EP 1 | เทพบุตร
“เจนิส!”
“ขา~ พี่เฟรยา”
ฉันรีบวิ่งลงบันไดมาด้วยความไวแสงเมื่อพี่สาวคนสวยของฉันเริ่มเรียกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแล้ว เนื่องจากเธอเรียกฉันครั้งนี้เป็นรอบที่ห้า
“ลงมาแล้วค่าา~”
“ทำอะไรอยู่ไหนบอกว่าวันนี้มีนัดสัมภาษณ์งานไงเดี๋ยวก็ไปสายหรอก”
พี่เฟรยาบ่นพลางยกจานกับข้าวที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ เดินมาว่าลงบนโต๊ะอาหาร พี่เฟรยาเป็นพี่สาวต่างพ่อของฉันเองค่ะ เราอายุห่างกันห้าปีแม่ของฉันหย่ากับพ่อของพี่เฟรยาแล้วมาแต่งงานกับพ่อของฉันแต่ตอนนี้พ่อของฉันเสียไปแล้วล่ะคะ ส่วนแม่ก็แต่งงานกับสามีใหม่ไปแล้ว
พี่เฟรยาพาฉันมาอยู่ด้วยเพราะเราสองคนไม่ค่อยชอบสามีใหม่ของแม่เท่าไหร่นักแต่ก็ห้ามอะไรไม่ได้เพราะแม่ทั้งรักทั้งหลงสามีคนนี้สุดๆ
บ้านหลังนี้เราอยู่กันสามคนค่ะ มีฉัน พี่เฟรยาและพี่เจสันสามีของพี่เฟรยานั่นเอง ทั้งสองคนแต่งงานอยู่ด้วยกันมาสามปีแล้วค่ะ
“ไม่สายหรอกค่ะ นัดเอาไว้ตอนสิบโมงนู้น”
“สัมภาษณ์งานเราควรไปรอก่อนเวลาประมาณสิบถึงสิบห้านาทีนะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะคุณแม่”
เพียะ!
“ล้อพี่เหรอ”
พี่เฟรยายื่นมือมาตีที่ต้นแขนของฉันเบาๆ พลางทำหน้ายู่ ฉันจึงหัวเราะออกมาเมื่อแกล้งพี่สาวของตัวเองสำเร็จ
“บ่นอะไรน้องแต่เช้าครับที่รัก”
พี่เจสันเดินถือกระเป๋าทำงานลงมาจากชั้นบนก่อนจะวางกระเป๋าที่โซฟาห้องนั่งเล่นแล้วเดินกลับมานั่งลงที่หัวโต๊ะที่นั่งประจำของเขา
“เจนิสหาว่าเค้าขี้บ่นเหมือนแม่”
พี่เฟรยาฟ้องสามีตัวเองพลางทำหน้าออดอ้อนทำให้พี่เจสันปรายตามามองฉันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา
“ก็เหมือนแม่นะ”
“ที่รัก!”
“ฮ่าๆ ผมหมายถึงแม่ของลูกครับ”
ฉันคิดว่าฉันไม่ควรนั่งอยู่ตรงนี้เลยค่ะ ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนแต่งงานกันแล้วความหวานก็ไม่มีลดน้อยถอยลงเลย
พี่เฟรยาได้ยินสามีพูดแบบนั้นก็เขินจนยืนตัวบิดไปมาก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อถอดผ้ากันเปื้อนแขวนเอาไว้แล้วจึงเดินกลับมานั่งฝั่งตรงข้ามของฉัน
“อุ้ย!”
“เป็นอะไรเจนิส”
“สงสัยมดจะกัดขามั่งคะ”
ฉันตอบพี่เฟรยากลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปกติทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ปกติเลย ตอนนี้ฉันกำลังมีเรื่องที่ลำบากใจมากที่สุดในชีวิตเพราะสาเหตุที่ฉันสะดุ้งเมื่อกี้ไม่ได้มาจากมดที่กัดขาแต่มาจากพี่เขยของฉันต่างหาก
พี่เจสันยื่นเท้าของเขามาถูไถกับเท้าของฉันที่ใต้โต๊ะอาหาร ฉันไม่รู้ว่าจู่ๆ มันเกิดอะไรขึ้นแต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพี่เจสันมักจะมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ
ช่วงแรกฉันก็ไม่ได้สนใจหรอกค่ะ คิดว่าฉันอาจจะคิดมากไปเองแต่พักหลังเขาเริ่มทำตัวแปลกๆ ขึ้นจนฉันรู้สึกอึดอัดและคิดว่าฉันควรจะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์แบบนี้จะดีกว่า
วันนี้ฉันจึงมีนัดกับนายหน้าออกไปดูคอนโดค่ะ ที่ต้องโกหกพี่เฟรยาว่าไปสัมภาษณ์งานเพราะฉันไม่อยากให้พี่เฟรยาสงสัยก็เลยคิดว่าจะหาห้องเช่าให้ได้ก่อนแล้วค่อยบอกค่ะ
สาเหตุที่ฉันไม่ได้บอกพี่เฟรยาไปตามตรงเพราะพี่สาวของฉันรักพี่เจสันมากและพฤติกรรมของพี่เจสันก็ยังเป็นแค่ข้อสันนิษฐานของฉัน ฉันไม่อยากทำให้พี่สาวรู้สึกแย่
“เฟรยาบอกว่าวันนี้เราจะไปสัมภาษณ์งานเหรอ”
พี่เจสันเอ่ยถามระหว่างที่เรากำลังรับประทานมื้อเช้ากันอยู่ เขาถามด้วยสีหน้าปกติในขณะที่เท้าของเขายังคงยื่นมาถูไถเท้าของฉันไม่หยุด
“ใช่ค่ะ ใกล้จะสายแล้วด้วยเจนิสออกไปเลยดีกว่า”
ฉันรีบลุกขึ้นออกจากโต๊ะอาหารทันที ไม่อยากจะอยู่ในสถานการณ์อึดอัดแบบนี้เลยจริงๆ
“ติดรถพี่ออกไปก็ได้นะ พี่จะออกไปทำงานแล้วเหมือนกัน”
“อิ่มแล้วเหรอคะ เพิ่งทานไปแค่นิดเดียวเอง”
พี่เฟรยาเอ่ยถามพลางมองหน้าสามีด้วยความงุนงงเพราะพี่เจสันเพิ่งจะทานไปได้ไม่กี่คำก็ดันลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเสียอย่างนั้น
“พอดีผมมีงานที่ต้องรีบเคลียร์ที่บริษัทครับ วันนี้ประชุมใหญ่ด้วย”
พี่เจสันทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของสายการบิน แคสเซียนแอร์ไลน์ เป็นสายการบินชั้นนำของเบคาเทียเลยค่ะ ได้ยินมาว่าเจ้าของสายการบินหล่อมากเป็นคาสโนว่าตัวพ่อสุดๆ แต่ฉันก็ไม่เคยเจอตัวจริงเขาหรอกนะคะ เคยได้ยินผ่านๆ เท่านั้น ฉันไม่ได้สนใจข่าวในแวดวงธุรกิจเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรค่ะ เจนิสไปเองสะดวกกว่าพี่เจสันทานข้าวต่อเถอะค่ะ”
ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติสุดๆ เพื่อไม่ให้พี่เฟรยารู้ว่าฉันกำลังไม่พอใจ ไม่เข้าใจเลยว่าช่วงนี้พี่เขยของฉันเป็นอะไรถึงได้อยากมาวอแวกับฉันนัก
“ไปกับพี่จะได้เก็บเงินค่ารถเอาไว้ไง”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”
“รบกวนอะไรล่ะ เราคนในครอบครัวนะ”
“เจนิสอยากไปเองค่ะ!”
ด้วยความรำคาญฉันจึงเผลอพูดประโยคนั้นเสียงดังไปหน่อยทำให้ทั้งพี่เฟรยาและพี่เจสันต่างสะดุ้งกันทั้งคู่ เฮ้ออ~ เขาทำให้ฉันเผลอหงุดหงิดออกมาจนได้
“ขอโทษนะคะ เจนิสอยากไปเองจริงๆ”
“ให้น้องไปเองเถอะค่ะ เจนิสโตแล้วที่รักไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
พี่เฟรยาพูดพลางส่งยิ้มบางๆ ไปให้พี่เจสันก่อนจะหันมาพยักพเยิดหน้าให้ฉันออกไปได้ ฉันจึงส่งยิ้มให้พี่สาวตัวเองก่อนจะรีบชิ่งออกจากบ้านทันที
ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีฉันก็เดินทางมาถึงคอนโดที่นัดกับนายหน้าเอาไว้ คอนโดที่นี่สวยมากและก็หรูหราหมาเห่าสุดๆ ฉันเลือกที่นี่เพราะเห็นประกาศของนายหน้าที่โพสหาคนเช่าห้องด่วนแถมราคายังถูกมาก ถูกจนน่าตกใจ
ข้อสันนิษฐานของฉันเลยคือห้องนี้อาจจะมีผีเพราะห้องหรูหราไม่น่าจะปล่อยเช่าราคาถูกได้ขนาดนี้
พลั่ก!
“โอ๊ย!”
เพราะมัวแต่เดินก้มหน้ากดหาเบอร์โทรของนายหน้าในโทรศัพท์จึงทำให้ฉันเดินชนกับผู้ชายคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
“ขอโทษค่ะ”
ผู้ชายคนนั้นเอ่ยขอโทษโดยที่แขนทั้งสองข้างของเขายังคงประคองกอดฉันเอาไว้ไม่ให้ล้มลงก้นกระแทกพื้น
เขาพูดค่ะ?
เป็นผู้ชายที่พูดคำว่าค่ะได้ละมุนมากและไม่ได้ละมุนแค่คำพูดนะคะเพราะใบหน้าของเขาก็หล่อละมุนสุดๆ พ่อเทพบุตร พ่อพระเอกซีรีส์เกาหลี รู้ตัวอีกทีมือของฉันก็ยกขึ้นแตะที่แก้มของเขาซะแล้ว
ผิวก็เนียนนุ่มอะไรขนาดนี้
OoO!!
“ว๊าย! ขอโทษค่ะ”
เมื่อตั้งสติได้ฉันก็รีบดีดตัวออกจากอ้อมกอดของเขาแล้วโค้งคำนับขอโทษทันที บ้าเอ้ย! แกทำอะไรลงไปยัยเจนิส!
ไปยื่นมือลูบแก้มของเขาแบบนั้นได้ยังไง!
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
เขายังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ มือทั้งสองข้างยื่นลงไปล้วงกระเป๋ากางเกง ทำไมถึงได้ดูดีขนาดนี้นะ
ผมสีน้ำตาลคาราเมลที่หยักศกเล็กน้อยถูกเซตจัดทรงอย่างดี เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวและสูทสีครีมยิ่งเสริมให้เขาดูเหมือนเทวดาที่ลอยลงมาจากสวรรค์
“ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นไร ขอโทษอีกครั้งนะคะที่มัวแต่มองโทรศัพท์จนเดินชนกับคุณ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ”
เขาตอบกลับพลางส่งยิ้มให้ฉันแล้วเดินเลี่ยงออกไปโดยมีผู้ชายสวมชุดสูทสีดำท่าทางเหมือนบอดี้การ์ดเดินตามหลังไปสองคน ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นคนรวยมากแน่ๆ
Rrrr Rrrr~
สายเรียกเข้า ‘คุณเจได’
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเรียกสติฉันกลับมาอีกครั้ง นี่ฉันเผลอมองตามเขาจนสุดสายตาเลยเหรอเนี้ย
ช่วยไม่ได้ ก็เขาเกิดมาหล่อเองทำไมล่ะ?