ตอนที่ 5 สำรวจตรวจตรา NC18+ /1
เรือนร่างเย้ายวนสมส่วนค่อยๆ เอนกายราบลงไปบนโซฟา ถ่างเรียวขาออกจากกันด้วยความขมขื่นใจยิ่ง หล่อนมองหน้าเขาไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปให้เขาพึงพอใจด้วย
‘ชีวิตมันก็ยากอย่างนี้อยู่แล้ว แกจะเรียกร้องอะไรไปมันก็เท่านั้น ชีวิตอย่างเราๆ มันไม่เคยมีอะไรง่ายดายได้หรอก!’
เสียงของน้าสาวผุดขึ้นมาในสมอง เสียงแหลมเล็กเสียดแทงมาตลอด 25 ปี ยังคงตามมาหลอกหลอน หากแต่ในตอนนี้หล่อนเชื่อแล้วว่า คำพูดของน้าก็ไม่ได้ไร้ค่าไปเสียทุกประโยค
ขนาดจะมาขายตัวแท้ๆ ยังไม่ง่ายดายเลย
“ยังไม่เห็น” สุ้มเสียงเชิงยังหงุดหงิด ทำเอาหล่อนต้องเหลือบสายตาขึ้นมองเขา แม้ใบหน้าคมคายจะนิ่งขรึม หากแต่หล่อนก็แอบเห็น...
ว่าดวงตาของเขากำลังหัวเราะเยาะอยู่!
มือบางป่ายเปะปะไปวางแถวแพนตี้สีชมพูอ่อน นึกอยากตีตัวเองเหมือนกันว่าใส่สีนี้มาทำไม ก็ใครจะไปรู้ว่าเขาจะโรคจิตขนาดนี้เล่า!
หล่อนดึงมันขึ้นจากด้านข้างแหวกออกแบบเงอะงะ ทำตัวไม่ถูกไปหมด เพราะไม่เคยทำมาก่อน
นั่นแหละคือสิ่งที่ปีศาจอยากเห็นยิ่งสิ่งใด เห็นว่าเหยื่อผู้มีแววตาดื้อรั้น ได้พ่ายแพ้ราบคาบ
“ดกดี”
“ฮะ!” ตกใจจนต้องหุบแข้งขา พูดมาได้ไม่อายปาก เผลอทำสายตาด่าทอใส่เขาไปแล้วเสียด้วย
“ขอโทษค่ะ”
“คำยอดฮิตติดปากสิน่า” ประชดประชันเข้าใส่ แต่ก็เหมือนไม่ได้ถือสา ปิศาจร้ายดึงสะโพกเธอเข้าไปหาตัว ดันเรียวขาที่หุบเข้าให้ออกจากกัน
“ยังเห็นไม่หมดเลย” นาบฝ่ามือลงไปยังใจกลางร่างสาว ฝ่ามือร้อนผ่าวแผดเผาจุดชนวนให้ร่างอรชรเกือบไหม้
“เยิ้มเชียว” เขาว่าทั้งๆ ที่ยังกดฝ่ามือเสียดสีขึ้นลงเหมือนที่ทำในคราแรก แค่เปลี่ยนทิศทางใหม่
ฝ่ามือบางกำแน่นเข้าตามอารมณ์เร่งเร้าที่ถูกจุด หล่อนเกลียดความรู้สึกนี้นัก มันช่างเป็นความรู้สึกอันน่ารังเกียจที่แสนจะหฤหรรษ์
กัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น เพื่อไม่ให้ลำคอส่งเสียงประหลาดอะไรออกมา
“ไม่เคยช่วยตัวเองเลยใช่มั้ย” น้ำเสียงทุ้มพร่าเริ่มสั่น แพนตี้สีชมพูอ่อนกำลังถูกทำให้พ้นสะโพก ลดหลั่นลงมาตามเรียวขา และกองที่หน้าแข้งอย่างรวดเร็ว
“อย่านะ” หล่อนผวาตามด้วยแววตาตื่นตระหนก หากแต่มีหรือที่ปิศาจร้ายจะสนใจ
ท้องนิ้วกลางเรียวยาวแตะต้องลงไปยังความชุ่มฉ่ำ ที่มีน้ำหวานเอ่อท้นรินไหล ก่อนจะเริ่มกรีดกรายขึ้นลงเป็นจังหวะ สะกิดเจ้าเกสรสีชมพูปลั่ง ราวกับไม่เคยถูกเสียดสีหรือแตะต้องมาก่อน
เขาทักทายมันอย่างแผ่วเบา ใจเย็นเสียจนสะโพกผายต้องยกขึ้นลงแบบทานทนไม่ไหว
นี่มันเรื่องน่าอับอายอะไรนี่
ค็อกเทลที่ดื่มไปจนหมดแก้วนั้น เริ่มออกฤทธิ์ไปในทางกระตุ้นอารมณ์ดิบลึกของมนุษย์ จนหูตาหล่อนพร่ามัวไปหมด ไอ้สะโพกที่ยกขึ้นลงเป็นจังหวะราวกับซักซ้อมมาอย่างดีกับเขานี่ก็ด้วย
เกลียดนัก
“ครางออกมา”
ท้องนิ้วเรียวยาวแตะต้องรัวเร็วบริเวณเกสรที่เริ่มแดงปลั่ง
“อ๊ะ...” ฟางข้าวขัดคำสั่งด้วยการเม้มริมฝีปากเพื่อปิดกั้นเสียงน่ารังเกียจพวกนั้น
“ฉันต้องการฟังเสียงเธอ” ขณะเดียวกันนั้นท้องนิ้วร้ายก็ผลุบหายเข้าไปในช่องแคบที่ไม่เคยมีใครได้กล้ำกรายผ่าน
การเสียดสีภายในปลุกใจเธอให้สั่นเข้า ความรู้สึกเหมือนภายในกำลังบีบรัดทำเอาเธอหายใจติดขัด
“อย่าค่ะ...” สุ้มเสียงสั่นพร่ากำลังทักท้วงเขา ด้วยความแว่วหวาน ปิศาจยิ้มออกมาอย่างพึงใจ พร้อมเคลื่อนไหวหนักหน่วงขึ้น
ปลายนิ้วอุ่นๆ ของเขากำลังชุ่มฉ่ำ แฉะชื้นไปด้วยน้ำหวานอุ่นๆ ที่โอบล้อม กอดรัดหนักหน่วงถี่แน่น บ่งบอกความแข็งแรงของภายใน
ลำปล้องที่ท้องนิ้วสัมผัสได้ ทำเอาใจเขาพร่าไปหมด เสียวปลาบเข้าที่ส่วนปลายหัวหยัก ที่อัดตัวลำพองแน่นอยู่ใน บ๊อกเซอร์ตัวใน
“อา...” เขาครางออกมาในที่สุด ก่อนหยุดท้องนิ้วเมื่อภายในรัดถี่แน่น กระตุกโอบรัด...ก่อนผ่อนคลายลงราวกับท้องฟ้าสีคราม ภายหลังจากที่พายุพัดโหมได้สงบ
“ตอดดีซะด้วย”
คนหยาบคาย!ทำได้เพียงบริภาษในใจทั้งๆ ที่หัวใจเต้นเร่า หล่อนรู้เลยว่าตัวเองกำลังเกลียดเขา เกลียดสายตาแห่งชัยชนะที่กำลังจ้องมองมาที่เธออยู่นี่
“เคยจูบมั้ย” เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ จดจ้องริมฝีปากจิ้มลิ้มที่น่าจะโอบอุ้มบางอย่างได้ดี แต่หล่อนเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของเขา
“พอจะเคยบ้าง” ตอบไปอย่างสัตย์ซื่อ ฟางข้าวเคยมีแฟนตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่พอจะให้แฟนหนุ่มได้ ก็มีแค่จับมือ จูบกอด แต่เรื่องหลับนอนเธอบอกชัดว่ายังไม่พร้อม
ถ้าแฟนเก่าสองสามคนรู้เข้าว่าเธอมาทำอะไรแบบนี้ ก็อาจจะก่นด่าตามหลัง แน่สิ...ทำตัวเหมือนมีคุณค่า แต่ที่แท้ก็แค่มีราคา ผันแปรเหมือนสินค้าชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น
“เริ่มสิ จูบฉัน” ว่าพร้อมขยับออกห่าง เอนกายพิงหลังไปยังโซฟา