EP : 10
“ไหวไหมคะพี่ลุค”
“อื้ม โทษทีพี่ง่วงจริง ๆ กี่โมงแล้ว แล้วเราได้นอนรึยัง”
“กำลังจะนอนค่ะแต่เห็นรถพี่ลุคยังจอดอยู่เลยลงมาดู”
“อ่อ แล้วนี่กี่โมงแล้ว”
“กี่โมงแล้วก็ช่างเถอะค่ะสภาพนี้พี่ลุคขับรถกลับไม่ไหวหรอก ขึ้นไปนอนข้างบนดีกว่า เร็วค่ะเอยง่วงแล้ว”
“...”
“เร็วสิคะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็สว่างแล้วนะ”
“...ล่อลวงพี่รึเปล่า?”
“ไร้สาระ ถ้างั้นก็งีบบนรถต่อแล้วกันค่ะ ถึงคอนโดเมื่อไหร่ส่งข้อความบอกด้วยนะ” ฉันบอกพี่ลุคที่แกล้งหรี่ตาแล้วถามฉันออกมาเหมือนกำลังไม่ไว้ใจฉัน พูดจบก็หมุนตัวเตรียมขึ้นห้องไปนอน
“เดี๋ยว ๆ เอย พี่ไปด้วย” เสียงพี่ลุคไล่หลังมาฉันเลยเดินช้าลงแต่ไม่ได้หันไปมองนะแค่เดินช้าลงเพื่อรอเท่านั้นและไม่นานเขาก็ตามมา
“ที่ห้องมีโซฟาไหม”
“มีค่ะ”
“เสียดาย”
“คะ?”
“เสียดายไง น่าจะไม่มีพี่จะได้ไม่มีที่นอน”
“ไม่ต้องห่วงค่ะเอยมีผ้าห่มสำรองให้พี่ลุคปูนอนที่พื้นได้”
“เด็กใจร้าย”
“ฮ่า ๆๆ ขึ้นข้างบนได้แล้วค่ะเอยง่วงมาก”
“โอเคครับ”
หมับ~
“ฮึ?” ฉันส่งเสียงในลำคอนิดหน่อยแล้วหันไปมองเขาที่ตีเนียนจับมือฉันหน้าตาเฉย
“จับมือเฉย ๆ พี่กลัวหลงทาง ไม่เคยขึ้นห้องเรา”
“ตลกแล้วค่ะ”
“เถอะน่า” พี่ลุคพูดพร้อมกับบีบกระชับมือซึ่งฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่เป็นไรหรอกมั้งแค่จับมือเอง
ฉันพาพี่ลุคเข้ามาในห้องใจก็แอบรู้สึกหวั่นแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันเพราะความรู้สึกผิดในใจที่ทำให้พี่ลุคไม่ได้หลับได้นอนทำให้ฉันปล่อยให้เขานอนบนรถส่วนตัวเองนอนสบายบนเตียงไม่ได้
“ห้องน่ารัก” เข้ามาในห้องเขาก็มองสำรวจรอบห้องก่อนจะเอ่ยคำชม
“ห้องผู้หญิงนี่คะ พี่ลุคนอนโซฟานะคะ” ฉันชี้ไปที่โซฟาตัวเล็กขาดสองที่นั่งเพราะไม่มีที่ไหนที่เขาจะนอนได้แล้วนอกจากโซฟาไม่ก็พื้น
“โอเคครับ ถ้างั้นเรานอนเถอะพี่ไม่กวนแล้ว”
“เอย...ไว้ใจพี่ลุคได้ใช่ไหมคะ” ก่อนที่จะไปล้มตัวนอนฉันคงไม่สามารถนอนได้ถ้าไม่ถามคำนี้ออกมา
“ได้สิ พี่ไม่ทำอะไรเอยหรอกน่า” เขารับปากพร้อมกับยิ้มเอ็นดูฉันเลยหยักหน้ายิ้มนิดหน่อยแล้วหมุนตัวไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบห้าห่มที่มีสำรองมาให้เขา
“เอย”
“คะ”
“ขออาบน้ำได้ไหม”
“อ้อจริงสิโดนลมทะเลมาเหนียวตัวแย่เลย เดี๋ยวเอยหยิบผ้าเช็ดตัวให้ เอยไม่มีของใหม่นะคะแต่เอยซักเรียบร้อยแล้ว ไม่ถือใช่ไหมคะ”
“ไม่ครับ” เขาตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้...ช่างมันเถอะ
“โอเคค่ะ” ฉันเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวสีชมพูอ่อนออกมาให้เขาแทนที่จะเป็นผ้าห่มแล้วก็หยิบแปรงสีฟันที่ซื้อมาสำรองเอาไว้เปลี่ยนของตัวเองให้เขาด้วย
“พี่ลุคอาบน้ำเลยนะคะเดี๋ยวเอยเตรียมที่นอนไว้ให้”
“โอเค ขอบคุณครับ” พี่เขายิ้มตกลงก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำส่วนฉันก็หยิบผ้าห่มจากตู้แล้วก็เอาหมอนจากเตียงมาวางไว้ที่โซฟาให้เขา มันอาจจะเล็กไปหน่อยแต่ก็คงดีกว่านอนบนรถมั้งจากนั้นก็ปิดไฟในห้องเปิดโคมไฟตั้งพื้นข้างโซฟาไว้ให้พี่ลุคแทนแล้วล้มตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าให้มิดชิดที่สุด
ฉัน...กลัว
ฉันเคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในห้องนอนถึงจะเป็นห้องนอนที่บ้านไม่ใช่ห้องนี้แต่มันก็คือห้องนอนของฉันไม่ต่างกัน ห้องนอนของฉันที่ควรจะเป็นที่ ๆ ปลอดภัยที่สุดสำหรับฉันมันกลับเป็นที่ ๆ ฉันโดนกระทำชำเราให้ตัวเองรู้สึกตกนรกทั้งเป็นฉันถึงได้กลัวไง
กลัวเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นซ้ำสอง
กลัวประวัติศาสตร์จะ...ซ้ำรอย
แอด~
ฉันห่มผ้าจนแทบจะคลุมโปง ม้วนผ้าห่มเป็นดักแด้เหลือแค่จมูกตากับหัวที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมานอนหลับตาด้วยใจระทึก ต่อให้ที่ผ่านมาพี่ลุคจะดูแลฉันดีไม่เคยฉวยโอกาสแต่ฉันก็ระแวง ถึงจะชวนเขาขึ้นมานอนบนห้องเองก็ยังกลัวมากอยู่ดีเพราะมีเหตุการณ์ฝังใจทำให้ไม่กล้าไว้ใจใครโดยเฉพาะในพื้นที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้
ฉันไม่ได้ลืมตาหรือแม้แต่หรี่ตามองทั้งที่ห้องค่อนข้างสลัวแต่ก็พอได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่ลุคที่ใกล้เข้ามาใจฉันก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นเรื่อย ๆ ได้แต่บอกตัวเองให้อดทนไว้ก่อนแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พี่ลุคทำอะไรขึ้นมาฉันจะกรี๊ดให้คอแตกเลยคอยดู
“เอย”
“...”
“หึ ๆๆ ฝันดีนะเด็กน้อย” พี่เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากหัวเราะในลำคอแล้วกระซิบบอกพร้อมกับลูบหัวฉันแผ่วเบาก่อนที่เขาจะขยับมือออกแล้วเดินไป จากนั้นแสงสีแดงที่เห็นขณะหลับตาเพราะข้างนอกยังมีแสงไฟอยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าไฟในห้องถูกปิดจนห้องมืดสนิทแล้วฉันถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความโล่งใจที่พี่ลุคไม่ทำอะไรฉันจากนั้นไม่นานตาฉันก็เริ่มหนักขึ้นพร้อมกับสติที่ค่อย ๆ เลือนไป
#KWANAOEI END
#LUKE TALK
“ฮึก!”
“...” ผมได้ยินเสียงสะอื้นในขณะที่ผมกำลังจะหลับ เสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังขึ้นมาครั้งเดียวแล้วเงียบหายทำให้ผมไม่แน่ใจว่ามันคือเสียงอะไร เสียงขวัญเอยเหรอรึว่า...เสียงผี
“ฮึก!” เวลาผ่านไปพักหนึ่งท่ามกลางความเงียบผมที่นอนรอฟังจนกำลังจะเคลิ้มหลับก็ลืมตาขึ้นมาในความมืดเพราะผมไม่ได้หูฝาด ผมได้ยินเสียงสะอื้นจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่เสียงสะอื้นเพราะตอนนี้ผมได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังขยับตัวบนเตียงช้า ๆ
“ฮึก!” ขวัญเอยสะอื้นเหรอ?
“...เอย” ผมเรียกเธอเบา ๆ ท่ามกลางความมืดแต่ขวัญเอยก็ไม่ได้ขานรับ บางทีเด็กน้อยของผมอาจจะกำลังฝันร้ายเลยละเมอร้องไห้ก็ได้
“ฮึก! อย่า~” เสียงละเมอของเธอดังออกมาให้ได้ยินอีกครั้ง เธอไม่ได้ละเมอถี่แต่เว้นระยะห่างกันพอสมควรส่วนผมก็ได้แต่นอนฟังเงียบ ๆ และภาวนาให้เธอเลิกฝันร้ายเร็ว ๆ เพื่อที่เธอจะได้หลับสบายเพราะอีกไม่ถึงสามชั่วโมงก็เช้าแล้ว
“อย่า~”
“อย่าทำ อย่า...กรี๊ด!!!”
“เอย!” จากที่แค่นอนรอให้ขวัญเอยหายละเมอผมก็นอนอยู่ที่โซฟาไม่ติดเพราะเธอกรี๊ดออกมาจนดังลั่นห้อง เป็นเสียงกรีดร้องที่มัน...อ่าส์!
“กรี๊ด!!! ฮื่อ ๆๆ” เสียงขวัญเอยกรี๊ดออกมาอีกครั้งในระหว่างที่ผมกำลังควานหาสวิตซ์โคมไฟเพราะไม่คุ้นเคยกับห้องนี้แล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมาด้วยเสียงที่ดังจนน่าใจหาย
พรึ่บ!
“เอย!” ผมเปิดไฟเสร็จก็มองไปที่เตียงนอนถึงได้เห็นว่าตอนนี้ขวัญเอยลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าร้องไห้แถมยังตัวสั่นสะท้านด้วยท่าทางหวาดกลัวอยู่บนเตียง
“เอย! เอยเป็นอะไร” ผมรีบตรงไปหาเธอด้วยความเป็นห่วงแต่ขวัญเอยก็ยังร้องไห้ตัวสั่นไม่ต่างจากเดิม ท่าทางของเธอเหมือนไม่รับรู้ว่าผมกำลังถามหรือแม้แต่รับรู้ว่ามีผมอยู่ในห้องด้วยซ้ำ
“ฮื่อ ๆๆ” เสียงร้องไห้กับอาการของเธอทำให้ผมใจเต้นรุนแรงทั้งไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรเกิดอะไรขึ้นกับเธอทั้งสงสารที่เธอเป็นแบบนี้ แต่ที่ผมรู้ก็คืออาการของขวัญเอยตอนนี้เหมือนตอนที่เธอ...ร้องไห้คลุ้มคลั่งในวันนั้น
“เอย เอยเป็นไร” ผมนั่งลงที่เตียงเอื้อมมือไปจับมือเธอไว้พอผมแตะโดนมือขวัญเอยก็สะดุ้งแล้วมองหน้าผม
“ออกไป! อย่าเข้ามานะ! ออกไป! กรี๊ด!!!” เธอสะบัดมือออกตะคอกใส่ผมแล้วรีบขยับตัวไปที่มุมของเตียงพร้อมกับกรี๊ดออกมาอีกครั้ง
“เอยนี่พี่เอง”
“ออกไป! ฮื่อ ๆๆ ออกไป!” ขวัญเอยยังตะคอกใส่ผม ท่าทางหวาดกลัวของเธอทำผมเจ็บปวดที่ใจเพราะผมว่าผมเริ่มเดาออกแล้วว่าขวัญเอยเป็นอะไร
ถ้าเป็นตามที่ผมเดาขวัญเอยคงเพิ่งฝันถึงเหตุการณ์ร้ายที่ฝังลึกอยู่ในใจเธอ
“เอย เอยตั้งสติก่อน” ผมขยับลงจากเตียงช้า ๆ เพราะรู้สึกว่าขวัญเอยกำลังหวาดผวา บางทีการที่เธอเห็นว่ามีผู้ชายอยู่ใกล้เธอมากหลังจากที่เธอเพิ่งตื่นจากฝันร้ายอาจจะทำให้ขวัญเอยรู้สึกถูกคุกคามมากขึ้นก็ได้
“ฮึก! ออกไป” พอผมลงจากเตียงแล้วถอยหลังห่างออกมาขวัญเอยก็ดูเหมือนจะสงบลงแต่ความหวาดกลัวที่เธอมีก็ยังไม่ได้หายไป
“เอยนี่พี่เอง”
“...ฮึก!” ขวัญเอยมองผมทั้งน้ำตาและแน่นอนว่าแสงจากโคมไฟทำให้ผมเห็นความหวาดกลัวในสายตาเธอมันทำให้ผมเจ็บปวดที่ใจมาก
ผมเห็นเธอกรีดร้อง ร้องไห้จนตัวสั่น สายตามีแต่ความหวาดกลัวก็อยากตรงเข้าไปกอด อยากปลอบโยนเธอและบอกว่ามันจะไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเธออีกแล้ว
ผมอยากกอดขวัญเอยให้แน่นเพื่อให้เธอรู้สึกปลอดภัย ไม่ว่าจะเคยเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไรแต่นับจากนี้ไปเธอจะปลอดภัยถ้าอยู่ในอ้อมกอดของผม ผมจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนี้ต้องเจ็บปวดกับอะไรทั้งนั้นแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่มองเพราะเธอดูหวาดกลัวผมมากเหลือเกิน
“เอย” ผมขยับออกห่างอีกนิดหน่อยแล้วเรียกเธออีกครั้ง
“ฮึก!”
“เอยนี่พี่เอง เอยมองพี่ชัด ๆ” ผมพยายามเรียกสติเธอและบอกให้รู้ว่าเป็นผม ถึงแม้ว่า...อ่าส์! ทำไมมันอึดอัดแบบนี้วะ!
“...ฮึก!” ขวัญเอยมองผมไม่วางตาก่อนจะสะอื้นแต่สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็เริ่มจางหายไปทีละนิด
“ฝันร้ายเหรอเอย” ผมปล่อยให้เธอค่อย ๆ สงบลงก่อนจะถามออกไป ขวัญเอยดูเหมือนจะสงบลงแล้วถึงได้เช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้ารับ
“ค่ะ”
“ไม่เป็นไรนะเอยมันแค่ฝัน” ผมพยายามปลอบเธอแล้วขยับไปใกล้อีกครั้งแต่ก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปหาเพื่อดูท่าทีของเธอ พอเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้แล้วถึงได้นั่งลงที่เตียงเพื่อคุยกัน ตอนที่นั่งขวัญเอยผวานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากมองผมแล้วน้ำตาไหลเป็นทาง
“มันแค่ฝันร้ายนะเอย” ผมปลอบเธออีกครั้งด้วยความสงสาร
“แต่ถ้าฝันนั้นมันคือเรื่องเลวระยำที่เคยเกิดขึ้นกับเราคงใช้คำว่าแค่ไม่ได้หรอกนะคะพี่ลุค” เธอตอบผมแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา คำตอบของเธอทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเดาเอาไว้เป็นจริง
ขวัญเอยฝันถึงเรื่องนั้น ฝันถึงเหตุการณ์ณ์ที่เธอโดนไอ้สัตว์นรกมันข่มขืน!
“พี่รู้ แต่มันผ่านมาแล้วเอย ไม่เป็นไรนะครับ”
“แต่เอยฝันทุกวันเลยนะพี่ลุค ไม่เคยมีวันไหนที่เอยไม่ฝันแล้วก็ไม่กรี๊ดลั่นกลางดึกเลยสักคืน” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเหมือนมีดที่กรีดใจผม เจ็บว่ะ ผมโคตรเจ็บเลยที่รู้ว่าเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง และที่มากกว่านั้นคือเจ็บที่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอฝันร้ายแบบนี้อยู่ทุกคืน
“เอยไม่เคยบอกพี่”
“เอยไม่อยากบอก บอกแล้วเอยก็ฝันถึงมันอยู่ดี ฮื่อ ๆๆ” ขวัญเอยพูดจบก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้งส่วนผมก็ทำได้แค่นั่งมองเธอแล้วกำมือตัวเองแน่นด้วยหัวใจที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต
“...ขอโทษนะเอยที่พี่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”
...ขอโทษนะขวัญเอย
...ขอโทษที่ทำให้กลายเป็นแบบนี้
...ขอโทษที่สัตว์นรกตัวนี้มันเลวระยำมากเหลือเกิน