ้มฉันลง
-////-
เขาก็ใจดีกับทุกคนแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วนี่นา ทำไมฉันถึงได้คิดเพ้อเจ้อไปเรื่อยทุกทีเลยนะ ตั้งสติหน่อยสิยัยคาร่า!
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ขวัญเอ่ยขวัญมานะลูก หลงอยู่ในป่าคงจะกลัวมากเลยใช่มั้ย ไปๆ รีบไปกินข้าวดีกว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
คุณป้าพูดเองเออเองเสร็จสรรพแล้วประคองฉันเดินเข้าไปในบ้าน ฉันอยากจะบอกเหลือเกินว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่ต้องประคองก็ได้แต่ก็กลัวคุณป้าจะเสียน้ำใจ
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จคุณป้าก็ให้ฉันขึ้นมาพักผ่อนที่ห้องของตัวเองส่วนคุณโรมฉันคิดว่าเขาน่าจะออกไปทำงานข้างนอก
••××××ו•
เป็นปิดเทอมที่น่าเบื่อมากเพราะสองสามวันมานี้ฉันอยู่แต่ในไร่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นนอกเขตไร่เลย วันนี้ฉันก็เลยตั้งใจจะชวนพี่ฮันนี่กับแก๊งสามทหารเสือออกไปเดินเล่นถนนคนเดินในเมืองเสียหน่อย
“รอพี่เค้ากลับมาพาไปดีมั้ยลูก”
นี่คือประโยคของคุณป้าเมื่อฉันมาขออนุญาตออกไปข้างนอกไร่ ถ้าไปข้างนอกกับคุณโรมบอดี้การ์ดก็ต้องตามไปอีกเพียบ
“ไม่รบกวนคุณโรมดีกว่าค่ะคุณป้า งานคุณโรมเยอะแยะไปหมดอีกอย่างถ้าไปกับคุณโรมพี่ๆ บอดี้การ์ดก็ต้องตามออกไปเป็นขบวน”
ฉันตอบกลับออกไปตามตรง ถึงคนงานในไร่จะรู้กันหมดว่าฉันมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรแต่ฉันก็ไม่เคยไปออกงานสังคมอย่างเป็นทางการ คนนอกจึงไม่รู้จักว่าฉันเป็นใคร
และฉันก็ชอบแบบนี้มากกว่าเมื่อไม่มีคนรู้ว่าฉันเป็นใครก็สามารถออกไปเที่ยวได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไปไม่ต้องคอยมีบอดี้การ์ดคุ้มกัน
“เรานี่จริงๆ เลย”
คุณป้าถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็ยอมอนุญาตให้ฉันออกมาเที่ยวกับพี่ๆ ได้อยู่ดี
“ออกรถเลยพี่!”
ตอนนี้เรากำลังนั่งกันอยู่บนรถกระบะสี่ประตูของไร่ค่ะ พี่เจซเป็นคนขับส่วนฉันนั่งอยู่ข้างๆ ด้านหลังก็จะเป็นพี่เจย์เลน พี่ฮันนี่และพี่เจย์เลอร์
ขับรถออกจากบ้านประมาณสิบห้านาทีกว่าจะพ้นเขตของไร่ คิดดูแล้วกันว่าไร่กว้างแค่ไหนถ้าจะต้องเดินออกมาล่ะก็ ฉันตายแน่ๆ
ระหว่างทางมีบ้านของชาวบ้านตั้งอยู่ประปรายและต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าเราจะไปถึงในเมืองเซบิยา
“เฮ้ยพี่! จอดๆๆๆ”
ฉันนั่งมองข้างทางมาเรื่อยๆ จนเห็นรถกระบะสีดำจอดอยู่หน้าบ้านชาวบ้านหลังหนึ่งและที่สำคัญเลยก็คือมีกลุ่มผู้ชายสามสี่คนกำลังทำร้ายลุงกับป้าเจ้าของบ้าน
เอี๊ยด!
“มีอะไรครับคุณหนู”
“คาร่าจะลงไปช่วยเขา”
ฉันพูดพลางรีบเปิดประตูรถแต่ก็โดนพี่ฮันนี่คว้าข้อมือเอาไว้ก่อน ห้ามทำไมเนี้ยลุงกับป้าเขาจะตายแล้วนะ
“คุณหนูอย่าลงไปเลยนะคะไม่รู้พวกมันมีปืนหรือเปล่า”
“แล้วจะปล่อยให้เขาตายทั้งที่เราอาจจะช่วยได้งั้นเหรอ”
แก๊งสามทหารเสือและพี่ฮันนี่หันมองหน้ากันด้วยสีหน้าลำบากใจ ฉันอาศัยจังหวะนั้นสะบัดมือพี่ฮันนี่ออกแล้วเปิดประตูรถลงไปทันที
ฉันไม่ชอบเห็นคนถูกรังแก ดูก็รู้ว่ายังไงลุงกับป้าก็สู้พวกมันไม่ได้แน่ๆ แล้วจะให้ฉันขับรถผ่านไปเฉยๆ ได้ยังไงกัน
“กูบอกให้ย้ายออกดีๆ ทำไมไม่ไป!”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งตะคอกถามลุงกับป้าเสียงดัง ทั้งสองคนสะดุ้งก่อนจะยกมือไหว้ท่วมหัวแล้วก้มกราบพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
ดูเหมือนว่าคนนี้จะเป็นหัวหน้าแก๊ง
“อย่ายึดบ้านของเราเลยนะจ๊ะ”
“ในเมื่อไม่มีเงินจ่ายหนี้ บ้านหลังนี้ก็ต้องโดนยึดดิวะ!”
“ฮือๆๆ”
“ชัดนะลุง!”
ผู้ชายอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องพูดเสริม ลุงคนนั้นรีบคลานเข้าไปเกาะขาคนที่เป็นหัวหน้าทันที
“ลุงขอร้องนะ ลุงจะรีบหาเงินมาชดใช้ให้”
ผัวะ!
ไอ้บ้านั่นมันเตะเสยคางลุงลงไปนอนกองร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นจนป้ารีบคลานเข้าไปดูสามีของตัวเองทันที
“หยุดนะเว้ย!”
พวกมันหันมามองฉันเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่ลุงกับป้าก็ด้วย ฉันรีบเดินเข้าไปหากลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนอย่างไม่เกรงกลัว
“หมี่เหลืองแล้ว” เสียงพี่เจย์เลนพูดตามหลังของฉันมา
“ระ รีบโทรบอกนายดิวะ” พี่เจซเสริมขึ้น
“ฉะ ฉันโทรเองๆ” ส่วนนี่เสียงลนลานของพี่ฮันนี่
ฉันไม่ได้สนใจหันไปมองเพราะกำลังยืนจ้องหน้าอยู่กับไอ้หัวหน้าอันธพาลที่กำลังมองมาทางฉันด้วยสายตาแทะโลมสุดๆ
เดี๋ยวแม่เอามีดแทงตาบอดเสียหรอก!