Chapter - 01 / 5
"เราเอาเงินเก็บมารวมกันดูไหมคะ ขายรถ ขายเครื่องเพชร ขายอะไรก็ได้ที่มีอยู่เผื่อจะได้เงินก้อนนั้นมาไถ่..."
"ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!"
"แม่หมายความว่ายังไงคะ" เสียงฉันสั่น รู้สึกอยากจะวูบลงไปทุกขณะที่เห็นน้ำตาแม่รื้นออกมาอีกระลอก"แม่ใช้ทุกอย่างที่เป็นสินทรัพย์ของบ้านพฤกษาสกุลค้ำเงินก้อนนั้น ไม่มีใครมีสิทธิ์นำข้าวของที่อยู่ในบ้านหลังนี้ออกไปแปรเป็นเงินได้แม้แต่เก้าอี้เน่า ๆ สักตัว"
เหมือนหยุดหายใจเมื่อฟังสิ่งที่แม่อธิบายมาจนหมด
ถ้าตรงหน้าฉันไม่ได้มีศักดิ์เป็นถึงแม่ผูัให้กำเนิดฉันคงอาละวาดบ้านแตกไปแล้วกับความคิด... แบบนั้นของท่านที่เอาทุกอย่างไปกู้เงินก้อนนั้นมา
รู้ไหมแค่รถยุโรปในบ้านเราสามคัน เครื่องเพชรของแม่ มรดกตกทอดของรุ่นคุณปู่คุณย่าก็หลายล้านแล้ว
นี่ไม่ได้มาคุยโวโอ้อวดว่าบ้านฉันรวย แต่ฉันกำลังแจงว่าสิ่งที่แม่ทำมันดูโง่มาก
เหมือนแม่ตั้งใจให้ถูกหลอกยังไงก็ไม่รู้กับมูลค่าแค่สิบล้านที่ได้มามันไม่คุ้มเสีย
"งั้นต๊อปจะไปต่อรองกับเขาดู แม่เอาเบอร์ติดต่อเขามา ต๊อปจะ..."
"ไม่มีประโยชน์หรอก ทางเดียวที่แกจะทำได้คือทำตามคำสั่งเสียในจดหมายนั้นซะ"
ฉันถูกขัดจังหวะด้วยเรื่องในจดหมาย แววตาที่แม่มองมาท่านดูจริงจังจนเหมือนกดดันเอาคำตอบจากฉัน
"ใครเขาจะให้สินสอดเราตั้งสิบล้านคะ"
ฉันก็แค่ลูกคุณหนูที่กำลังตกอับไม่ได้วิเศษวิโสเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ค่าตัวหลักสิบล้านกับคนที่แทบจะเรียกแปลกหน้ากันใครจะยอมจ่าย
"พ่อเรากับคนที่บ้านนั้นเคยมีบุญคุณต่อกัน แค่สิบล้านคนบ้านนั้นเขายอมจ่ายอยู่แล้ว"
แม่พูดเหมือนมันง่าย
นั่นมันความสัมพันธ์ตั้งแต่พ่อมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้วมีเพียงจดหมายฉบับนี้ฉบับเดียวที่เป็นลายมือของพ่อใครเขาจะเชื่อ
"แกไม่ต้องถามอะไรมาก แม่โทร.ไปคุยเรื่องนี้กับคนบ้านนั้นแล้ว เขายินดีที่จะให้ลูกกับลูกชายเขาเจอกัน"
ฟังแล้วก็เหมือนกำลังถูกจัดฉาก
เหมือนกับว่าเรื่องหนี้สินนี้ไม่มีอยู่จริง แต่สุดท้ายมันก็เป็นความจริงเมื่อแม่ยื่นเอกสารเงินกู้มาให้ฉันดู
คำว่า 'แต่ง' กับ 'ไม่แต่ง' มันกำลังตีกันในหัวจนฉันต้องเงยหน้ามองฟ้าแล้วหลับตาลงครุ่นคิด
'ถ้าพ่ออยู่เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น'
'ถ้าพ่ออยู่ คงช่วยหนูหาทางออกได้มากกว่านี้'
ได้แต่คิดถึงและร้องหาคนที่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว
"สต๊อป"
เสียงแม่เรียกทำให้ฉันหลุดออกจากโหมดโลกส่วนตัว หันมาสนใจผู้หญิงอีกคนที่นั่งมองมาที่ฉันอย่างมีความหวัง
"พรุ่งนี้ต๊อปจะไปเจอเขาค่ะ"
ความกตัญญูต้องมาก่อน
แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จัก การไปเจอเขาที่ฉันหมายถึงคือการเจรจา
"จริงนะ หนูไม่ได้หลอกให้แม่ดีใจเล่นใช่ไหมลูก"
ท่าทางแม่เปลี่ยนไปราวคนละคน
ใบหน้าที่เศร้าหมองในตอนแรกเริ่มมีเลือดฝาดและรอยยิ้ม
"แม่ส่งเบอร์โทร.และชื่อเขามาที่เครื่องต๊อปแล้วกันค่ะ"
อ้อมกอดที่ทุกครั้งอบอุ่น บัดนี้ฉันกลับรู้สึกว่ามันเย็นยะเยือกจนสุดขั้วหัวใจ
จะบอกว่าโกรธแม่ที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้คนเดียวก็ไม่ได้ ฉันเองก็มีส่วนผิดที่ไม่เอาดี ไม่เอาการเอางานสานต่อพ่อตัวเอง
แต่ถ้าบอกว่าไม่โกรธฉันก็ดูปลอมกับหัวใจตัวเองเหมือนกัน
"ขอบใจนะต๊อป ถ้าได้ค่าสินสอดมาแล้วแม่จะรีบไปไถ่บ้านเรากลับคืนมา"
เจ็บทุกครั้งที่ได้ยินว่าหัวใจฉันจะไม่เป็นอิสระอีกต่อไป
ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ดูหรูหรามีแต่ระดับไฮโซไฮซ้อเดินเข้าเดินออก
อย่างที่ทุกคนรู้นั่นแหละ
เมื่อสองวันก่อนหลังจากฉันรู้ความจริงว่าแม่เอาบ้านไปค้ำเงินกู้มาสิบล้าน และตัวแปรที่จะทำให้เราได้บ้านหลังนั้นคืนคือการที่ฉันต้องได้ค่าสินสอดจากคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก
พอแม่ส่งเบอร์โทร ส่งชื่อผู้ชายคนนั้นมาให้ฉันก็รีบติดต่อเขาทันที
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะงานยุ่งหรือเล่นตัวไม่รู้ พอฉันบอกว่าชื่อ สโรวิตา พฤกษาสกุล หมอนั่นก็ตอบทันทีเลยว่า คิวเต็ม!
และเมื่อคืนตอนเที่ยงคืนหน่อย ๆ ไลน์ฉันเด้งเตือนว่ามีคนแอดเพื่อนผ่านเบอร์โทรศัพท์ ตามมาด้วยข้อความแชตที่เด้งขึ้นมา ทั้งพิกัดร้านรวมถึงเวลานัดแนะที่แทบจะไม่ให้ฉันตั้งตัว
"ใจเย็น ๆ ไว้ยัยต๊อป"
เพราะยังโมโหนัดที่รวดเร็วเอาแต่ใจของอีกคนอยู่เลยยืนทำใจอยู่หน้าร้านอาหารเป็นนานสองนาน
รวบรวมสติและกดความกรุ่นโกรธเรื่องเมื่อคืนนั้นไว้เพื่อก้าวเท้าเรียวยาวบนส้นสูงสามนิ้วเข้าไปยังร้านตรงหน้า
"สวัสดีค่ะคุณลูกค้า จองโต๊ะไว้หรือยังคะ"
พนักงานคนสวยแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าแบบจัดเต็มแต่ดูน่ารักถามขึ้น
รีบคว้ามือถือขึ้นมาเปิดดูว่าอีกคนได้บอกหรือเปล่าว่าต้องให้ทำยังไงก่อนเงยหน้าตอบ
"ห้อง VIP GOLD ค่ะ"
"ได้ค่ะ เชิญทางนี้นะคะ"
เห็นสีหน้าตกใจตาโตของพนักงานคนเมื่อกี้ตอนที่ฉันบอกเรื่องห้องก็รู้ในทันทีเลยว่าต้องเป็นระดับไม่ธรรมดาแน่ ๆ