Chapter - 01 / 4
จดหมายสีขาวฉบับหนึ่งถูกยื่นมาให้ฉัน
"เปิดเองสิ พ่อฝากให้เรานี่"
แม่พยักพเยิดหน้าให้ฉันเปิดจดหมายฉบับนั้นอ่านเอง
มือเรียวเลยค่อย ๆ แกะผนึกที่ปิดหน้าจดหมายออกช้า ๆ ในใจลึก ๆ คิดถึงคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้จนอยากปล่อยโฮออกมาแต่เหมือนต้องกักเก็บไว้เพราะไม่อยากอ่อนแอให้แม่พะว้าพะวง
เมื่อเปิดซองได้ฉันก็หยิบกระดาษที่มีเนื้อในของจดหมายออกมาเปิดอ่าน
ในนั้นมีเนื้อความยาวอยู่หลายบรรทัด แต่พออ่านมาถึงเกือบท้าย ๆ ก็ต้องตกใจและรู้สึกขัดใจกับคำสั่งเสียนั้นของผู้เป็นพ่อ
"นี่มันอะไรกันคะ?"
เสียงฉันติดขุ่น ออกไปทางโทนเสียงแข็งด้วยความไม่ชอบใจ
"พ่อเขาคงเห็นว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหนู"
ฉันเงยหน้าจากจดหมายที่ถืออยู่มองผู้เป็นแม่ด้วยแววตาไม่อาจอธิบายได้
"แม่รู้มาก่อนใช่ไหมว่าในนี้พ่อเขียนว่าอะไร"
น้ำเสียงฉันออกแนวก้าวร้าวเพราะสภาพอารมณ์ที่รวนไปหมด
"ทำไมแม่ไม่ตอบ" ถามย้ำอีกครั้งเพราะคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอาแต่นิ่งเงียบ
"แม่คะ"
"เออ! ฉันรู้ว่าพ่อแกเขียนจดหมายคลุมถุงชนนี้ขึ้นมา และฉันก็คิดว่ามันดีสำหรับแกในอนาคต หรือหมายถึงในอีกสองเดือนข้างหน้านี้!"
เหมือนแม่เองก็สติหลุด ท่านขึ้นเสียงใส่ฉันก่อนจะพรูลมหายใจออกมาแรง ๆ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
มือที่ยังถือจดหมายอยู่นั้นกำเข้าหากันแน่นจนมันยับยู่ยี่
"พ่อบอกว่าถ้าฝั่งนั้นยังโสด" ฉันพึมพำทวนคำสั่งเสียในจดหมาย
"แกต้องทำตามที่พ่อแกสั่งเสียไว้"
แต่แม่กลับหันหน้ามามองฉันตาดุพร้อมลั่นวาจากึ่งบังคับ
"แต่ต๊อปไม่เคยรู้จักเขา"
ไม่สิ ต่อให้รู้จักหรือไม่รู้จักนั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะยอมทำตามคำขอสุดท้ายของพ่อ
"มันไม่สำคัญว่าแกจะรู้จักคนที่พ่อแกบอกไว้ในจดหมายหรือเปล่า แต่มันสำคัญตรงที่แกต้องแต่งงานกับเขา!"
แม่เน้นน้ำเสียงหนักแน่นตรงคำว่า 'แต่งงาน' จนฉันรู้สึกว่าแม่มีพิรุธ
"หนูไม่อยากเป็นลูกอกตัญญูใช่ไหม"
น้ำเสียงแม่อ่อนลง มือสั่นเทาเอื้อมมาทัดเส้นผมฉันเข้าที่หลังใบหูอย่างที่เคยชอบทำเวลาท่านเอ็นดูฉัน
"หนูเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยกู้คืนบ้านพฤกษาสกุลนะลูก"
คิ้วฉันขมวดมุ่นเมื่อคำที่หลุดออกมาจากปากแม่มันฟังดูแปลก ๆ
"กู้คืนบ้านหลังนี้?" ถามท่านกลับไปในสิ่งที่ได้ยิน
"..." คนถูกถามรีบชักมือที่ลูบผมฉันอยู่ออกไป
ท่านเบี่ยงตัวนั่งหันหลังให้ฉันราวไม่อยากสู้หน้า
"แม่หมายความว่ายังไงคะ การแต่งงานที่พ่อเขียนไว้มันเกี่ยวอะไรกับบ้านหลังนี้"
พยายามสะกิดอีกคนที่หันหลังให้กลับมาเล่าความจริงให้ฟัง
แต่ปฏิกิริยาที่ได้คือแผ่นหลังแม่สั่นพร้อมเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
"แม่ขอโทษ แม่น่าจะเป็นคนที่ตายแทนที่จะเป็นพ่อของแก"
แม่หันกลับมากอดฉันแน่นแล้วปล่อยโฮออกมา
ไหล่ฉันเปียกชื้นเพราะน้ำตาของท่านที่หลั่งไหลไม่ขาดสาย
วินาทีนี้ฉันทำอะไรไม่ถูกนอกจากกอดท่านตอบแล้วลูบแผ่นหลังที่สั่นนั้นเบา ๆ
"แม่ใจเย็น ๆ นะคะ มีอะไรที่ต๊อปควรรู้อีกไหม"
ฉันว่าแม่กำลังมีความลับ และความลับนั้นต้องสำคัญมากจนแม่ถึงกับร้องไห้ออกมาต่อหน้าฉันขนาดนี้
นี่มันเรื่องบ้าอะไร!
ใครบอกว่าคราวซวย คราวเคราะห์มีแต่ช่วงเบญจเพสที่จะเกิดอย่างรุนแรง
มาดูยัยสต๊อปตอนนี้สิ อายุกำลังจะย่างยี่สิบสามแต่เหมือนกำลังฟาดเคราะห์หนักเพราะแม่ดันถูกคนชั่วโกงเอาบริษัทที่พ่อปั้นมันมากับมือไป
แม่รู้ว่าบริษัทมีความสำคัญใช้ต่อยอดชีวิตพวกเรา ท่านเลยยอมแลกด้วยการเอาบ้านไปจำนองไว้กับเศรษฐีท่านหนึ่ง
ใครเลยจะไปรู้ว่าไอ้เงินที่แม่ใช้บ้านหลังนี้กู้ค้ำมามันมีเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น!
ด้วยความที่แม่เชื่อใจคนสนิทที่รู้จักมักจี่กันมานมนานท่านเลยไม่เอะใจอะไร
เขาพาไปกู้เงินใครที่ไหนแม่ก็ไปโดยที่ไม่มาปรึกษาฉันสักคำ
สุดท้ายคนที่โกงบริษัทเรากับคนที่ปล่อยเงินกู้คือพวกเดียวกัน
ทำให้ตอนนี้ทั้งบ้านและบริษัทของฉันกลายเป็นของคนอื่นไปหมดแล้ว!
"ทำไมแม่ไม่ปรึกษาต๊อป"
ฉันเป็นลูกนะ ลูกแท้ ๆ คนเดียวที่ท่านเหลืออยู่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมแม่ยังนิ่งนอนใจปิดบังฉันได้
"แม่ไม่อยากให้เราตำหนิแม่"
ได้แต่ถอนหายใจออกมายาว ๆ กับความคิดของคนที่เบ่งฉันออกมา
"แม่ไม่ได้ติดพนันใช่ไหมคะ"
แม้จะเป็นคำถามที่ฟังดูไม่เหมาะไม่ควรแต่ฉันก็เลือกถามออกไปตรง ๆ
"แม่..."
หลบสายตาแบบนี้แสดงว่าต้องมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่ ๆ
แม่บริหารงานไม่เก่งเหมือนพ่อ ทำให้ตลอดสามปีที่พ่อเสียไปมีคนสนิทพ่อที่เป็นคนน่าเชื่อถือคอยดูแลบริษัทให้มาโดยตลอด
แต่จู่ ๆ ลูกชายของคนคน นั้นก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ได้เข้ามาทำงานในหน้าที่สำคัญ ๆ ข้ามหน้าข้ามตาใครหลายคนที่เป็นคนเก่าคนแก่
แม่ฉันเข้าประชุมทุกครั้งแต่ด้วยความที่ท่านเองไม่เก่งเรื่องบริหารและไม่ค่อยรู้งานเกี่ยวกับการเล่นหุ้นเลยทำให้เชื่อใจคุณประจักษ์ที่เป็นคนสนิทเก่าแก่ของพ่อและลูกชายเขา
สุดท้ายก็ถูกปลอมลายเซ็นขายบริษัทของพฤกษาสกุลให้ชาวต่างชาติที่จ้องจะหุบบริษัทของพ่อมาตลอด
ก็เข้าใจแหละว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่ แม่เลยไม่อยากบอกฉันเพราะฉันเองก็ผิดที่ไม่เข้าไปศึกษางานของบริษัทสักที
"เราไปแจ้งความกันเถอะค่ะ"
ในเมื่อแม่รู้ตัวว่าถูกปลอมลายเซ็นเราก็แค่ไปแจ้งความให้ตำรวจช่วยอีกแรง
"แม่เคยไปแล้ว แต่เราไม่มีหลักฐานว่าถูกปลอมแปลงเอกสาร"
รู้สึกจุกไปทั้งอก
ฉันจะหาทางออกนี้ยังไงดี..!
"แม่เอาบ้านนี้ไปกู้มานานแค่ไหนแล้วคะ"
มันต้องมีทางออกสิ ฉันจะลองไปเจรจาต่อรองเรื่องคืนเงินที่กู้มาดูเผื่อฝั่งนั้นจะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่
"มันไม่มีประโยชน์แล้วลูก เงินสิบล้านเราหามาคืนเขาในสามเดือนไม่ทันหรอก"
"สิบล้าน!"
ได้ยินตัวเลขที่แม่หลุดพูดออกมาถึงกับหัวใจสลาย
ใช่อยู่ว่าบ้านหลังนี้ใหญ่ราวคฤหาสน์ ราคาแค่สิบล้านถ้ารวมเฟอร์นิเจอร์เข้าไปก็คุ้มแสนคุ้มแล้ว