Chapter - 01 / 3
"แล้วที่พี่เห็นด้วยกับเอมเรื่องไหนคะ" ฉันเปิดประเด็นถามคนที่อายุเยอะที่สุดที่เรียกว่าสนิทกันในระดับหนึ่งไม่ต่างจากชะเอม
"ก็ที่น้องเอมพูดเลยค่ะ คนเรานะคะตอนอยู่ใกล้กันไม่ค่อยพูดไม่ค่อยบอกหรอกค่ะว่ารู้สึกแบบไหนเพราะคิดว่ายังไงก็อยู่ใกล้กันเห็นกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดวันไหนที่ตัวจะห่าง วันนั้นแหละค่ะ เขาจะยอมพูดเปิดใจทุกอย่างเพื่อยื้อหรือรั้งอีกคนไว้ค่ะ"
"แหม... เหมือนผู้เชี่ยวชาญเลยนะคะ"
"อ้าว! พี่แฟงก็สวยนะคะ เคยผ่านเรื่องบอกรัก ขอคบมานับไม่ถ้วนค่ะ"
นั่งมองคนสองคนถกกันไปมาเงียบ ๆ ในหัวก็คิดตามสิ่งที่พี่ฟักแฟงพูด
หรือว่าพี่นทีเองก็รู้สึกมากกว่าพี่น้องกับฉันมานานแล้วนะ เพราะเมื่อคืนพี่เขาก็บอกอยู่ว่าเขาแสดงออกมากกว่าพี่น้องมาโดยตลอด เป็นฉันเองที่คิดว่าเขาดีกับฉันเพราะเห็นเป็นน้องสาว
"ฮันแน่..! นี่แอบคิดถึงคนอยู่ไกลอยู่ใช่ไหมคะ"
"พี่แฟงอะ!"
รีบยกสองมองปิดหน้าตัวเองที่ตอนนี้คงแดงก่ำไปหมดแล้ว
"ทีนี้สบายใจหรือยังว่าคุณพี่นทีที่แอบปลื้มมานานเขาเองก็มีใจให้แกเหมือนกัน"
ชะเอมทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อฉัน นิ้วเรียว ๆ จิ้ม ๆ ที่แก้มแดงระเรื่อฉันสองสามที
"แบบนี้แสดงว่าน้องสต๊อปใกล้จะสละโสดแล้วใช่ไหมคะ" พี่ฟักแฟงทำตาวิ้ง ๆ เป็นประกายดีใจราวกับฉันกำลังจะแต่งงาน
"สละโสดที่มีคนขอคบอาจจะใช่มั้งคะ"
อยู่กับสองคนนี้แล้วมันสบายใจน่ะเลยไม่ต้องมาแอ๊บแกล้งหน่อมแน้มอะไร
"สละโสดของพี่คือแต่งงานค่ะ"
"บ้า! พี่แฟงคิดอะไรไปไกลขนาดนั้นคะ"
"ปากว่าพี่เขาบ้า ไม่ดูหนังหน้าตัวเองเลยว่าแดงลามไปทั้งตัวแล้ว โอ๊ยเพื่อนฉันจะสมหวังแล้วโว้ย!"
รีบมองขวางยัยชะเอมที่ล้อแล้วล้ออีก
อย่าให้ถึงทีแกนะ ฉันจะล้อจนหน้าแดงเป็นลมไปเลย!
Rrr...
เสียงมือถือฉันดังขึ้นทำลายบรรยากาศครึกครื้นที่ถูกทั้งเพื่อนและพี่ล้อ
"ค่ะแม่"
พอเห็นว่าเป็นใครโทร.มาเลยรีบรับสาย
[แม่มีเรื่องด่วนจะคุยด้วย]
หางตาฉันกระตุกยิบ ๆ ยังไงไม่รู้
"อีกสักสองชั่วโมงได้ไหมคะ" เพราะสัญญาว่าจะมาช่วยงานยัยเอมแล้วไง เห็นเพื่อนบอกงานเร่งด้วย
[ไม่ได้ยินหรือไง แม่บอกว่าเรื่องด่วน รีบกลับมาเดี๋ยวนีั!]
และแล้วสัญญาณก็ตัดไปเมื่อแม่สั่งเสียงดังฟังชัดเรียบร้อยแล้ว
"มีไรแก" ชะเอมสะกิดถาม
ฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะบอกเพื่อน
"วันนี้คงอยู่ช่วยงานแกไม่ได้แล้วนะ" รู้สึกผิดจริง ๆ อุตส่าห์รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว
"ซีเรียสไรของแก ฉันมีพี่ฟักแฟงอยู่ทั้งคน ถ้ามีธุระด่วนก็ไปทำเถอะ" ชะเอมยิ้มสวยมาให้
"ถ้าแกไม่ไหวโทร.หาฉันนะ"
"ได้ ๆ แกรีบกลับเถอะ ฟังจากน้ำเสียงแม่แกแล้วน่าจะเรื่องด่วนมาก"
ดูสิขนาดไม่ได้เปิดสปีกเกอร์โฟนเพื่อนฉันที่นั่งใกล้ ๆ ยังได้ยินแม่พูดเลย
"ไว้เจอกันนะแก ต๊อปไปก่อนนะพี่แฟง"
"จ้า ไม่ต้องห่วงน้องเอมเลย พี่แฟงมือพันกันแน่นอนค่ะ"
พี่ฟักแฟงแอบทำท่านินทาทั้ง ๆ ที่อีกคนก็อยู่ใกล้จนได้ยินทุกอย่าง
"แบบนี้ต้องขอโบนัสเยอะ ๆ นะคะ"
แซวเสร็จก็โบกมือลาทั้งสองคน
ทำไมเสียงแม่ฟังดูเครียด ๆ และฉันเองก็มีเซนส์บางอย่างที่บอกว่าไม่ดีต่อตัวฉันเองแน่นอน
บ้านพฤกษาสกุล
ใช้เวลาขับรถมาถึงบ้านไม่ถึงยี่สิบนาทีเพราะช่วงสาย ๆ รถไม่ค่อยติด
"มาแล้วเหรอ"
บนโต๊ะที่แม่นั่งอยู่มีเอกสารมากมายกองอยู่ ข้าง ๆ กันมีอัลบั้มรูปครอบครัววางอยู่ด้วย
"แม่คิดถึงพ่ออีกแล้วล่ะสิ"
ฉันเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ผู้เป็นแม่ โอบกอดท่านเพราะเห็นสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่เวลามองไปที่อัลบั้มรูปนั้น
"พ่อเราจากไปกี่ปีแล้วนะลูก"
แม่ผละฉันออกจากอ้อมกอด มือที่เหี่ยวย่นตามวัยสี่สิบปลาย ๆ ลูบกรอบหน้าฉันอย่างแผ่วเบา
"สามปีค่ะ" ฉันตอบท่าน
พ่อฉันป่วยเป็นโรคร้าย เมื่อสามปีก่อนท่านทนความเจ็บปวดของโรคนั้นไม่ไหวเลยทิ้งฉันกับแม่ไว้แค่สองคน
"งั้นอีกสองเดือนก็จะครบกำหนดเปิดจดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อสั่งเสียไว้แล้วใช่ไหม"
ฉันพยักหน้าเพราะจำสิ่งที่พ่อทิ้งไว้ก่อนตายได้
การจากไปของพ่อเป็นทั้งเรื่องร้ายแรงของฉันกับแม่ แต่ในความร้าย ๆ นี้ฉันกับแม่ยังโชคดีที่เราสามคนยังได้นอนคุยกันหนึ่งคืน
ถึงแม้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ต้องตื่นมาพบกับความเจ็บปวด แต่ฉันกับแม่ต่างคิดเหมือนกันว่าคืนนั้นเป็นคืนแห่งความสุขที่เราสามคนได้นอนบนเตียงกว้างคุยเล่นคุยสนุกกันอย่างอบอุ่นเหมือนสมัยฉันยังเด็ก
ก่อนพ่อจะสิ้นใจท่านทิ้งพินัยกรรมไว้สองฉบับ ของแม่ฉันฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการจัดสรรปันส่วนทรัพย์สินของตระกูลเรา
ส่วนอีกฉบับเป็นจดหมายที่ปิดผนึกและลงคำสั่งไว้ว่าเมื่อครบรอบวันเกิดอายุยี่สิบสามของฉันเมื่อไหร่ค่อยเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้น
และใช่... ในอีกสองเดือนข้างหน้าคือวันที่ว่านั้น