THE HEARTLESS : 01
@มหาวิทยาลัย A
ฉันนั่งสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลังพวงมาลัยหลังจากที่รถเคลื่อนมาจอดลานหน้าตึกบริหารได้เพียงชั่วครู่ การเข้าเรียนแบบไม่ธรรมดาของฉันต้องเป็นจุดสนใจไม่มากก็น้อยและฉันต้องยอมรับเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้นให้ได้ นิ่งไว้...ไม่กี่อาทิตย์พวกเขาก็จะลืมไปเอง
ลมหายใจถูกพ่นออกจากปากฟู่ใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถและปิดมันลงอย่างเบามือ นั้นไง...ยังไม่ทันได้ก้าวขาเลย เสียงนกเสียงกาก็กระทบเข้าโซนประสาทหูทันที
‘คนนี้ไงมึง ที่เข้ามากลางเทอม’
‘ก็พ่อเป็นถึงท่านทูต จะเข้าตอนไหนก็ได้ปะวะ’
‘เออ นั้นดิเนอะ’
‘เห็นว่าโอนมาจากเมกาด้วยนะมึง’
บลาบลาบลา~~
ฉันทำเป็นหูทวนลมแล้วเดินไปนั่งม้าหินอ่อนที่ว่างอยู่ใต้ตึกบริหาร ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับหูฟังที่เตรียมไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ กดเข้าไปในแอปพลิเคชันหนึ่งแล้วเปิดเพลงโปรดอัดใส่หูดังลั่นจนไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกาที่ไหนอีก
ระหว่างที่ฉันนั่งฮัมเพลงอย่างสบายใจ ก็มีผู้ชายตัวสูงรูปร่างสันทัดและใบหน้าที่หล่อเหลาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหย่อนก้นลงนั่งม้าหินอ่อนตัวตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แสดงถึงความจริงใจมาให้...ให้ฉันเหรอ ไม่น่าใช่ ฉันหันมองซ้าย มองขวา ก็ไม่มีใครนี่หว่า แล้วเขาก็เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ฉันไม่ได้ยิน อ๋อ! ..ลืมว่าใส่หูฟัง ฉันเลยดึงมันออกทั้งสองข้าง ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มของคนตรงหน้า
“เธอเพิ่งมาวันแรกใช่ไหม”
“ชะ...ใช่” ฉันตอบกลับไปแบบงงๆ ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน รู้จักกันรึ...ก็เปล่า เข้ามาตีเนียนจีบฉันงั้นเหรอ
“งั้นเธอคงยังไม่มีชมรมซินะ”
“ชมรม?” ที่แท้ก็มาชวนเข้าชมรม...แต่ก็ยังดีกว่ามาขายขนมจีบ แล้วผู้ชายตรงหน้าก็เริ่มแนะนำตัวทันที
“อืม ฉันชื่อนนท์ เรียนบริหารเหมือนกัน แล้วเธอ”
“โรส”
“ทีนี้ก็รู้จักกันแล้ว มาเข้าชมรมฉันเหอะนะ”
ฉันมองคนตรงหน้าที่นั่งทำหน้าตาน่าสงสารอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูเขาก็ไม่มีพิษมีภัยอะไรนะ ออกจะดูจริงใจด้วยซ้ำ บางทีฉันมีเพื่อนที่นี่ไว้สักคนก็น่าจะดีกว่าตัวคนเดียวนะ
“แล้วนนท์ ทำชมรมอะไรอะ” พอได้ยินฉันถามออกไปแบบนั้น สายตาคนตรงหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความหวังวาววับเป็นประกายทันที เดี๋ยวนะ...นี่ฉันสำคัญกับชมรมเขาขนาดนั้นเลยเหรอ
“จิตอาสาช่วยน้องๆ บนดอยอะ” นนท์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางร่าเริงสุดๆ คือฉันก็งงๆ แต่ชมรมน่าสนใจดีนะ ได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย ดีกว่าพวกการแสดงหรือร่ายรำเป็นไหนๆ
“อืม เราเข้าชมรมด้วยก็ได้”
“เยสสสส ชมรมไม่โดนยุบแล้วเว้ย” ทันทีที่ฉันตอบตกลง นนท์ก็ทำท่าแทงศอกเข้าข้างลำตัวพร้อมส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจ คือจำเป็นต้องขนาดนี้เลยเหรอ ก่อนจะหลุดประโยคที่ทำให้ฉันร้องอุทานออกมาเสียงหลง
“ฮะ!!”
“คือ..ไม่ค่อยมีคนสนใจชมรมแบบนี้สักเท่าไหร่อะ แล้วกรรมการก็ยื่นคำขาดมา ถ้าสมาชิกไม่ถึงสามสิบคนจะยุบ แล้วโรสก็คือคนที่สามสิบพอดี ขอบคุณน้า” นนท์พยายามอธิบายให้ฉันเข้าใจด้วยเสียงอ่อยๆ ดูๆ ไปแล้วก็น่าสงสารนะ ทำความดีแต่ไม่มีคนเห็นด้วยมันน่าเห็นใจนะ แล้วเขาก็พูดอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับที่นี่ให้ฉันฟัง ฉันคิดว่านนท์น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่งเลยล่ะ ไม่งั้นคงไม่มาทำชมรมแบบนี้หรอก
….
….
พอจบคลาส ฉันก็ยังคงพยายามทำความเข้าใจกับตัวอักษรภาษาไทยมากมายตรงหน้า ฉันอยู่กับภาษาอังกฤษมาตั้งหลายปี มันก็ค่อนข้างยากนิดหนึ่ง แบบไม่ค่อยชิน ก่อนจะได้ยินเสียงของผู้ชายที่เพิ่งเป็นเพื่อนฉันหมาดๆ เอ่ยชวนขึ้น
“โรส ไปกินข้าวกัน”
“อืม” ฉันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเพื่อตอบรับคำชวนของนนท์ ก่อนจะเก็บของลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตามหลังนนท์ออกมาจากห้อง ระหว่างทางฉันก็พยายามมองรอบๆ ไปด้วย เพื่อสังเกตจุดต่างๆ ของมหาวิทยาลัย จะได้ไม่เอ๋อ...เวลาไปไหนคนเดียว
นนท์เปิดประตูเข้าไปในโรงอาหารโดยมีฉันตามมาติดๆ ก่อนเขาจะหยุดกวาดสายตามองหาอะไรสักอย่าง และดูเหมือนจะเจอจุดหมายแล้วเพราะขายาวก้าวนำฉันไปโซนในสุดที่อยู่ริมหน้าต่าง แล้วมาหยุดที่โต๊ะๆ หนึ่งซึ่งมีคนนั่งอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้ฉันช็อกก็คือคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่หัวโต๊ะนั่น
“หู้ยยย..แอบมีแฟนไม่บอกเพลินเหรอ” เสียงเล็กของผู้หญิงหนึ่งในนั้นเอ่ยแซวนนท์ทันทีที่เห็นฉัน ก่อนที่คนถูกกล่าวหาจะแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาสนใจใครทั้งนั้น
“ทะลึ่งๆ ไม่ใช่แฟน”
“โรส” ฉันละสายตาจากคนหัวโต๊ะหันไปหานนท์ตามเสียงเรียก ก่อนเขาจะแนะนำผู้หญิงสองคนให้ฉันรู้จัก
“นี่เพลิน นี่มิณ สองสาวเนี่ยเรียนบัญชี แต่อยู่ชมรมเดียวกับเรา” ฉันได้แต่ยิ้มน้อยไปให้พวกเธอทั้งสอง ก่อนพวกเธอจะส่งยิ้มกลับมาเช่นกัน แล้วกลิ้งลูกตากลับไปมองคนที่หัวโต๊ะต่อ..แต่เขาไม่ได้สนใจฉันสักนิด ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือด้วยซ้ำ
“ส่วนนี่รุ่นพี่ยูตะและก็รุ่นพี่ธาม” แล้วนนท์ก็แนะนำผู้ชายอีกคนที่นั่งข้างผู้หญิงที่ชื่อมิณ ดูเหมือนสองคนนี้จะเป็นแฟนกัน และอีกคนที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี ฉันหันไปยิ้มให้ผู้ชายที่ชื่อยูตะและหันกลับมาที่ธาม แต่เขายังคงก้มหน้าอยู่กับหนังสือเหมือนฉันไม่มีตัวตนในสายตาเขาไปแล้ว
“พี่หาสมาชิกครบแล้วเว้ย ชมรมเราไม่โดนยุบ” นนท์ลากเก้าอี้ออกมานั่งลงข้างคนที่ชื่อเพลินและพูดบอกสองสาวด้วยท่าทางตื่นเต้น โดยมีอีกสายตากราดเกรี้ยวของผู้ชายที่ชื่อยูตะมองอยู่ตลอดเวลา เขาไม่ถูกกันเหรอ...กับนนท์เนี่ย
“ถามจริง คนที่ว่าคือพี่โรสคนนี้ซินะ” ผู้หญิงคนที่ชื่อมิณเอ่ยถามขึ้นแล้วชี้มาที่ฉันก่อนนนท์จะตอบกลับไปทันควัน
“อืม โรสเพิ่งโอนย้ายมาจากเมกา พี่ก็เลยไปชิงตัวมาซะก่อน”
ฉันค่อยเหลือบมองคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะตลอดเวลาแต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบสนองเลย ยังคงนิ่ง...และนิ่ง กลายเป็นฉันเองซะแล้วที่อยู่ไม่เป็นสุข
“นนท์ เราไปห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบฉันก็เดินออกมาเลยโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดหมายอยู่ไหน รู้แต่ฉันต้องไปจากตรงนี้ อยู่นานกว่านี้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้มันต้องไหลออกมาแน่ๆ ทำไมมันถึงเจ็บแบบนี้นะ…
ทำไมเขาถึงมาเรียนที่นี่ เขาควรอยู่ที่กรุงเทพไม่ใช่เหรอ เมื่อวันก่อนว่าช็อกแล้ว วันนี้ยิ่งช็อกกว่า แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดี ใจฉันมันแตกเป็นเสี่ยงๆ ทุกครั้งที่เจอเขา ทุกครั้งที่เขาทำเหมือนไม่รู้จัก ทำเหมือนไม่เห็นแบบนี้ ฉันก็แย่หน่ะซิ
ฉันเดินกลับมาที่รถเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างคนหมดแรง ก่อนจะฟุบหัวลงกับพวงมาลัย ปล่อยน้ำตามันไหลออกมาอยู่แบบนั้น ฉันกลั้นมันไว้ไม่ได้จริง ฉันไม่เคยตัดใจจากเขาได้ ถึงจะพยายามแค่ไหนก็ตาม เลือกเองก็กลายเป็นเจ็บปวดเจียนตายซะเอง…..
Tanin Talk
ผมถอนหายใจพรืดใหญ่พร้อมกับปิดหนังสือเข้าหากันแล้วลุกขึ้นยืดยืนเต็มความสูงก่อนจะหันไปบอกเพื่อนซี้จอมกวนที่ลากผมมานั่งเฝ้าเมียตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน
“กูกลับก่อนนะ”
สิ้นเสียงผม ไอ้ยูมันหันมาพยักหน้าให้ทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจ้องรุ่นน้องที่ชื่อนนท์คนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มันสองคนฟัดกันตั้งไม่รู้กี่รอบก็เรื่อง มิณ ผู้หญิงที่กุมหัวใจเสืออย่างไอ้ยูไว้ได้อยู่หมัดเนี่ยแหละ ผมเองก็เพิ่งเข้าใจว่าที่เขาพูดกัน คนเจ้าชู้มักจะหวงเมียมาก.. มันคือเรื่องจริง แต่สำหรับไอ้ยูเน้นเลยว่า หวงและหึงมาก
ผมเดินออกมาจากโต๊ะอาหารนั่นแล้วตรงไปยังลานจอดรถหน้าตึกวิศวะทันที แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็ต้องหยุดฝีเท้าลงซะก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ภายในรถสปอร์ตสีขาวคันหรู เพียงแค่แวบเดียวผมก็รู้ทันทีว่าคือเธอ
เธอคนที่ทิ้งผมไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ เธอคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตาย เธอคนที่หายไปจากชีวิตผมถึงสี่ปีไม่มีแม้แต่จะติดต่อกลับมา ทั้งที่ช่องทางการติดต่อของผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่อย่างเดียว และผมจะไม่มีวันกลับไปเจ็บแบบนั้นอีก ไม่มีทาง…
‘โรสรักธามนะ และจะรักตลอดไปด้วย’
เพ้อเจ้อฉิบหาย รัก...เริ่ก อะไรกัน มันไม่มีอยู่จริงหรอกไอ้ธาม มึงมันก็แค่ผู้ชายหน้าโง่เท่านั้นแหละ ประโยคที่เธอพร่ำบอกในตอนนั้นยังคงหลอกหลอนผมมาจนถึงทุกวันนี้ ผมสะบัดหัวไล่น้ำเสียงหวานและใบหน้าเธอออกจากความคิดพร้อมกับเท้าที่ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า และจะไม่มีวันถอยหลังกลับไปเด็ดขาดแม้จะอยากดึงเธอเข้ามากอดแค่ไหนก็ตาม…
@คอนโด
ผมเปิดประตูคอนโดเข้ามาและเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างแรง ตั้งแต่วันก่อนที่มีหญิงสาวบังเอิญหันมาชนผม และตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าเป็น โรส ในหัวผมมันมีแต่เรื่องราวเก่าวนเวียนอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ผมเกือบจะทำใจได้แล้วแท้ ทำไมต้องกลับมาด้วยวะ ไปแล้ว...จะย้อนกลับมาอีกทำไม
เมี้ยววว~
“ไปให้ไกลเฮียเลย ถ้าไม่อยากตาย” ผมหันไปไล่สัตว์เลี้ยงตัวโปรดอย่างหัวเสีย
เมี้ยวว~~ เมี้ยววว
เหอะ...เชื่อฟังกันดีจริงๆ มันโดดขึ้นมาบนตักแล้วใช้หน้าถูไถไปมาที่มือของผมอย่างออดอ้อนออเซาะ ผมไม่น่าเอามันมาเลี้ยงเลย น่าจะปล่อยให้ตายๆ ไปซะ
“เหมือนเจ้าของแกไม่มีผิด หนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้น” ผมพูดขึ้นพลางอุ้มมันลงจากตัวแล้วเดินเข้าห้องนอนปิดประตูใส่หน้ามันอย่างแรง ปล่อยให้มันร้องเรียกผมอยู่หน้าห้องนั่นแหละ ตอนนี้ไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือสัตว์เลี้ยงของเธอ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมไม่เคยยอมให้เพื่อนรักของผมอย่างไอ้ดินเข้าคอนโดเลยสักครั้ง มันกับผมสนิทกันมาตั้งแต่เด็กและมันเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของผมกับโรส ความจริงก็มีพลอยใสลูกพี่ลูกน้องผมอีกคนที่รู้แต่ไม่ได้รู้เท่าไอ้ดินหรอก
ผมเองก็ยังไม่อยากให้ไอ้ดินรู้ว่ายังเก็บสัตว์เลี้ยงของเธอไว้ข้างกายตลอดเวลา เพราะผมยังลืมเธอไม่ได้...ไม่เคยลบออกไปจากสมองและหัวใจได้เลย
และที่สำคัญผมบอกไอ้ดินว่า เจ้าราม น่ะตายไปแล้ว เพราะผู้หญิงคนนั้นใจดำถึงขั้นทิ้งมันไว้ที่บ้านตัวเดียวเป็นหลายสัปดาห์อย่างไม่ไยดี ความรู้สึกมันคงไม่ต่างกับผมสักเท่าไหร่ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็เจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้นที่รู้ว่าถูกทอดทิ้ง
::::
“ธาม ดูนั่นซิ” เสียงเล็กของโรสเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาลูกแมวที่ร้องเมี้ยวๆ อยู่ข้างถังขยะ ผมรีบเข้าไปดึงร่างเล็กไว้ที่เธอจะเอื้อมมือไปจับลูกแมวนั่น
“โรส อย่าไปจับ เดี๋ยวมันกัด”
“ไม่กัดหรอก น้องยังตัวเล็กอยู่เลย” โรสหันมาจับมือผมออกแล้วหันไปอุ้มลูกแมวสีเทาแต้มขาวนิดหน่อยนั่นขึ้นมาสู่อ้อมกอด
“น่าสงสารจังเลย ไปอยู่กับโรสนะ”
“เอาจริงเหรอ” ผมหรี่ตามองคนตัวเล็กที่ยิ้มร่าลูบหัวลูกแมวอย่างเอ็นดู
“อืม ชื่ออะไรดีนะ ราม...รามดีไหม” โรสพยักหน้าให้เป็นการตอบรับ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองพลางทำท่าคิดไปด้วย แล้วทำตาโตขึ้นพร้อมกับหลุดชื่อที่โคตรจะเชยออกมาจนผมต้องทวนชื่อนั่นอีกรอบ
“ราม?”
“ก็โรสกะธาม ก็เป็น รามไง น่ารักดีออก” ผมหลุดยิ้มให้กับคำตอบของคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะเอื้อมมือไปโยกหัวทุยเล็กนั่นเบาๆ ด้วยความด้วยความเอ็นดู
::::