EP : 10
ฉันมานั่งรอที่โซฟาตัวเดิมตั้งแต่ 7 โมงครึ่งตอนนี้บ่าย 2 ฉันยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของบริษัทที่เป็นคนพูดเองว่าให้มาแต่เช้า ไม่มีแม้แต่เงา มีแต่กรุ่นไอนางมารร้ายที่ลุกโชนออกมาจากตัวยัยเจ้เลขาเนี่ย
“กลับได้แล้วมั้ง!” เสียงนางดังลอย ๆ กระแทกใส่ ซึ่งฉันก็ไม่ได้หันไปสนใจหรอกค่ะ ว่าจะกลับอยู่เหมือนกัน แล้วพรุ่งนี้ก็จะไปพบอาจารย์แล้วก็บอกไปซะว่ามานั่งรอตามที่เขานัดแต่เขาไม่มาให้สัมภาษณ์ แค่นี้ก็มีเหตุผลให้เปลี่ยนคนสัมภาษณ์แล้วแต่เสียงของยัยเจ้เลขามันดังกระทบประสาทมาขัดจังหวะก็เลยยังไม่ไปดีกว่า ขอนั่งกวนอารมณ์นางต่อสัก 10-20 นาทีแล้วกัน
“ท่านประธาน มาแล้วเหรอคะ” เสียงยัยเลขาที่เสียงอ่อนเสียงหวานดังขึ้นทำให้สันหลังฉันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา
“ครับ บอกเขาตามผมเข้าไปได้เลยนะ” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มแล้วก็เดินเข้าไปในห้องทำงาน บอกเขาตามผมเข้าไปได้เลยนะ ชิส์ นั่งอยู่ตรงนี้เรียกเองไม่เป็นรึไง
“นี่เธอ” เสียงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นส้นตีนเชียวนะยัยเลขา ฉันก็เลยหันไปพูดกับนาง
“ไม่ต้องบอกค่ะ ได้ยิน” พูดจบฉันก็เดินไปที่ประตูแล้วก็ผลักมันเข้าไปในทันที ไม่ต้องหวั่นอะไรหรอกนับเงินกับคนชั่วในห้องนี้ รีบสัมภาษณ์ให้จบ ๆ ไปเถอะ
“สวัสดีค่ะ” พอเดินเข้าไปฉันก็เจอเขาที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึมเป็นการเป็นงานเชียว หึ! นอกจากตอแหลฟันผู้หญิงแล้วยังขี้เก๊กอีกนะ ไอ้นกเขาระทวยเซินเจิ้น!
“อืม รีบมาสัมภาษณ์ให้มันจบ ๆ เถอะ” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหอะ! แคร์ไหม ไม่ค่ะไม่เลยสักนิด
“ก็ดีค่ะ” ฉันยักไหล่ให้แล้วก็เดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนที่จะสัมภาษณ์เขาไปตามหัวข้อที่อาจารย์วางไว้ ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเพราะถึงเขาจะดูเย็นชาแต่ก็ยังอุตส่าห์กรุณาให้ความร่วมมือในการตอบคำถามได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณที่ให้สัมภาษณ์นะคะ ขอลาเลยค่ะ สวัสดี” พอสัมภาษณ์คำถามสุดท้ายเสร็จฉันก็รีบยัดทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วก็ยกมือไหว้เขาอย่างจำใจ รีบไปให้มันเร็วที่สุดไม่อยากใช้อากาศร่วมกับคนแบบนี้นานกว่านี้แล้ว
“ย้ายไปทำงานที่ไหน” พอฉันจะลุกเขาก็เอ่ยขึ้นก็เลยมองหน้าเขากลับเพราะไม่เข้าใจว่าจะถามทำไม แต่พอเขาเห็นฉันมองเขากลับยักคิ้วข้างหนึ่งให้แบบตั้งใจกวนประสาท
“ถามทำไมคะ”
“เปล่า ก็แค่ไปดื่มแล้วไม่เจอเธอ ก็ถามดูถามประสาคนเคยรู้จักแบบ...เผิน ๆ” เผินพ่อง! เล่นซะอีนับเงินเป็นไข้ตั้งหลายวัน
“ไม่ได้ทำค่ะ ตอนนี้โชคดีมีผู้ชายเลี้ยง ลาแล้วนะคะ สวัสดีอีกครั้งค่ะ” ฉันตอกกลับแค่นั้นแล้วก็เดินเชิดหน้าออกมาทันที
#NUB NGERN END
#KRICH TALK
ผมนั่งมองนับเงินเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจโคตรโกรธกับคำตอบของเธอ ผมเป็นบ้าอะไรวะถึงต้องรู้สึกโกรธ มันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอที่ผู้หญิงแบบนี้จะหาคนเลี้ยง แล้วอีกอย่างทำไมใจผมต้องกระตุกแค่เพราะเห็นผู้หญิงคนนี้กำลังหันหลังเดินหนีผมไป มึงจะสนใจผู้หญิงแบบนี้ทำไมวะไอ้คริช
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
...ซิลเวียร์
“ว่าไงครับซิลเวียร์” เลิกสนใจผู้หญิงคนนั้นแล้วมาสนใจคนปลายสายดีกว่าเผื่อผมจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ทั้งขี้อ้อน ทั้งเอาใจเก่ง เจอแค่วันเดียวแต่ผมบอกได้เลยครับว่า เด็ด
“คืนนี้อย่าลืมนัดของเรานะคะ เวียร์จะแต่งตัวรอ”
“ครับ เดี๋ยวพี่ไปรับที่คอนโด แต่งตัวสวย ๆ รอนะ” ผมตอบกลับไปเพราะมีนัดกับซิลเวียร์ในคืนนี้ ไปสนุกกับชีวิตของผมดีกว่าอย่าไปสนใจผู้หญิงลวงโลกคนนั้นเลย
-23.30 น.-
“พี่คริชไม่ค่อยดื่มเลยค่ะ” ซิลเวียร์นั่งซบอกผมที่โซฟาในผับหรูที่ผมไม่ค่อยได้มาเที่ยวที่นี่เท่าไหร่ แต่บรรยากาศก็ไม่เลว
“ถ้าพี่ดื่มเยอะจนเมาแล้วใครจะดูแลซิลเวียร์ล่ะครับ” ผมป้อนคำหวานใส่เธอจนซิลเวียร์ยิ้นเขิน หึ ๆๆ แต่เรื่องจริงคือผมไม่อยากเมาต่างหากเลยจิบแค่นิดหน่อยไม่งั้นก็อดฟัดสาวแบบจัดเต็มสิวะ
อย่าคิดว่าผมคออ่อนนะครับ ผมคอแข็ง แต่ผมเป็นพวกเหล้าเข้าปากเยอะแล้วผมจะหยุดมือไม่ได้มันต้องกระดกเข้าไปเหมือนน้ำทุกทีแล้วสุดท้ายผมก็เมาเละ
“ถ้างั้นเวียร์สั่งอะไรมาทานเล่นหน่อยดีกว่า” ซิลเวียร์หันมาอ้อนผมแล้วก็ยกมือเรียกพนักงานมา
“คุณลูกค้าต้องการรับอะไรดีคะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาทำให้ผมต้องเงยหน้าไปมองพนักงานคนนั้น
“อ้าว! นับเงินมาเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่เหรอ” ซิลเวียร์เป็นคนเอ่ยทัก ใช่ครับพนักงานที่มารับออเดอร์คือนับเงิน โลกจะกลมไปไหนวะ แล้วไหนเธอบอกผมว่าไม่ได้ทำงานแล้วไง
“ต้องการรับอะไรคะ” นับเงินไม่ตอบคำถามซิลเวียร์แต่ยืนนิ่งพร้อมกับทวนคำถามเดิมแทน
“ฉันถามว่าเธอมาหาเงินที่นี่เหรอ ทำไมไม่ตอบล่ะจ้ะ เพื่อนถามอยู่มีมารยาทหน่อยสิ” ซิลเวียร์ถามด้วยรอยยิ้มแต่ผมดูออกว่าสองคนนี้ท่าทางคงจะไม่ลงรอยกัน
“ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในหน้าที่ค่ะ ถ้าคุณลูกค้ายังไม่ต้องการที่จะสั่งอะไรในตอนนี้ก็เชิญดูเมนูก่อนได้เลยนะคะ” นับเงินบอกแล้วก็ขยับเมนูที่วางอยู่ที่โต๊ะให้ซิลเวียร์
“ฉันอุตส่าห์ลดตัวมาคุยกับเธอนะยัยกระจอก” ซิลเวียร์ขยับไปใกล้นับเงินแล้วพูดอะไรผมก็ไม่ได้ยินหรอกครับเพลงมันดัง อีกอย่างผมก็เอาแต่มองหน้าเธอ
“เชิญดูเมนูได้เลยนะคะ” นับเงินตาวาวขึ้นด้วยความโกรธแต่ก็ยังคงรักษาน้ำเสียงให้มันเป็นปกติ
“เลือกให้ฉันหน่อยสิ เอาอะไรก็ได้ที่แพงที่สุด เอาอันที่คนอย่างเธอไม่เคยได้กินน่ะ” ซิลเวียร์พูดกับนับเงิน แต่ผมได้ยินแค่เธอบอกให้นับเงินเลือกให้เท่านั้น เพราะประโยคหลังซิลเวียร์กระซิบบอกนับเงินแทน
“ค่ะ” นับเงินยิ้มรับก่อนที่เธอจะเดินจากไป ผมว่าซิลเวียร์คงไม่ได้พูดดีกับนับเงินเท่าไหร่หรอกครับ แต่ทำไมผมต้องมาสนใจผู้หญิงคนนั้นด้วยวะ
“อาหารที่คุณลูกค้าให้ดิฉันเลือกให้มาแล้วค่ะ” ผ่านไปไม่นานนับเงินก็เดินถือถาดอาหารมาเสิร์ฟขัดจังหวะซิลเวียร์เพราะตอนนี้เธอกำลังเริ่มนัวเนียผมอยู่
“ก็เสิร์ฟสิ” ซิลเวียร์ขยับหน้าออกจากซอกคอของผมแล้วก็หันไปบอกนับเงินด้วยความไม่พอใจ
“ค่ะ นี่ค่ะร้อน ๆ เลย ปูผัดผงกะหรี่กับซุปแกงกะหรี่ทานเล่น ๆ จะเผ็ด ๆ ร้อน ๆ มันแซ่บดีนะคะ แต่อย่าทานบ่อยเดี๋ยวเลี่ยนผง...กะหรี่ ได้นะคะ” นับเงินวางอาหารสองอย่างลงตรงหน้าพร้อมกับพูดไปปะทะสายตากับซิลเวียร์ไปดวย แต่ประโยคสุดท้ายเธอตั้งใจหันมาเหมือนจะบอกผม ซึ่งเป็นใครก็รู้ครับว่านับเงินกำลังหลอกด่าซิลเวียร์
“นี่เธอหลอกด่าฉันเหรอ!” ซิลเวียร์ตะคอกใส่นับเงินในทันที แถมตอนนี้ตัวเธอก็เริ่มสั่น
“เอาปูผัดผงกะหรี่กับซุปแกงกะหรี่มาเสิร์ฟมันเป็นการหลอกด่าตรงไหนคะ” นับเงินยิ้มตอบซิลเวียร์ หึ ๆๆ แสบไม่เบาเลยว่ะ
“อีนับเงิน! ไม่มีพ่อแม่สั่งสอนเหรอฮะ! ถึงคิดว่าคนอื่นเขาจะโง่ไม่รู้ว่าแกกำลังหลอกด่า” ซิลเวียร์ตะคอกใส่นับเงินแต่เหมือนคำพูดของซิลเวียร์จะไปกระตุกต่อมโกรธของนับเงินเข้าเพราะเธอตาวาวขึ้นตั้งแต่ซิลเวียร์พูดยังไม่ทันจบประโยค
“ด่าฉันไม่มีพ่อแม่ใช่ไหม ได้! โดนไล่ออกกูก็ยอม!” หลังจากที่นับเงินพูดจบจานปูผัดผงกะหรี่ก็ถูกคว่ำใส่หัวซิลเวียร์แล้วหลังจากนั้นก็มีการตะลุมบอนกันเล็กน้อยผมต้องรีบแยกเธอสองคนออกจากกันก่อนที่ผู้จัดการร้านจะเข้ามาเคลียร์แล้วก็ขอโทษซิลเวียร์กับผม
“ฉันไม่ยอม! ไล่มันออกเดี๋ยวนี้เลยนะคะไม่งั้นฉันจะทำให้ผับคุณเสียชื่อแน่ที่มีพนักงานแย่ ๆ แบบนี้!” ซิลเวียร์ตะโกนลั่นแล้วก็ชี้หน้านับเงิน
“เออ! ฉันออกแน่! สะใจรึยังล่ะที่ฉันตกงาน แต่มันก็คุ้มนะแลกกับการที่ได้จัดการผู้หญิงปากเสียแบบเธอ!” นับเงินพูดใส่หน้าซิลเวียร์แล้วก็เดินหายไปด้านหลังร้านทันทีส่วนผู้จัดการก็รีบขอโทษขอโพยยกใหญ่
ผมไม่อยากให้วุ่นวายไปมากกว่านี้ก็เลยเลือกที่จะพาซิลเวียร์กลับเพราะเธอเริ่มอาละวาดจะไม่ยอมให้จบแค่ไล่นับเงินออกแต่กำลังบังคับให้ผู้จัดการร้านโทรไปเรียกตำรวจมาจับนับเงินข้อหาทำร้ายร่างกาย
กว่าผมจะไปส่งซิลเวียร์แล้วปลีกตัวจากเธอมาได้ก็เล่นซะเหนื่อย ไม่ใช่เหนื่อยเพราะเรื่องบนเตียงนะ เหนื่อยกับการรบเร้าให้ผมอยู่ต่อของเธอต่างหาก เห็นท่าทางไม่น่ารักของซิลเวียร์วันนี้แล้วบอกตรง ๆ ว่าผมไม่มีอารมณ์จะสานต่อ
ผมขับรถมาเรื่อย ๆ จากคอนโดของซิลเวียร์ผมต้องขับย้อนกลับไปทางผับเมื่อกี้เพื่อจะกลับคอนโดของผม พอผ่านผับนั้นมาสักพักในระหว่างที่รถติดไฟแดงสายตาผมก็มองอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนไปเห็นร่างที่คุ้นตากำลังนั่งไม่มีสติอยู่หน้าร้านเหล้า
บ้าเอ๊ย! คืนวันศุกร์ที่ร้านเหล้าแทบทุกร้านเต็มไปด้วยผู้คนแต่ยัยนี่นั่งอมหลอดดูดเหล้าถังอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่คนเดียวนี่นะ แล้วดูโต๊ะข้าง ๆ มีแต่ผู้ชายกำลังมองยัยนี่ไม่วางตาเลย
ผมยูเทิร์นรถกลับมาจอดเทียบฟุตบาทแล้วก็ทำให้ทุกสายตาในร้านนั้นหันมามองที่รถผมด้วยความสนใจ แต่ผมไม่สนอะไรนอกจากยัยขี้เมานั่น
“มานั่งกินเหล้าอะไรตรงนี้คนเดียว กลับบ้านซะ” ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามนับเงินแล้วก็ถามเธอด้วยความไม่สบอารมณ์
“ใคร~ มากินเหล้าแล้วไม่มีเพื่อนนั่งเหรอ นั่งด้วยกันดิ~” นับเงินมองหน้าผมแล้วก็ถามเสียงอ้อแอ้ ท่าทางจะเมาจนจำผมไม่ได้ นับจำนวนถังที่เธอกินบนโต๊ะถ้ายังไม่มีพนักงานร้านมาเก็บก็น่าจะถังที่ 4 ดื่มขนาดนี้จะจำผมไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก
“เลิกกินได้แล้วนับเงิน พี่ครับเก็บเงินด้วยครับ” ผมตะโกนเรียกคนในร้านให้มาเก็บเงิน พนักงานของร้านอายุประมาณ 30 กว่า ๆ ก็เดินมามองผมด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“แฟนผมเองครับ ทะเลาะกันแล้วหนีออกมากินเหล้า ชื่อนับเงิน” ผมรู้ว่าเธอกำลังกลัวว่าผมจะมาหลอกเอานับเงินไปฟันผมก็เลยต้องบอกแบบนี้
“แน่นะคะ” เธอมองหน้าผมแล้วก็ถามย้ำ
“ร้านพี่มีกล้องวงจรปิด ผมไม่กล้ามาหลอกใครไปฟันหรอกครับ รถผมก็อยู่ตรงนี้จะถ่ายรูปรถเอาไว้ก็ได้” ผมบอกเธอเพื่อให้เธอสบายใจจนพี่คนนี้ยอมเชื่อแล้วก็เก็บเงินก่อนที่ผมจะอุ้มนับเงินที่เมาเละไปขึ้นรถ
“นี่คุณ~” นั่งกันไปสักพักนับเงินก็เริ่มพูดขึ้นมาแต่ไม่ยอมลืมตาตามประสาคนเมา
“ว่าไง”
“จะพาฉันไปข่มขืนเหรอ~” นับเงินหันมามองผมแล้วก็ชี้ที่ตัวเอง ยัยนี่เมาแล้วพูดจาเลอะเทอะแบบนี้ประจำรึเปล่าวะ
“เปล่า จะพาไปส่งบ้าน”
“แน่ใจนะ! ดีแล้วที่คุณไม่ข่มขืนฉัน! เพราะอะไรรู้ไหม” เฮ้อ! ทำไมเมาได้ขนาดนี้วะ
“เพราะ?” ผมก็บ้าจี้ไปคุยกับคนเมาเป็นตุเป็นตะเลยว่ะ
“เพราะฉันไม่ซิง!” นับเงินพูดออกมาเสียงดังแล้วแม่งมันกระทบใจผมทำให้ผมหักพวงมาลัยจอดข้างทาง
“พูดบ้าอะไรของเธอวะ เมาแล้วก็นอนไป” ผมหันไปดุเธอแล้วก็จะเอื้อมไปปรับเบาะให้เธอนอน แต่เสียงนับเงินกลับดังขึ้นมาซะก่อน
“ฮึก! จริง ๆ นะคุณ ฉันไม่ซิงจริง ๆ เพราะอะไรรู้ไหม~ เพราะฉันดันไปห่วงไอ้คนที่ฉันแอบชอบที่มันกำลังเมาเหมือนหมาแล้วก็หลับอยู่บนรถ!” นับเงินพูดขึ้นมาทำให้ผมชะงักไปในทันทีแล้วก็มองหน้าเธอที่กำลังจะพร่ำอะไรออกมาตามความเมา เขาว่าคนเมามักจะพูดความจริงใช่ไหม
“อึก~ กลิ่นรถไอ้บ้านั่นเหมือนรถคันนี้เลยว่ะ” นับเงินทำจมูกฟุตฟิตแล้วก็บ่นออกมา ตลกเป็นบ้าเลย
“รู้ไหม~ เขาบอกให้ฉันขับรถไปส่ง! แล้วพอไปส่งก็บังคับให้ฉันนอนให้เขากอดทั้งที่ฉันกำลังจะกลับ! ฉันแม่งก็ยอม แล้วรู้ไหมทำไมฉันถึงยอม~”
“เพราะอะไร” ผมถามต่อด้วยความอยากรู้ ที่เธอพูดหมายถึงผมรึเปล่า หรืออาจจะเป็นคนอื่น
“เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะเขาบอกว่าเขาทำอะไรฉันไม่ได้ไง มันตอแหลว่าเวลามันเมาแล้วนกเขามันไม่ขัน!” พอเธอพูดแบบนี้ออกมาผมใจสั่นไม่เป็นจังหวะเพราะมันชัดเจนมากว่าเธอกำลังพูดถึงผมอยู่
“ละ แล้วยังไงต่อ” ผมถามไปด้วยเสียงสั่น รู้สึกระทึกเหมือนกำลังฟังเรื่องผีเพราะอยากรู้ตอนต่อไป
“ยังไงน่ะเหรอ~ ไอ้นั่นก็เล้าโลมฉัน ฉันก็เคลิ้มนะคุณ ก็เลยยอมเพราะเชื่อว่ามันไม่ขันจริง ๆ คงทำได้แค่กอดจูบ ก็คนเมามันพูดความจริงไม่ใช่เหรอวะ!”
“...” อย่าบอกนะว่า...
“แล้วอยู่ ๆ มันก็พูดว่า~ มันตื่น! หลังจากนั้นมันก็เสียบเข้ามา! แม่งเจ็บที่สุดในชีวิตแล้ว ตั้งหลายรอบนะคุณแต่ตื่นมาแล้วก็หาว่าฉัน...ฮึก! ฮื่อ ๆๆๆ” นับเงินหยุดเล่าก่อนที่เธอจะก้มหน้าร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“นับเงิน” ผมเรียกชื่อเธอเสียงเบา
“ฮื่อ ๆๆ คุณรู้ไหมว่าโดนผู้ชายพรากพรหมจรรย์แต่พอตื่นเขาบอกว่าไม่ได้ทำแล้วหาว่าเราโกหกจะจับเขามันรู้สึกยังไง! กว่าฉันจะผ่านมันมาได้นะคุณ ฮึก! ฮื่อ ๆๆ” นับเงินร้องไห้น้ำตาไหลออกมาเป็นสายไม่หยุด แววตาที่เลื่อนลอยเพราะความเมามันฉายความรู้สึกออกมาชัดเจน ความรู้สึก...เจ็บปวดของเธอ
หมับ!
ผมกระชากเธอเข้ามากอดเต็มแรงด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี
“เงียบ เรานั่นแหละผิดถ้าไม่พูดประชดให้พี่เข้าใจผิดเมื่อตอนบ่ายคงไม่ต้องมานั่งเมาประชดชีวิตแบบนี้หรอกยัยเด็กบ้า”