ตอนที่ 4 สัมภาษณ์/4
เขานึกขัน...มากกว่าจะรู้สึกอื่นใดเป็นพิเศษ
“อุ้ย” ฟางข้าวสะดุ้งเมื่อฝ่ามือร้ายกาจ เริ่มที่จะคืบคลานขึ้นมาตามชายกระโปรงตัวจิ๋ว ที่เนื้อผ้าของมันแทบจะดีดผึงร่นเข้า เมื่อเขาสะกิดเพียงหน่อย
“ตกใจหรือ” ริมฝีปากของเขาห่างจากริมฝีปากหล่อน ในระยะที่ยุงก็บินผ่านไม่ได้
ฟางข้าวหลับตาหนีอย่างไม่อาจควบคุม หล่อนรู้ว่าเขาไม่ชอบคนช่างขืน ช่างกลัว...แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า! หล่อนควบคุมตัวเองไม่ได้นี่!
“กลัวรึ” ถามนำ มือตาม...เหมือนจะเป็นวิสัยของเขา เรียวขางามหนีบแน่นเข้า เมื่อเขาสอดเสยฝ่ามือเข้าไปอย่างง่ายดาย
ปลายนิ้วของเขาถูกหนีบแน่น ห่างจากแพนตี้ตัวน้อยของเธอเพียงเฉียดฉิว หล่อนสัมผัสความร้อนผ่าวจากมันได้ นั่นยิ่งต้องหนีบแน่นเข้าให้มาก สัญชาตญาณมันบอกแบบนั้น ลืมไปเสียแล้วว่าตอนนี้ตัวเองมาทำหน้าที่อะไร
“อา...สาวน้อย รัดเก่งใช้ได้” เขาทำเสียงพร่าใส่ จนเธอตกใจเผลอปล่อยเรียวขา
“อ๊ะ!” แต่ก็ได้รับรู้ว่า การสัมผัสแบบจงใจ ตรงจุด...มันสุดแค่ไหน
“กางขาออก” เขาย้ำเสียงพร่าเชิงเร่งเร้า ใช้มืออีกข้างเกี่ยวเอวเธอขึ้นมาบนตัก กดจมูกโด่งคมลงไปบนแก้มเนียนใส ที่ทั้งหอมและนุ่ม จนเขาอดใจไม่ไหวที่จะสูดมันซ้ำๆ จนแก้มเธอเกือบช้ำไปหมด
เคราสากระคายทำเอาเธอรู้สึกปั่นป่วน จะว่าคันก็ใช่ จะว่าเคืองก็ไม่เชิง
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะ” พยายามวอนขอ แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงกลั้วหัวเราะในหุบเหวลึก แว่วมาจากลำคอแกร่ง เขาตลกมากนักหรือ เห็นคนอื่นต้องอับอายนั่น
“แล้วมาเพื่ออะไร”
ถามไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่กำลังกดนาบฝ่ามือไปยังแพนตี้ผ้าลื่น หลังจากที่หล่อนกางเรียวขาออกตามที่เขาสั่ง กระโปรงตัวจิ๋วร่นขึ้นมากองกันที่บั้นเอวอย่างง่ายดาย
“ถ้าไม่ให้ทำอย่างนี้” ฝ่ามือที่กดนาบนั้น เคลื่อนไหวเสียดสีขึ้นลงไปกับความเรียบลื่นของแพนตี้
ความรู้สึกแปลกใหม่ จุดขึ้นราวกับเปลวไฟในแสงเทียน แถมยังโบกพัดไหว ราวกับต้องลมเอื่อยๆ
ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มแน่น ความรู้สึกปั่นป่วนภายในกำลังบีบรัดตัวแน่น และว่างโหวงทันทีที่เขาปล่อยมือออกมาทันที แบบไม่ได้ให้ตั้งหลัก เหมือนถูกหนังยางดีดผึงเข้าที่ผิวหนัง ขณะปล่อยอีกข้างแบบรวดเร็ว
เจ็บใจนัก จงใจแกล้งกันนี่
“ถามก็ไม่ตอบ จะยังไงดีล่ะ” เขาทำเป็นยกหล่อนลงจากตัก วางไว้เหมือนหล่อนเป็นสิ่งของ นั่นยิ่งทำเอาแม่สาวเจ้าผู้ไม่เคยยอมใคร หน้าร้อนขึ้นมา
หล่อนไม่ได้เขินอาย...แต่กำลังนึกโกรธ โกรธที่เขากำลังย่ำยีศักดิ์ศรี
“ขอโทษค่ะ”
ศักดิ์ศรีแล้วอย่างไร
เธอมีด้วยหรือ สุดท้ายแล้ว...คนที่มีอำนาจเหนือกว่าก็ต้องเป็นฝ่ายชนะอยู่ดี ศักดิ์ศรีมันคือเรื่องเพ้อเจ้อ ที่หล่อนท่องมาทั้งชีวิตก็เท่านั้น
“พูดเป็นแต่คำเดียวซะด้วย”
สายตาคมสีน้ำตาลเข้มยังคงเรียบเฉย หลุบมองลงต่ำ ก่อนตวัดขึ้นมองใบหน้าแดงก่ำ ที่ปนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แสงเทียนที่สาดส่องเข้ามา ทำให้ใบหน้าของฟางข้าวดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
ดวงหน้ากลมดุจพระจันทร์ดวงเล็ก มีแก้มนิดหน่อย หากแต่เครื่องหน้าครบครัน จมูกโด่งปลายพุ่งที่พ่อให้มานั้น สมส่วนเสียจนไม่จำเป็นต้องเสริมเติมแต่ง
คิ้วโก่งดังคันศรนั่นด้วย ถึงเธอไม่เขียนมันก็เรียงตัวได้สัดส่วนตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว
“เอาให้ฉันดูหน่อย ตรงนั้นน่ะ”
เริ่มแล้ว...เขาเริ่มที่จะให้หล่อนเป็นฝ่ายปฏิบัติเองแล้ว
‘แกไม่เคยแบบเนี้ย แกจะปรนเปรอเขายังไง มีอะไรกับคนที่เขาซื้อเราเนี่ย เราไม่ได้นอนเฉยๆ นะเว้ย เราต้องทำทุกอย่าง’ นารีเคยเตือนหล่อนแล้ว รายนั้นออกจะเชี่ยวชาญและได้ลงเอยกับ sugar daddy สายฝอ.ของตัวเองไปเรียบร้อยอีกต่างหาก
ฟางข้าวมาเดินสายนี้ได้ก็เพราะเพื่อน แต่ต่างออกไปหน่อย ที่ต้องมาทำในประเทศที่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นที่ยอมรับสักเท่าไหร่ กฎหมายก็ไม่ได้รองรับด้วย
นั่นแหละ...ช่างหัวมัน
หล่อนไม่อยากที่จะไปใคร่ครวญอะไรที่ไร้ประโยชน์หรอก จะผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย กฎหมายก็ไม่เคยจะมาช่วยอะไรหล่อนได้ในสักครั้งที่หล่อนต้องการหรอก
“สัมภาษณ์คนหรือหุ่น ทื่อชะมัด” ฝ่ายนั้นเร่งเร้าด้วยทีท่าหงุดหงิด
หงุดหงิดเสียจนหล่อนจะหงุดหงิดตาม
“ค่ะ”