EP : 7
“ไปทำอะไรให้กินหน่อย” อีตาคุณพอร์ชพูดขึ้นในช่วงเย็นหลังจากที่เขานั่งเล่นโทรศัพท์แล้วปล่อยให้ฉันจัดการกับข้าวของเครื่องใช้และสำรวจห้องไปพลาง ๆ
“คะ? ให้ฉันทำเหรอ” ฉันเงยหน้าถามเขาแล้วก็ชี้มาที่ตัวเอง
“อืม” เขาตอบแต่สายตาก็ยังจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ ไร้มารยาทมากค่ะ อยากจะจับมานั่งสอนมารยาทในการพูดคุยเบื้องต้น
“คุณอยากกินอะไรคะฉันจะทำให้” ฉันถามเขาต่อ ชีวิตฉันทำเป็นแค่อาหารง่าย ๆ เช่น บะหมี่ ไข่เจียว ประมาณนี้ ไม่ได้เวอร์ขนาดทำอย่างอื่นไม่เป็นนะคะ อย่างอื่นก็ทำได้แต่มันกินไม่ได้
“เปลี่ยนสรรพนามของเธอใหม่หน่อย ระคายหู” เขาบอกฉันแล้วเงยมองด้วยหางตา แต่ฉันก็ไม่ได้ใช้สรรพนามน่าเกลียดอะไรนะ หรือพูดแทนตัวว่าฉันมันแข็งไป
“คุณอยากรับประทานอะไรคะดิฉันจะทำให้ทาน” ฉันเดินไปถามเขาใกล้ ๆ
“น้ำหวาน” เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วเรียกชื่อฉันเสียงดุทันที
“แหะ ๆ โอเคค่ะ คุณพอร์ชอยากทานอะไรคะเดี๋ยวหวานทำให้ทานค่ะ” ฉันถามกลับดี ๆ แล้วก็ยิ้มแฉ่งให้ ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยเครียดหรือเกร็งแล้วเพราะถึงฉันจะต้องมาเป็นเด็กของเขาแต่อยู่กันสองต่อสองมาตั้งหลายชั่วโมงเขาก็ไม่ได้มีท่าทางที่จะลวนลามอะไรฉัน
“ทำอะไรเป็นบ้าง”
“มาม่า บะหมี่ ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม พริกน้ำปลาค่ะ ทำเป็นประมาณนี้อร่อยพอใช้ได้เลยนะคะ” ฉันไล่เรียงเมนูที่ฉันทำเป็นให้คุณพอร์ชฟังอย่างตั้งใจ แต่พอพูดจบเขากลับเป่าปากเบา ๆ แล้วก็หลับตาลงเหมือนเอือมระอา
เออก็น้องหวานทำเป็นแค่นี้นี่พี่ชาย เมนูโปรดฉันทั้งนั้นเลยนะ ทำง่ายกินง่าย ไม่เห็นว่าชีวิตจะต้องมีความจำเป็นที่จะต้องไปทำอาหารยาก ๆ กินเลย สุดท้ายกินแล้วก็อึ๊ออกมาเหมือนกัน
“ไปแต่งตัวไปเดี๋ยวไปกินข้าวข้างนอก” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเซ็ง
“ชุดนี้ไม่ได้เหรอคะหวานว่ามันก็สวยดี” ฉันบอกเขาแล้วก็ยิ้ม เสื้อตัวนี้ฉันเพิ่งซื้อมาใหม่จาก jj green เลยนะ น่ารักมากขอบอกไว้เลย
“เพิ่งบอกว่าอย่าใส่ชุดพวกนี้”
“คนเรามันเปลี่ยนสไตล์กันได้ง่าย ๆ ที่ไหนล่ะคะ” ฉันเถียงเขาพร้อมกับย่นจมูกใส่เพราะรู้สึกเกลียดการโดนบังคับ
“จะให้ฉันทำอย่างที่บอกตอนนี้ไหม” อีตาคุณพอร์ชพูดแล้วก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินมาทางฉัน ทำ? ทำอะไรวะ...อ๋อจะฉีกเสื้อผ้าฉันแล้วจับโยนขึ้นเตียงน่ะเหรอ บ้า! ใครจะยอม!
“โอเคค่ะ เดี๋ยวหวานไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนรอแป๊บนะคะ” ฉันรีบบอกเขาแล้วรีบเดินไปที่ห้องนอนแล้วก็เลือกชุดที่อยู่ในถุงออกมาเปลี่ยน แต่ร้านนี้บริการดีจริง ๆ เหมือนจะซักรีดมาให้เรียบร้อยเลย
หลังจากแต่งตัวเสร็จฉันก็เดินออกมาหาคุณพอร์ชข้างนอก พอเขาเห็นฉันที่อยู่ในลุคที่ดูดีขึ้นก็ทำหน้าพอใจขึ้นมาหน่อย ก่อนที่จะพาฉันไปขึ้นรถเพื่อไปร้านอาหาร
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษ” คุณพอร์ชถามฉันในขณะที่เราสองคนติดแหง็กอยู่บนถนนเส้นหนึ่งของกรุงเทพมหานคร จะว่าไปพอได้คุยกับเขาสักพักก็รู้สึกว่าเขาดูใส่ใจคนรอบข้างอยู่เหมือนกันนะ คำพูดคำจาเริ่มยาวเป็นประโยคขึ้น ต่างจากช่วงแรกที่พูดออกมาทีละพยางค์สองพยางค์
“อะไรก็ได้ค่ะ แล้วนี่คุณพอร์ชจะขับรถไปทานที่ไหนคะ”
“ทองหล่อ”
“ฮะ! ทองหล่อเลยเหรอ รถติดขนาดนี้ไม่ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเลยเหรอคะ”
“ก็ร้านอร่อยมันอยู่แถวนั้นเยอะ”
“โห ย่านร้านอาหารคนรวยต่างหากล่ะ แถวนี้ก็มีร้านอร่อยนะคะไม่ต้องไปไกลถึงที่นั่นเลย เนี่ยขับไปข้างหน้าก็เจอแล้ว” ฉันบอกเขาแล้วก็มองทางข้างหน้า
“ร้านบะหมี่ป้าไฝรึไง” คุณพอร์ชพูดขึ้นมา หือ? รู้ได้ไง บะหมี่ป้าไฝคือร้านบะหมี่ในตำนานที่อยู่ใกล้กับ ม. S มหาลัยของฉันเอง เด็กในมหาลัยเวลาอยู่ติวหรือทำงานดึกต้องแวะมากินบะหมี่ป้าแกประจำ
“คุณรู้จักเหรอคะ” ฉันถามแล้วมองเขาตาโต คนรวยแบบนี้รู้จักร้านบะหมี่รถเข็นด้วยเหรอ
“ฉันกินบ่อย”
“อย่าบอกนะคะว่าคุณเรียนที่มหาลัยนี้” ฉันถามเขาด้วยความสงสัย แต่จะเป็นไปได้เหรอเขาหล่อขนาดนี้นะ หล่อไม่บันยะบันยังไม่มีทางที่ฉันจะไม่รู้จัก
“เธอเรียนปีไหนแล้ว”
“ปี 2 ค่ะ”
“อืม” คุณพอร์ชพยักหน้าแล้วก็นั่งจ้องถนนข้างหน้า แต่น้ำหวานงงค่ะ มนุษย์ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรทำไมเวลาฉันถามอะไรเขาชอบถามคำถามอื่นกลับ แล้วก็ตัดบทจบไม่ยอมตอบคำถามฉันดื้อ ๆ เฮ้อ!
“แล้ว?...คำถามที่หวานถาม” ฉันมองหน้าเขาพร้ออมกับรอคำตอบ จะไม่ตอบคำถามฉันจริงๆ เหรอ
“หล่อขนาดฉันถ้าเรียนที่นี่เธอจะไม่รู้จักหน่อยเหรอ คิดหน่อย” อีตาคุณพอร์ชหันมามองฉันแล้วยิ้มขำนิดหน่อย ตกลงนี้ตอบหรือว่าหลอกด่า ถ้ามีตัวเลือกมากกว่านี้หวานจะไม่ทน!
“ตกลงไม่ได้เรียนที่นี่สินะ”
“อื้ม แต่มีเพื่อนสนิทเรียนที่นี่เลยแวะมาหามันบ่อย ๆ” อ๋อ อย่างนี้นี่เอง
“แล้วตกลงวันนี้เราจะไปถึงทองหล่อหรือกินบะหมี่เจ้ไฝกันดีค่ะ” ฉันถามต่อเพราะตอนนี้น้องหวานหิวมากค่ะ หิวอยากกินควาย อยากกินล้างกินผลาญให้ท้องแตกตายเหมือนชูชก!
“ไม่ทั้งสองที่นั่นล่ะ เดี๋ยวพาไปกินร้านที่มันอร่อยกว่านี้ดีกว่าอีหนู” คุณพอร์ชบอกแล้วก็ยิ้มให้ฉัน มีพูดเล่นด้วยเหรอทำไมน่ารักจังตกลงว่าตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้เป็นยังไงกันแน่ ฉันชักจะอยากรู้จักเขาให้มากขึ้นแล้วสิ
หลังจากนั้นคุณพอร์ชก็พาฉันเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งที่อยู่แถวนั้นพอดี ขับเข้าซอยลึกมากจนเกือบจะสุดซอยก็ทำให้เจอร้านข้าวต้มข้างทางแต่ถึงแม้มันจะอยู่ลึกแค่ไหนก็ตามกลับมีลูกค้านั่งกินเยอะมาก แถมยังยืนรอโต๊ะอีก
“กินได้ไหม” คุณพอร์ชหันมาถามฉันที่นั่งมองร้านนั้นด้วยความตะลึง
“โห หวานต้องถามคุณพอร์ชมากกว่าว่ากินได้ไหม”
“กินได้สินี่ร้านประจำฉัน ว่าแต่เธอเถอะกินได้แล้วนั่งตาโตทำไม”
“ก็ร้านมันอยู่ลึกนี่คะแต่ดันมีคนเข้ามากินเยอะมาก หวานเรียนแถวนี้แต่ไม่รู้จักร้านนี้เลย”
“หึ ๆๆ ปากไม่ถึงไง ลงรถได้แล้วจะพาไปกินให้เป็นลาภปาก” เขาหันมาหัวเราะแล้วก็พูดออกมาแต่คำพูดคำจาน่าหมั่นไส้ชะมัด
พอเราสองคนเดินลงมาจากรถผู้คนก็ต่างให้ความสนใจมองกันตาเป็นมัน ก็เล่นขับแลมโบมากินร้านข้าวต้ม ใครไม่มองก็บ้าแล้ว ยิ่งคุณพอร์ชนะคะผู้หญิงแถวนั้นพากัยมองแล้วก็เขินไม่เป็นอันกินกันเลย อีหวานก็ไม่รู้ว่าจะเขินอะไรกัน กินสิกินข้าวตรงหน้าพวกหล่อนซะกินไปซะจะนั่งแอ๊บสวยกันทำไมยะ
“รอคิวนะ” คุณพอร์ชหันมาบอกฉัน
“โอเคค่ะ” ฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะถ้าอร่อยอีหวานยอมรอ
“ไปนั่งรอบนรถไป นี่กุญแจ” คุณพอร์ชหันมาบอกฉันอีกครั้งแล้วก็ยื่นกุญแจให้ทำเอาใจฉันเต้นแรงขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ทำไมเขาต้องเทคแคร์ฉัน ฉันแค่เด็กที่เขาเลี้ยงเองนะ อย่าทำแบบนี้บ่อยนะคะเดี๋ยวหวานหลง
“ไม่เป็นไรค่ะ หวานยืนรอได้สบายมาก” ฉันเลือกที่จะปฏิเสธแล้วหันไปมองบรรยากาศรอบ ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่าง
หลังจากยืนรอสักพักเราก็ได้โต๊ะนั่งฉันที่หิวมากก็เลยจัดการสั่งไม่ยั้ง สั่งมันเต็มโต๊ะโดยที่ไม่ได้ถามคุณพอร์ชสักคำว่าเขาอยากกินอาหารที่ฉันสั่งรึเปล่าแถมเขาเองก็ไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มคงเพราะเห็นฉันสั่งมาเยอะแล้วมั้ง และพอกินอาหารที่อร่อยสมกับที่เขาบอกเสร็จเราก็กลับคอนโดทันที
“โหรถติดมากจะสี่ทุ่มแล้วยังติดอีก คุณพอร์ชส่งหวานลงตรงนี้ก็ได้นะคะเดี๋ยวหวานนั่งวินกลับได้ คุณพอร์ชจะได้ไม่ต้องกลับดึก” ฉันบอกเขาด้วยความเกรงใจเพราะตอนนี้รถก็ยังติดอยู่คงเป็นเพราะกำลังทำรถไฟฟ้าด้วยมั้ง
คุณพอร์ชปรายตามามองที่ฉันพักหนึ่งแล้วก็หันมามองฉันชัด ๆ พร้อมกับยิ้มให้
“ใครบอกฉันจะไปส่งเธอ ฉันจะไปค้างต่างหาก”