THE HEARTLESS : 02
เฮือกกก!!!
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหงื่อผุดออกเต็มใบหน้า หัวใจกระหน่ำเต้นโครมๆ จนแทบจะหลุดออกมา ลำคอแห้งผาก ตัวชาไปทั้งตัวจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะที่มีอันน้อยนิดกลับมา ฝันร้าย...มันแค่ฝันร้ายที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น
มือเล็กถูกยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตื่นก่อนเวลาเหมือนทุกๆ วันอีกตามเคย ฝันบ้าบออะไรได้ทุกวี่ทุกวัน...ไม่เข้าใจ ฉันลุกขึ้นจากที่นอนขนาดคิงไซซ์ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าปูสีโรสตามสไตล์ที่ฉันชอบ และหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปทันที
ทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งได้ตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ยังเอาใจใส่ฉันอย่างละเอียดอ่อนในทุกเรื่องเหมือนเดิม เหมือนที่ท่านพยายามทำมาตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ท่านมักจะมีของขวัญที่ถูกใจส่งให้ฉันตลอดทุกๆ เดือน ไม่เคยขาดจนไม่มีที่จะเก็บ จะมีก็แต่ระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเพราะฉันไม่ได้ติดต่อกลับมาหาใครสักคนเลย
ลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากฟู่ใหญ่เพื่อคลายความกังวลใจอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ดเปิดประตูออกมาจากห้องตรงไปกดลิฟต์ทันที
ติงงง
“ดิน! /โรส!!”
พอประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็หลุดเรียกชื่อคนข้างในออกมาเสียงดังด้วยความตกใจในขณะเดียวกัน คนข้างในก็ตกใจเรียกชื่อฉันเสียงดังไม่แพ้กัน นี่มันอะไรกัน พวกเขามาอยู่ที่นี่กันหมดเลยเหรอ ดินเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของฉัน ธาม ดิน และฉัน พวกเราโตมาด้วยกันทั้งสามคน และดินรู้ทุกเรื่องของฉันกับธาม แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมดินถึงดูตกใจขนาดนั้น พวกเขาไม่คุยกันรึไงนะ หรือธามไม่พูดถึงฉันให้ดินฟังเลยยังงั้นเหรอ ทำไมใจร้าย...
ระหว่างที่ฉันกำลังประมวลผลภาพเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาสองสามวันนี้อยู่ ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเขาทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ ร่างฉันก็ถูกดันเข้ามาในลิฟต์ด้วยแผงอกของคนตัวโตที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ใช่ซิ...เขาไม่ได้ดันฉันเข้ามาแต่เพราะฉันยืนเกะกะขวางทางอยู่ต่างหากเหมือนเขาเดินชนเศษผงเศษฝุ่นอะไรสักอย่างยังไงยังงั้น...ฮึก เจ็บปวด
สายตาที่ไม่มีแม้แต่เงาของฉันอยู่ มือที่ไม่แม้แต่อยากสัมผัสแตะต้องฉัน ก่อนที่เขาจะหันหลังไปกดปุ่มที่ผนังพร้อมกับประตูลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนปิดเข้าหากัน ฉันได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของเขาผ่านกระจกเงาบานใหญ่ภายในลิฟต์ด้วยนัยน์ตาสั่นไหว
“นึกว่าตายไปแล้วซะอีก” เสียงของดินปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์และหันหน้ากลับมาทางประตูลิฟต์ ฉันเหลือบตามองคนพูดที่ตอนนี้ยืนเอาข้างลำตัวพิงลิฟต์มองฉันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา เขาคงมีคำถามเต็มหัวไปหมด ไม่ต่างจากฉัน แต่ประโยคแรกที่หลุดออกมาก็กัดฉันซะล่ะ นี่แหละคือนายปฐพี เดชาพิพักษ์ อย่างไม่มีข้อสงสัย ปากเสียเป็นเอกลักษณ์ ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
“สาบานว่านั่นปาก”
“หึ...แล้วทำไมถึงมาโผล่อยู่นี่” ดินยกยิ้มให้ฉันแบบกวนๆ ก่อนจะถามขึ้นเสียงเรียบ ไม่ใช่แค่ดินหรอก ฉันเองก็อยากถามคำถามนี้เหมือนกัน
“คือ...แม่รันเสียแล้ว เราก็เลยต้องกลับมาอยู่กับคุณพ่อที่นี่” ฉันพูดขึ้นเสียงอ่อยอย่างหดหู่ ฉันอยู่กับแม่แค่สองคนมาตลอด พอไม่มีทางแล้วมันก็เหมือนตัวคนเดียวบนโลกยังไงก็ไม่รู้
“คุณน้ารันเสียแล้ว?” ดินยืดตัวยืนตรงและหันมาถามย้ำฉันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นตระหนกไม่น้อย ดีที่เขายังมีความรู้สึกต่างกับอีกคนที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง สายตาเหลือบมองแผ่นหลังของธามเป็นระยะๆ ฉันแอบหวังว่าเขาจะตกใจหรือไม่ก็หันมามองฉันบ้าง แต่ก็ไม่เลย...
“อืม เมื่อสองเดือนก่อน”
“เสียใจด้วยนะ แล้วเป็นยังไงบ้าง อยู่ดีๆ ก็หายไป ทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลย พวกฉันแทบจะพลิกแผ่นดินหา รู้ไหมว่าไอ้ธะ”
“เงียบ! รำคาญ”
ดินยังไม่ทันพูดจบประโยค คนที่ยืนเงียบมาตั้งนานก็ตวาดขัดขึ้นมา จนฉันถึงกับสะดุ้งโหย่งไม่กล้าพูดอะไรต่อ ดินเองก็เหมือนกันเม้มปากเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง ฉันเพิ่งได้ยินเสียงเขาในรอบสี่ปี เสียงที่ฉันโคตรจะคิดถึง แต่กลับกลายเป็นเสียงที่สั่งให้ฉันหยุดพูด เขาคงไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียงฉันซินะ เขายอมใช้อากาศร่วมกับแกก็ดีแล้วไหมโรส..
แต่ก็ไม่รู้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรของฉัน นี่ฟ้าแกล้งฉันไปถึงไหน พื้นที่ประเทศไทยตั้งกว้างใหญ่ กลับต้องมาอยู่จังหวัดเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน คอนโดเดียวกันและที่ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ชั้นเดียวกัน เหอะ...เอาอีกเซ่...แน่จริงเอามาอยู่ห้องตรงข้ามกันเลยดิ เอาให้มันเจ็บหนักๆ ไปเลย สวรรค์หนอสวรรค์ ไม่เข้าข้างฉันเลยสักนิด ฉันเจ็บปวดนะรู้ไหม
ติ้งงง
พอประตูลิฟต์เปิดออกดินก็เดินออกเป็นคนแรกและตามด้วยธาม มือเล็กยกขึ้นอยากจะคว้าเขาเอาไว้แต่ก็ทำได้แค่กำอากาศที่อยู่รอบตัวเขาเท่านั้นและดึงมันกลับมาแนบข้างลำตัวเหมือนเดิม ฉันมีสิทธิ์อะไรไปแตะต้องเขา...บ้าจริง ร่างหนาตรงหน้าก็ดูเหมือนชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเร่งฝีเท้าตามเพื่อนรักตัวเองไป
ฉันถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะก้าวเท้าออกจากลิฟต์และชะงักไปเหมือนธามเมื่อกี้นี้เลย เพราะภาพตรงหน้าคือเงาสะท้อนของตัวเองชัดแจ๋วในกระจกบานใหญ่ที่ติดกับผนังตรงข้ามลิฟต์พอดิบพอดี ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ธามต้องเห็นแน่ๆ ว่าฉันกำลังจะทำอะไร โอ๊ย...เกลียดกระจกบานนี้ ทุบทิ้งไปเลยได้ไหมเนี่ย
@มหาวิทยาลัย A
พอลงจากรถฉันก็เหลือบไปเห็น นนท์กับน้องผู้หญิงสองคนเมื่อวาน นั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ตึกบริหาร ฉันเลยเดินตรงไปหาพวกเขาทันที เพราะไม่รู้จะไปหาใคร รู้จักแค่นนท์คนเดียว
“พี่โรส มาพอดีเลย นั่งๆ” มิณทักขึ้นทันทีที่เห็นฉันก่อนจะตบมือลงที่ม้าหินข้างตัวเองเป็นเชิงให้ฉันนั่งตามคำบอกของเธอ ฉันส่งยิ้มไปทักทายพวกเขาแล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ มิณ ส่วนนนท์เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับจอมือถือ เสียบหูฟังทั้งสองข้าง มือไม่มีว่างกดยิกๆ ที่หน้าจอ คิ้วชนกันยิ่งกว่าสอบมิดเทอม คงเดาไม่ยากว่าเขากำลังทำอะไร
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” ฉันละสายตาจากนนท์หันไปหาสองสาวนั่นทันที เพราะดูแล้วตอนนี้นนท์น่าจะไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริงสักเท่าไหร่
“เย็นนี้เราจะมีงานเลี้ยง” มิณพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นสุดๆ ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้
“งานเลี้ยง?”
“ช่าย วันเกิดเพลินเอง พี่โรสไปด้วยกันนะ จะได้เปิดหูเปิดตาไปด้วยไง นะ..นะ” พอฉันถามย้ำออกไปเพลินก็ตอบกลับทันควันพร้อมกับเอ่ยชวน มิณเองก็พยักหน้าทำตาปริบๆ แล้วฉันก็เป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่งด้วยซิ เลยได้แต่พยักหน้าตอบรับกลับไป ก็ดีเหมือนกันได้ไปเที่ยวเล่นบ้างจะได้ไม่ฟุ้งซ่านแต่เรื่องของผู้ชายคนนั้น ว่าแต่พวกเขาจะไปกินที่ไหนกัน
“ที่ไหนเหรอ”
“เดี๋ยวเพลินไปรับก็ได้ พี่โรสพักอยู่ไหนอะ” เพลินรีบเสนอออกไปแบบทันควันคล้ายกับกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจ
“คอนโด G” พอฉันบอกที่อยู่ไปมิณก็รีบโพล่งขึ้นมาทันที
“เห่ย คอนโดเดียวกับมิณเลย ผับเฮียดินอยู่ก่อนถึงคอนโดสองซอยเอง ชื่อ So Say Pub”
“เฮียดิน?” ฉันได้ยินชัดแหละ ว่ามิณบอกว่าผับเฮียดิน แต่ที่ฉันทวนชื่อเพราะคิดว่าน่าจะเป็นดินเดียวกับที่ฉันรู้จักแน่ๆ วันนั้นพวกเธอนั่งอยู่กับธามแสดงว่าก็ต้องเป็นดิน เพื่อนฉันอยู่แล้ว แต่ทำไมดินถึงมาเปิดผับที่นี่ ผ่านมาสี่ปี อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยเนอะ
“อืม อ่อพี่โรสยังไม่เคยเจอเฮียดินนี้เนอะ เดี๋ยวคืนนี้มิณพาไปแนะนำ อยู่ที่นี่รู้จักเฮียเขาไว้ก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย” มิณพูดบอกฉันด้วยความที่ไม่รู้ว่าฉันกับดินเรารู้จักกันมาก่อนแล้ว แสดงว่าดินนี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ถึงกับไม่มีให้กล้ามาวุ่นวายเลยเหรอ ฉันได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้มิณ ถ้าน้องรู้ว่าฉันกับดินเป็นเพื่อนสนิทกัน น้องจะทำหน้ายังไงนะ
“ไปก่อนนะคะ สามทุ่มเจอกัน” เพลินยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วบอกลาฉันกับนนท์พร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้และมิณก็ลุกขึ้นไปตามๆ กัน
“เคๆ เจอกัน” นนท์เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือยกมือโบกให้น้องทั้งสองและก้มหน้าไปที่มือถือต่อ เคร่งเครียดน่าดู คิ้วขมวดเชียวกับการตีป้อมของเขานั่น ก่อนที่เพลินและมิณจะหันหลังกำลังจะเดินออกไป แต่ฉันนึกอะไรได้พอดีเลยเรียกไว้ซะก่อน
“เพลิน”
“คะ?” เพลินหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาขานรับฉันอย่างไว
“ไม่ต้องมารับพี่ก็ได้ พี่ว่าพี่ไปถูก เหมือนจะเห็นแวบๆ” น้องจะได้ไม่ต้องลำบากมารับฉัน ถ้ามันอยู่ก่อนถึงคอนโดนิดเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยาก คิดว่าน่าจะไปถูก เพลินพยักหน้าให้ฉันหงึกๆ ก่อนจะหันเดินกลับออกไปพร้อมเพื่อนของตัวเอง สองสาวนี่ดูน่ารัก น่าคบหาดีนะแล้วอีกอย่างธามและดินไม่ได้สนิทกับใครง่ายๆ แสดงว่าสองสาวนี่ต้องนิสัยดีระดับหนึ่งเลยแหละ
…..
…..
ช่วงบ่ายของวัน….
ฉันพยายามเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณมหาวิทยาลัย จนมาถึงห้องสมุด เท้าเรียวเล็กก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเลเลย กว้างขวาง ใหญ่โต สมกับเป็นห้องสมุดของมหาวิทยาลัยชั้นนำจริงๆ ฉันเดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนมาเจอมุมที่ฉันโปรดปราน ไขปริศนา สืบสวน ลี้ลับ แนวนี้แหละ ฉันอ่านได้ทั้งวี่ทั้งวัน นิ้วเล็กกรีดไล่ดูสันหนังสือไปเรื่อย เท่าที่ดูฉันอ่านมันมาแทบหมดแล้ว
อ๊ะ!
ฉันผงะถอยพลางเอามือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเมื่อชนเข้ากับแผนหลังของใครก็ไม่รู้อย่างจัง เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูหนังสือบนชั้นจนไม่เห็นว่ามีคนยืนอยู่
“ขอโทษนะคะ พอดะ..” ฉันรีบเอ่ยขอโทษขอโพยคนตรงหน้าทันที แต่ยังไม่ทันได้อธิบายว่าทำไมฉันถึงชนเขา ร่างหนาก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน และคำพูดต่างๆ นานา ก็เลือนหายไปจนหมด ใจเต้นโครมครามไม่หยุด แต่พอคนตรงหน้าเห็นว่าเป็นฉัน เขาก็รีบหันหลังและกำลังจะก้าวเท้าออกไป
“ธาม” ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเอ่ยเรียกชื่อเขา ชื่อที่ฉันไม่ได้เรียกมาตั้งนาน ชื่อของคนที่ฉันโคตรจะคิดถึงเขา แต่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ร่างหนาหยุดฝีเท้าแต่ยังคงยืนหันหลังให้ฉันอยู่แบบนั้นและไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากเขาเหมือนเดิม
“โรสขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” สิ้นเสียงฉันเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบแล้วเดินออกไปแบบไม่ไยดีสักนิด
“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้จักเธอ”
คำตอบของเขาทำเอาใจฉันแตกสลายแบบไม่มีชิ้นดี ชาวาบไปทั้งตัว สมองไม่ตอบสนองหรือประมวลผลอะไรได้ทั้งนั้น มันอื้อไปหมด ลมตีขึ้นมาจุกอยู่ที่อกจนพูดไม่ออก ฉันทำได้แค่กลั้นน้ำตาที่มันเออล้นออกมาเอาไว้ แล้วมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ห่างออกไป...ห่างออกไปจนสุดสายตา ไกลจนฉันไม่อาจเอื้อมถึงอีกแล้ว สมควรแล้วไหม...สมน้ำหน้า อยากทิ้งเขาไปเอง แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ