บทย่อ
นาสูร "นาสูร" ชื่อเหมือนยักษ์ในละครพื้นบ้าน แน่นอน ชื่อเหมือนแต่เขาต่างจากยักษ์พวกนั้นเยอะ เพราะเขามีตัวตนที่สัมผัสได้และ "กินดุ" ดุในที่นี้คือดุอะไรมาลุ้นไปด้วยกันค่ะ ส่วนผู้ที่ต้องตาของเขาก็คือ "พุดซ้อน" สัตวแพทย์สาวผู้ไร้เดียงสา แล้วจะเป็นยังไงเมื่อความรักมันเกิดขึ้นระหว่างยักษ์กับมนุษย์.... ------- “อ่ะ...อื้อ” เธอเบิกตากว้างในความมืดสลัวเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกคุกคามยามดึก “ชูว์! ฉันเองเด็กน้อย” เขายกมือมาปิดปากเธอพร้อมบอกให้รู้ว่าคือเขา “คุณนาสูร” “ใช่ ฉันเอง ก็บอกแล้วไงว่าเจอกัน” “ฟ้าอยู่” “เธอไม่ตื่นหรอก” เขาบอกตอบกลับ “แต่ไม่ได้นะคะ เราจะ...” “ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันหิวมาหลายวันแล้วน้อง เธอก็รู้ว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน” เขารีบบอกสวนกลับโดยที่เธอยังพูดไม่สุดประโยคความ “พรุ่งนี้ฟ้าก็กลับแล้ว” เธอบอกพร้อมดันเขาไปนอนข้างๆ ตัวเองที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ “ไม่มีพรุ่งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องการวันนี้เด็กน้อย ขอเถอะนะ เพื่อนเธอไม่มีทางตื่นถ้าฉันไม่สั่งให้ตื่น เรามามีความสุขกันเถอะนะ ฉันรู้ว่าเธอเองก็โหยหาฉัน” มือใหญ่สอดเข้าไปในใต้ผ้าห่มแล้วบีบเคล้นเต้าของเธอ “อ่ะ...อื้อ คะ...คุณนาสูร ยะ...อย่าทำแบบนี้ค่ะ น้องอาย ถึงฟ้าจะไม่ตื่น แต่ฟ้าก็นอนอยู่ข้างๆ นะคะ” พึ่บ! แล้วผ้าห่มที่เธอแบ่งกันกับเพื่อนห่มนั้นก็ถูกถลกดึงรั้งขึ้นไปคลุมหัวของฟ้าใสทันที “คุณทำอะไร เดี๋ยวฟ้าก็หายใจไม่ออก” เธอถามเขาเมื่อเขาดึงผ้าห่มจากฝั่งของเธอไปคลุมหัวเพื่อน “ก็เธออายเพื่อน ฉันเลยทำให้เธอหายอาย” “ด้วยการเอาผ้าห่มคลุมเพื่อนน้องเนี่ยนะคะ ตายักษ์บ้ากาม” นี่เขาคิดได้ยังไงกันเอาผ้าห่มคลุมหัวเพื่อนเพื่อไม่ให้เธอมองเห็นเนี่ยนะ เขามันร้ายและเจ้าเล่ห์ที่สุด หึหึ “ก็เธอต้องการนี่ อีกอย่างเธอก็ไม่เห็นเพื่อนเธอแล้ว เราคลุมเธอไว้แล้วตอนนี้ มาเถอะเด็กดี ขย่มฉันนะน้อง เลิกอายแล้วจัดการผัวซะทูนหัว” แล้วเขาก็อุ้มเธอที่นอนข้างๆ ขึ้นมานอนคร่อมทับตัวเอง “อ่ะ...คนเจ้าเล่ห์ แต่น้อง...” แล้วเขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่เธอจะพูดจบเหมือนเดิม “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันหิวเธอมากทูนหัว เถอะนะ จัดการฉัน ถอดกางเกงฉันและชุดนอนของเธอทิ้งซะเด็กดี” เธอยอมแล้วความหื่นของนาสูร ฟ้าใสก็นอนหายใจอยู่ข้างๆ แต่เขาก็ยังไม่สนใจ แม้จะคลุมหัวคลุมร่างของเพื่อนไว้แล้ว แต่เธอก็รู้ดีว่าเพื่อนนอนอยู่ข้างๆ จะให้เธอมีเซ็กซ์กับเขาได้ยังไงกัน “น้องอายอยู่ดี เพราะน้องรู้ว่าเพื่อนน้องนอนอยู่ข้างๆ” “อย่าอายไปเลยนะ ผ่อนคลาย คิดถึงแต่ความต้องการของเราสิเด็กดี จัดการฉันอย่างที่ใจปรารถนา และฉันจะแอ่นเด้งกระแทกตอบรับอย่างที่เธอต้องการน้อง จัดการฉัน” มือใหญ่สอดเข้าไปในชายเสื้อนอนของเธอพร้อมลูบไล้มือสากกร้านไปมากับสีข้างนวลเนียนของพุดซ้อนอย่างปลุกเร่า “อ่ะ...อื้อ น้อง...” “ขย่มฉันเด็กดี ยักษ์ตนนี้มันเป็นของเธอแล้วตอนนี้” น้ำเสียงแหบพร่าทุ้มลึกพูดแทรกขึ้นโดยไม่รอให้เธอได้พูดจบความ.... ------------------------- มังกรกัณฐ์ ริ้วรอยความโกรธปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าหล่อของชายหนุ่มลูกครึ่งมนุษย์และยักษ์ปูดโปนขึ้น ดวงตาเป็นประกายเพลิงสีแดงและอีกข้างประกายเขียวมรกตเมื่อเห็นผู้หญิงของตนยืนยิ้มหัวเราะต่อกระซิกกับชายอื่นในภาพที่ฉายบนผนังห้องนอน กรอด! “กล้าขัดคำสั่งฉันงั้นเหรอเจณิสา” เขาพึมพำเสียงแข็งกับตัวเองพร้อมกับสองมือใหญ่กำแน่นเข้าหากันแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับภาพที่ฉายบนผนังหายวับไปเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการฉายภาพบนผนังนั้น เท้าใหญ่ก้าวยาวๆ ไปทางห้องน้ำแล้วก็ไปโผล่อีกที่ ที่ซึ่งเป็นที่พักพิงของหญิงสาวที่สร้างความขึงโกรธให้ตัวเองพร้อมกับที่ประตูห้องถูกผลักเปิดเข้ามาพอดี แอค! มังกรกัณฐ์มองไปทางประตูที่ถูกเปิดผลักออก ส่วนเจ้าของห้องที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาแทบจะผลักประตูปิดแล้วหนีกลับทางเดิมทันทีเมื่อเห็นสายตาวาวโรจน์ของอีกฝ่าย “กลับดึก?” เขาถามเสียงแข็งพร้อมเดินไปฉุดรั้งร่างเล็กของหล่อนเข้ามาในห้อง อีกมือก็ผลักปิดประตูพร้อมกดล็อกให้สนิท “คุณเข้ามาในห้องของณิสาได้ยังไงคะ?” เธอไม่ตอบแต่ถามเขาแทน ทั้งๆ ที่หวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบดวงตาวาวโรจน์ของคนตัวสูง “ฉันถามเธอก่อนนะเจณิสา เธอควรตอบฉันก่อนจะตั้งคำถามกับฉัน” เขากอดดึงลากร่างน้อยไปยังเตียงนอนนุ่มแม้ว่าเธอจะจิกเท้าขืนตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาสนใจ “ณิสาลืมไปว่าคุณไม่ใช่มนุษย์อย่างณิสาแต่เป็น ‘ยักษ์’ แต่ถึงยังไงคุณก็ไม่ควรเข้ามาในห้องของคนอื่นแบบนี้ รู้จักไหมคะมารยาทน่ะ?” เธอถามคนตัวโตในท้ายประโยคแม้จะหวาดกลัวดวงตาที่วาวโรจน์สีเพลิงและเขี้ยวที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากหนึ่งข้างของเขาก็ตาม “สู้กะ...ก็แค่ตาย” เธอบอกเขาเมื่อเขากอดรัดแน่นขึ้นจนหายใจไม่ออก “งั้นก็ไปตายบนเตียง” แล้วเขาก็ยกอุ้มร่างน้อยไปยังเตียงของตัวเอง จากที่อยู่ในห้องพักขนาดเล็กของเจณิสาก็มาโผล่ที่ห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง “เลิกยุ่งกับฉันสักที คุณเองก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว แล้วทำไมไม่ปล่อยฉันไปคุณมังกรกัณฐ์” เธอดันหน้าของเขาที่กำลังจะซุกไซ้ซอกคอตัวเองออกห่างพร้อมกับดิ้นหนีจากใต้ร่างใหญ่ “เอาอะไรมาพูดเจณิสา ฉันมีใครที่ไหน ตั้งแต่รู้จักเธอ ฉันก็มีแค่เธอคนเดียว” “โกหก!” เธอตอบสวนกลับทันควัน “ฉันไม่เคยโกหก” เขาตอบกลับเช่นกัน “ฉันไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาที่จะไม่รู้เรื่องอะไร และก็เลิกทำแบบนี้กับฉันสักทีเถอะ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ เราต่างคนต่างอยู่ได้ไหม คุณเองก็ไม่ใช่มนุษย์แบบฉัน คุณเป็น ‘ยักษ์’ ซึ่งจะจับฉันกินวันไหนก็ไม่รู้” เธอบอกเขาเสียงสั่นเครือ และที่เจ็บปวดตอนนี้คือเธอกำลังอุ้มท้องลูกของอมนุษย์เหนือร่าง และก็ขอบคุณที่เจ้าตัวเล็กไม่เกเร เธอไม่เคยแพ้ท้องและไม่มีอาการอะไรแสดงให้คนสงสัยเรื่องเจ้าหนูน้อยได้เลยสักครั้ง “ฉันไม่กินเนื้อมนุษย์และไม่กินเนื้อดิบ ฉันกินเหมือนมนุษย์ทั่วไป ฉันเป็น ‘ยักษ์’ ก็จริง แต่เป็นยักษ์แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งฉันเป็นมนุษย์ แม่ของฉันเป็นมนุษย์แบบเธอ” เขาบอกอธิบายหญิงสาวใต้ร่าง “คุณไม่ต้องอธิบายกับณิสาหรอกค่ะ ส่งณิสากลับเดี๋ยวนี้ และเลิกยุ่งกับณิสาสักที” “ชอบไอ้นั่นสินะถึงได้อยากไล่ ‘ผัว’ อย่างฉันไปให้ไกล ฝันไปเถอะ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่ไป เธอเป็นของฉัน และไม่ต้องเอาเรื่องผู้หญิงคนอื่นมาอ้าง ฉันไม่มีผู้หญิงที่ไหนทั้งนั้น ฉันมีแค่เธอ” พูดจบเขาก็ปิดปากน้อยที่กำลังขยับจะโต้ตอบทันที “อะ...อื้อ” -------------------------- กลืนกิน เผียะ! “กลับมาทำไมคะ?” เธอตะโกนถามคนที่หน้าหันไปตามแรงตบของตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นจากเตียง “มาหาเธอกับลูกของเราไงเดหลี” “ลูกเหรอคะ คุณพาทีมีลูกด้วยเหรอคะ” เธอถามเสียงสั่นพร้อมกับเดินไปทางประตูห้องนอนโดยไม่สนใจคนที่เดินมาขวางอยู่หน้าประตู “หลบไปค่ะ! เดหลีจะกลับบ้าน” “ก็เนี่ยไงบ้านของเรา” “ไม่ใช่ค่ะ บ้านของคุณพาทีกับผู้หญิงคนนั้นต่างหาก” “ผู้หญิงที่ไหน ฉันมีแค่เธอ” “เดหลีไม่ได้ความจำเสื่อมนะคะคุณพาที และก็หลบไปให้พ้นค่ะ เดหลีจะกลับบ้าน” “ฉันไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้นเดหลี เธอต้องอยู่บ้านหลังนี้กับฉัน” พาทีเอ่ยอย่างเด็ดขาดหนักแน่นพร้อมรวบร่างอวบอิ่มของเดหลีน้อยเข้ามากอดแนบแน่น “ปล่อยค่ะ คุณพาทีปล่อยเดหลี คุณพาทีไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องเดหลี” “ทำไมจะไม่มีสิทธิ์เดหลี ฉันเป็น ‘ผัว’ เธอ และเป็นพ่อของ ‘ลูก’ ในท้องของเธอด้วย”
เรื่องนาสูร บทนำ นับพันสามร้อยปี
วิ้วๆๆ
เสียงลมพัดแรงกระทบผิวกายกำยำของชายที่ใส่เพียงกางเกงสแล็คตัวเดียวติดตัว ท่อนบนเปลือยเปล่า นี่ก็หนึ่งพันสามร้อยปีแล้ว ที่เขาอยู่บนโลกใบนี้ เขาเป็นยักษ์ที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ ทำตัวกลมกลืนกับมนุษย์ จนเวลาผ่านมานานหนึ่งพันสามร้อยปี เขาก็ยังโดดเดี่ยว ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องมองไปในความมืด ตอนนี้เขาอยู่บนยอดเขาในป่าลึกทางเหนือของประเทศไทย นามของเขาคือ “นาสูร” มนุษย์อ่อนแอมักขำชื่อเขา บอกว่าชื่อเหมือนยักษ์ในละครพื้นบ้าน เขาได้แต่ขำในลำคอ ก็เขาคือยักษ์จริงๆ แต่ไม่ใช่ยักษ์ไร้สกุลแบบในละครพื้นบ้านของไทย
วิ้วๆๆ
เสียงลมยังคงปะทะผิวอกและหน้าหล่อของเขาเรื่อยๆ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เขาอดข้าวอดน้ำ และตอนนี้เขาออกจากการบำเพ็ญเพียรแล้ว และพร้อมจะกลับไปใช้ชีวิตปกติกับมนุษย์อ่อนแอแล้ว เขามองไปยังความมืดมิดเบื้องหน้าที่ตอนนี้เขายืนอยู่บนยอดเขาแล้วก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าของคนสนิทตัวเองเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จากด้านหลังเลยเอี้ยวหน้าหันไปดูและถาม
“มาแล้วเหรอพาที”
“ครับท่าน”
“ได้อะไรมากิน ตอนนี้ข้าหิวมาก” คนที่อดมาตลอดหนึ่งอาทิตย์เอ่ยถามด้วยความหิวโหย
“ได้กวางป่ามาหนึ่งตัวครับ”
พาทีที่ออกไปหาอาหารมาให้นายที่จะออกจากการบำเพ็ญเพียรก็อุ้มกวางป่าตัวหนึ่งพาดไหล่มาหานายพร้อมกับโยนกวางที่ยกอุ้มมาไปกับพื้นตรงหน้าทันที
“อือ...นายกินรึยัง”
“กินกวางไปแล้วหนึ่งตัวครับ”
“อืม...นายกลับไปเตรียมทุกอย่างที่บ้านรอฉันเถอะ ฉันกินอิ่มก็จะกลับเหมือนกัน”
ด้วยความที่ยุคสมัยเปลี่ยนไป เขาต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย และตอนนี้เขาเป็นคนยุค ไม่สิ ยักษ์ยุคสองพันยี่สิบแล้ว และเขาอยู่มาได้ยังไงตั้งพันสามร้อยปี เขาเป็นอมตะและอยู่กับมนุษย์ใจทรามได้ยังไง เขาก็จำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์เก็บเขี้ยวยักษ์ คิ้วของเขา และทุกคนจะรู้จักเขาในนามเจ้าของฟาร์ม และมีโรงฆ่าสัตว์แปรรูปขายส่งไปยังห้างสรรพสินค้า ในฟาร์มของนาสูรมีพื้นที่พันสามร้อยไร่เท่าอายุของเขา และมีเลี้ยงหมู ไก่ วัว ควาย ม้า เป็ด แกะ และแพะ
“ครับท่าน” พาทีเอ่ยรับคำแล้วก็เดินจากไป
นาสูรมองเจ้ากวางป่าที่โชคร้ายในวันนี้แล้วเม้มปากแน่น เขาไม่ได้ชอบกินเนื้อ แต่ก็ต้องกินพวกมันเพื่อความอยู่รอด ถึงแม้จะเป็นยักษ์ แต่เขาก็ไม่เคยกินมนุษย์เลยสักครั้ง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ลิ้มลองเนื้อมนุษย์ บรรพบุรุษของเขาได้บอกไว้ว่าหากได้ลิ้มลองเนื้อมนุษย์ครั้งหนึ่งก็จะโหยหาตลอด และจะเป็นยักษ์ที่โหดร้าย ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วอยากจะลิ้มรสเนื้อมนุษย์ดูสักครั้ง เพราะกลิ่นตัวของพวกมนุษย์อ่อนแอนั้นหอมน่ากินเหลือเกิน
มือใหญ่คว้าหยิบกวางป่าที่น่าสงสารขึ้นมากัดกินเหมือนกับว่ามันเป็นอาหารเลิศรสก็มิปาน เพียงเวลาไม่นานเจ้ากวางตัวน้อยก็เหลือแต่ซากกระดูก
เออ!
เมื่อท้องอิ่มก็เรอออกมาพร้อมเช็ดคราบเลือดตามมุมปากของตัวเองแล้วก็เปลี่ยนแปลงร่างให้กลับไปเป็นมนุษย์เพื่อจะกลับไปอยู่กับความเป็นจริงว่าตอนนี้ตัวเองคือใคร ตัวเองคือเจ้าของฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดของภาค
ร่างเล็กเดินผ่านมาทางบ้านพักของเจ้าของฟาร์ม ที่แม้แต่ใครก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ แปลกและสงสัยตลอดระยะเวลาสามเดือนที่มาทำงานที่ฟาร์มนาสูรแห่งนี้ยังไม่เคยเจอเจ้าของฟาร์ม เจอแต่พาทีคนสนิทของเขา แต่หลายๆ เสียงที่เคยเจอก็บอกว่าท่านหล่อราวเทพบุตรลงมาจุติ เธอก็อยากเห็นเหมือนกันว่าจะจริงอย่างที่ทุกคนเล่าลือกันไหม แต่แปลกที่ทำไมทุกคนเรียกว่า ‘ท่าน’ หรือว่าจะอายุมากแล้ว
“ทำไมดูน่ากลัวจัง” หล่อนพึมพำกับตัวเองเมื่อมองไปในบ้านหลังใหญ่แต่ดูวังเวงพิกล ก็แม้แต่ไฟก็ยังดูสลัวไม่สว่าง และที่รู้มาอีกคือในบ้านไม่มีเด็กรับใช้ ไม่มีแม่บ้านคอยดูแล ในบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าที่เธอยืนมองมีเพียงเจ้าของบ้านและคนสนิทเท่านั้นที่อาศัยอยู่
พุดซ้อน กิ่งกาญจน์ หรือน้อง สัตวแพทย์สาววัย 24 ปี ที่เพิ่งมาเป็นสัตวแพทย์ประจำฟาร์มนาสูร ตอนที่สมัครงานมาทางอีเมลก็แปลกใจกับชื่อฟาร์ม เพราะชื่อฟาร์มแปลก แต่ก็เป็นฟาร์มที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียง ที่สำคัญคือเงินเดือนค่าตอบแทนสูงมาก และทำไมจะต้องคิดอีกเมื่อทางฟาร์มเรียกตัวมาสัมภาษณ์ พอผ่านก็ตอบตกลงเซ็นสัญญาทันที ก็เงินเดือนสูงใครจะไม่อยากได้ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ไหนจะให้เงินเดือนเดือนละสามหมื่นห้าไม่รวมโอที และที่พักก็ฟรี แถมมีข้าวกินสามมื้อด้วย ทำงานหกวันหยุดหนึ่งวันคือวันอาทิตย์ให้พักผ่อน ก็ถือว่าดีมากทีเดียวสำหรับพุดซ้อน
ด้านเจ้าของบ้านหลังใหญ่ได้ยินเสียงพึมพำดังมาจากด้านนอก แม้จะเป็นเพียงเสียงพึมพำเบาๆ แต่คนไม่ธรรมดาอย่างเขาได้ยินชัดเจน นาสูรปิดหนังสือปรัชญาที่อ่านเป็นประจำทันทีพร้อมกับเคลื่อนตัวรวดเร็วมาโผล่ที่ด้านหลังของหญิงสาวร่างเล็ก
เสียงลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอทำให้พุดซ้อนรู้สึกขนลุกขนพองยกแขนเรียวเล็กโอบกอดตัวเองแล้วก้าวถอยหลัง แล้วก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อรู้สึกว่าชนกับอะไรสักอย่างทั้งๆ ที่ข้างหลังเธอเป็นพื้นที่โล่งไม่มีต้นไม้และกำแพง ร่างน้อยหดตัวยืนนิ่งเกร็งไม่กล้าขยับ
“กลัวเหรอ?” น้ำเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นข้างแก้มยิ่งทำให้พุดซ้อนหวาดกลัวกับน้ำเสียงเย็นเยือกของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง
“ไม่ต้องกลัวฉัน เธอมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น” เขาขยับตัวถอยห่างจากร่างเล็กที่สูงเพียงระดับอกตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้หล่อนคลายความหวาดกลัว
“คะ...ค่ะ” แล้วพุดซ้อนก็รีบใส่เกียร์วิ่งซอยเท้าหนีจากตรงนี้ไปอย่างรวดเร็วทันที โดยไม่คิดจะหันมามองเจ้าของเสียงเย็นเยือก
หึหึ
นาสูรขำในลำคอพร้อมยกมือขึ้นลูบคลึงสันกรามตัวเองไปมา แล้วดวงตาสีดำสนิทก็แปรเปลี่ยนเป็นสีไฟลุกทันที
“เด็กสอดรู้สอดเห็น” แล้วเขาก็หลับตาเคลิ้มซึมซับกลิ่นกายหอมๆ ของคนที่เพิ่งวิ่งจากไป เมื่อกลิ่นหอมของหล่อนทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายแปลกๆ แถมไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อนด้วย มันหอมแบบไม่ปรุงแต่งเหมือนผู้หญิงหลายคนที่พยายามยัดเยียดตัวเองให้เขา
บ้านต้องห้ามจริงๆ กลางวันว่าน่ากลัวแล้ว กลางคืนยิ่งแล้วใหญ่ เป็นไปได้จะไม่เฉียดตัวไปใกล้อีกแล้ว จะไม่ไปแล้ว ไม่อยากรู้อยากเห็น ไม่อยากเจอเจ้าของฟาร์มแล้ว แต่ก็นั่นแหละ มันแปลกทำไมเธอจะอยากเจอเจ้าของฟาร์มเจ้านายโดยตรงไม่ได้ล่ะ
เฮ้อ!
พุดซ้อนถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของเสียงทุ้มต่ำน่ากลัวนั้นคือใคร เพราะไม่กล้าจะหันไปมอง พอมาตอนนี้ก็อยากเห็นเจ้าของน้ำเสียงที่ดังขึ้นข้างแก้มเมื่อคืน ไม่น่าเลย ไม่น่ากลัวจนไม่สนใจอะไร ไม่น่ากลัวจนต้องรีบวิ่งหนีกลับที่พักเลย
“หมอน้องถอนหายใจมีอะไรรึเปล่าครับ” น้ำเสียงทุ้มสุภาพเอ่ยถามขึ้นจากด้านหลัง พลช สัตวแพทย์หนุ่มวัย 30 ปี รุ่นพี่ที่ทำงานที่ฟาร์มแห่งนี้มาแล้วสี่ปี
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่หมอไม้”
“วันนี้พี่จะเข้าไปในเมืองนะ หมอน้องอยากได้อะไรไหม หรือจะไปด้วยกัน” รุ่นพี่เอ่ยถาม
“น้องไปด้วยดีกว่าค่ะ พอดีของที่จะฝากพี่หมอไม้ซื้อให้ไม่ได้” เธอบอกเขายิ้มๆ แล้วสลัดเรื่องที่รบกวนในหัวออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยห้าสิบสามเซนติเมตรของตัวเอง พอยืนขึ้นเทียบกับพลชแล้วก็ต่างกันเหลือเกิน เธอดูแล้วรุ่นพี่น่าจะสูงประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตร
“งั้นพี่เอาของไปเก็บในห้องก่อนนะ และจะเปลี่ยนเสื้อด้วย” พลชเอ่ยบอกรุ่นน้องสาว ในฟาร์มหนึ่งพันสามร้อยไร่แห่งนี้มีแพทย์ประจำฟาร์มทั้งหมด 25 คน แต่ละคนทำงานแยกกันไปอยู่ประจำจุด และเขากับพุดซ้อนนั้นทำงานด้วยกันจึงสนิทกันเป็นพิเศษ
“น้องก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกันค่ะพี่หมอไม้ เพราะชุดนี้เปื้อนขี้หมูตอนไปฉีดยาให้พวกน้องๆ โดนดีดสะบัดขี้ใส่ เหม็นมาก” พูดแล้วก็ก้มลงมองเสื้อตัวเองที่เปื้อน
“อือ...งั้นเจอกันที่รถพี่นะครับ”
“ค่ะพี่” แล้วทั้งสองก็แยกจากกันไปคนละทาง
มุมปากหนาของคนที่อายุพันสามร้อยปียกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาของสัตวแพทย์ของตนเอง ก่อนจะหันมาสั่งงานพาทีคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง
“คืนนี้เธอต้องอยู่บนเตียงของฉัน” น้ำเสียงเรียบตึงเอ่ยสั่งงานคนสนิท
“ครับท่าน” พาทีรับคำยิ้มกริ่ม เพราะนานแล้วที่เจ้านายไม่สนใจในสตรีคนไหน แต่กับสัตวแพทย์สาวคนนี้ทำไมถึงต้องการ ถึงอยากรู้เหตุผล แต่ก็ไม่กล้าซักถามผู้เป็นนาย
นาสูรยกยิ้มยกมือขึ้นคลึงกลีบปากตัวเองไปมาเมื่อนึกถึงกลิ่นกายหอมๆ ที่สูดดมเมื่อคืนแล้วก็หลับตาเคลิ้บถึงยามที่เจ้าหล่อนบิดกายดิ้นเร่าอยู่ใต้ร่างยามเขาสอดใส่กระแทกกายเนื้อหนักหน่วงเข้าออกเป็นจังหวะ แค่เพียงคิดถึงเขาก็ร้อนรุ่มขึ้นมาแล้ว และมันก็ทำให้นาสูรอดสงสัยความต้องการตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงได้รู้สึกอยากแนบกายสัมผัสสัตวแพทย์สาว ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาไม่เคยสนใจพนักงานของตัวเองเลย ยามกระหายกามเขามักจะให้พาทีไปจัดเตรียมสาวๆ จากในเมืองมาให้ตลอด แต่ครั้งนี้เพียงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของหล่อน เขาก็อยากแนบอิงชิดใกล้มากกว่าที่ได้สัมผัสมาเมื่อคืน
หึหึ
พาทีเหลือบตามองเจ้านายที่อยู่ๆ ก็ขำออกมา เขารู้สึกขนลุกหวาดกลัวแทนผู้หญิงคนเมื่อกี้ขึ้นมาทันที ด้วยรู้จักเจ้านายดี ภายใต้ใบหน้าแสนจะเย็นชานั้นมันซุกซ่อนเทพแห่งกามไว้ หากผู้หญิงคนไหนถูกหมายมาดไว้แล้วไม่มีทางจะรอด และถึงขั้นหมดแรงคลานลงจากเตียงเลยทีเดียว
คนที่ไม่รู้อนาคตกำลังหัวเราะคิกคักกับรุ่นพี่ที่แสนจะอบอุ่น บอกได้เลยว่าตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ได้ร่วมงานกัน ทำงานด้วยกัน เธอรู้สึกดีมาก แต่บอกไม่ได้ว่ามากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องไหม พุดซ้อนแยกตัวออกไปรับโทรศัพท์เมื่อเพื่อนรักโทรมาหา ส่วนพลชก็เดินเลือกซื้อของรอหญิงสาวที่มาด้วย
“ไงแก” ทันทีที่กดรับสายก็ทักปลายสายทันที
“หายเงียบไปเลยนะแก เนี่ยทำงานหรือจีบรุ่นพี่ฮึ” ฟ้าใสเอ่ยแซวมาใส่สาย เพราะเพื่อนรักชอบเล่าเรื่องสัตวแพทย์รุ่นพี่ที่ทำงานคู่กันให้ฟังเป็นปะจำ
“บ้าแก ใครจะจีบ เราแค่พี่น้องกัน ว่าแต่แกเถอะ ที่ฟาร์มแกไม่ยุ่งเหรอถึงโทรมาหาได้วันนี้”
“ไม่อ่ะ ว่างทั้งวัน แล้วแกเถอะ ว่างคุยไหมหรือยุ่งกับวัว ควาย หมู หมา กา ไก่ อยู่”
“ว่าง ออกมาซื้อของกับพี่หมอไม้”
“แหม! ละบอกไม่จีบ แต่มาซื้อของด้วยกันเนี่ยนะ ฉันว่าพี่หมอไม้หน้าตาดีเลยนะ หล่อชะลูดก้นปอดเลยแก” ก็เพื่อนชอบแอบถ่ายรูปส่งมาให้ดูและเธอก็กรี๊ดทุกครั้งที่เห็นรูปที่เพื่อนแอบถ่ายชายหนุ่มส่งมาให้
“ก็ไม่ได้จีบ แค่มาซื้อของ แค่นี้ก่อนนะแก ค่อยคุยกันใหม่ ฉันเกรงใจพี่หมอไม้น่ะ ติดรถพี่เขามา”
“อือ...แล้วค่อยคุยกัน ว่าแต่ไม่จีบแน่นะ ถ้าไม่...ฉันขอนะแก”
“อือ...ไม่จีบ” เธอยืนยันไม่เต็มเสียงพร้อมกดวางสายจากเพื่อนแล้วเดินกลับไปหาคนที่เดินเลือกซื้อของในร้านรอท่าตัวเองอยู่