ชา(ม)รัก : 6
บ้านรื่นรมภักษ์ดี
“ยัยแสบ ยัยแสบ ตื่นได้แล้ว”
เมื่อรถเลี้ยวเข้าตัวคฤหาสน์รื่นรมภักษ์ดีและจอดนิ่งสนิทแล้ว ผู้โดยสารที่หลับตั้งแต่กลางทางก็ยังไม่ยอมตื่น ทำให้เดือดร้อนพี่ชายเธออย่างชลศึกษ์ต้องลงมาปลุกน้องสาว
“อื้อ ถึงแล้วเหรอคะ”
คนถูกปลุกขยี้ตาไปมาสองสามที ก่อนจะค่อยๆ เอนหลังขึ้นจากเบาะพิง คว้ากระเป๋าสะพายข้างเดินลงจากรถทันที
“กลับมากันแล้วเหรอลูก” ทันทีที่ทั้งสามคนเดินเข้ามาในตัวบ้านที่โอ่อ่ากว้างขวาง เสียงติดแหบของหญิงวัยห้าสิบห้าก็เอ่ยทักทายขึ้น
“สวัสดีครับคุณน้า”
ก้องภพยกมือขึ้นไหว้คุณหญิงปิยะนุช หรือแม่ของเพื่อนสนิท
“อ้าว ทำไมวันนี้ตาก้องถึงมาด้วยกันได้ล่ะ” ปกติถ้าเป็นวันธรรมดาแบบนี้การจะได้เจอตัวเพื่อนของลูกชายอย่างก้องภพไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเจ้าตัวงานยุ่งมากจนแทบจะไม่ค่อยได้แวะมาที่นี่
“วันนี้ผมแวะมาทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้สองศรีพี่น้องครับ”ก้องภพพูดกลั้วขำ ทำเอาคุณหญิงปิยะนุชคิ้วขมวดเพราะไม่เข้าใจ
“วันนี้รถผมกับยัยชายน์เสีย เลยรบกวนไอ้ก้องไปรับแล้วมาส่งที่นี่” ชลศึกษ์เป็นคนอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้
“ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้พร้อมกันล่ะเนี่ย มาๆ เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวแม่ให้คนหาน้ำหาท่าให้กิน แล้วนั่น ทำไมหน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นละชายน์” ท้ายประโยคคนเป็นแม่หันมาถามลูกสาวคนเล็ก
“คนขี้เซา เพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เอง”
“อย่ามาแซ็วชายน์นะ เดี๋ยวชายน์ขึ้นไปข้างบนก่อนนะคะ นี่เลยเวลาเข้าเรียนคลาสแรกแล้ว วันนี้ชายน์คงต้องโดดแล้วล่ะ”
“อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะว่าเรามีเรียน พี่ก็นึกว่าเราไปก่อนเวลา” ชลศึกษ์เอ็ดให้น้องสาวเบาๆ
“ฤกษ์ไม่ดีแล้ว มีคนทำให้เสียอารมณ์ด้วยเลยกลับบ้านดีกว่า”
ปากเล็กจิ้มลิ้มเบะเบี้ยวใส่พี่ชายตัวต้นเหตุ ทำเอาคนถูกประชดส่ายหน้าไปมาเบาๆ
“สงสัยจะไม่อยากได้แล้วมั้งกระเป๋าน่ะ” ขอแกล้งคืนหน่อยแล้วกัน มันเขี้ยว ชลศึกษ์คิดในใจ
“อย่านะ! เฮียก้องเป็นพยานให้ชายน์ด้วยนะคะ” เมื่อถูกพี่ชายขู่ สาวเจ้าก็รีบหาตัวช่วยทันที
“ผมว่าเราเข้าไปหาอะไรเย็นๆ ทานข้างในกันดีกว่าครับคุณน้า”
หวา... ทำไมเฮียก้องภพทำแบบนี้ล่ะ ชาลินีเริ่มใจคอไม่ดี กลัวเพื่อนพี่ชายจะผิดคำพูดตอนอยู่บนรถว่าจะเป็นพยานเรื่องกระเป๋า แบรนด์เนมที่พี่ชายบอกจะซื้อให้
“แม่ให้เกเรได้แค่วิชาเดียวนะคะ น้องชายน์ต้องกลับไปเรียนวิชาต่อไป เอารถอีกคันของแม่ไปก็ได้ค่ะ”
นึกว่าแม่จะไม่บ่นเรื่องที่โดดเรียนแล้วซะอีก
“ค่าาาา” คนถูกติเตียนครางรับเสียงยานคาง ก่อนจะแยกจากพวกพี่ๆ ขึ้นไปเตรียมตัวเพื่อกลับมหาวิทยาลัยตามคำสั่งมารดา
“นี่ชาอะไรลูก” คุณหญิงปิยะนุชเอ่ยถามลูกชายทันทีที่ชลศึกษ์วางถุงชาที่ได้มาจากร้านทีไทม์ไว้โต๊ะกระจกแก้ว
“เจ้าของร้านบอกว่ามันคือชาคาโมมายล์ครับ” เขาเอ่ยก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงใบหน้าเจ้าของชาถุงนี้
“สงสัยจะเป็นผู้หญิง”
“แล้วก็คงสวยด้วยครับคุณน้า”
ทั้งแม่ทั้งเพื่อน ทำไมถึงได้แซ็วเขาแบบนั้นล่ะ
“ผู้หญิงน่ะใช่ แต่สวยไหม ผมว่าเธอดูบ้านๆ”
“บ้านๆ แต่ทำให้ลูกชายคุณน้ายิ้มอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คุณน้าคิดเหมือนผมไหมครับ”
อะไรของไอ้เพื่อนคนนี้กันวะ แค่เผลอยิ้มเพราะความใจดีของเธอ นี่เพื่อนคิดอะไรอยู่
“กูก็ยิ้มแบบนี้กับยัยชายน์”
“นั่นน้องสาวมึง ไม่นับ”
“กู...”
“พอเลยทั้งสองคน ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ ไปได้” คุณหญิงปิยะนุชห้ามศึกแบบกลั้วขำ
ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ เด็กสองคนนี้ นี่อายุเข้าเลขสามกันทั้งคู่แล้วนะ เรื่องเถียงให้ชนะนี่ไม่เคยยอมกันเลยตั้งแต่เด็กจนโต
“นี่เราคงไปตามหานักชงชาอีกล่ะสิ” คุณหญิงปิยะนุชเอ่ยถามลูกชาย
“ครับ ผมออกไปตระเวนหานักชงชาตามปกติทุกวัน แต่วันนี้เจ้าลูกรักผมดันเกเรไปดับอยู่ย่านชนบทแถบชานเมือง ทำให้ผมได้เจอร้านชาร้านนี้” ชลศึกษ์เล่าถึงสิ่งที่เขาเจอมาตั้งแต่เช้า
“แล้วเป็นไงลูก ฝีมือการชงชาของเจ้าของร้านพอจะช่วยโรงแรมเราได้ไหม”
“นี่แหละครับที่ผมกำลังจะให้ทั้งสองคนช่วยตัดสินอีกแรง”