Love Pharmacist - 10 | สัญญาที่กลายเป็นเพียงน้ำลายไร้ราคา
(เคมี)
แปดวันหลังจากที่ผมกับเขามีการติดต่อกัน ทักหาผมทุกวันทั้งที่บางครั้งก็ไม่มีอะไรจะโต้ตอบ ตอนนี้ตามตัวผมเริ่มเห็นรอยเขียวช้ำกว่าเดิม มีอาการปวดแทบลุกไม่ไหว มีเขาคอยมาดูแลและอยู่เป็นเพื่อน แต่วันนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ข้อความทักทายที่ชอบส่งมาในยามเช้าก็ยังไม่มี ผมคอยมองไปยังหน้าจอมือถือ คือผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเฝ้ารอ อาจเพราะเริ่มชิน?
“น่าเบื่อจัง”
ตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้ากลับบ้าน ได้แต่โทรบอกพ่อกับแม่ว่าติดธุระแก้ต่างเพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นห่วง ผมเลือกที่จะปิดทีวีแล้วหยิบมือถือมาเล่น เลื่อนไปเลื่อนมาก็ดันมาเจอโพสต์ของแฟนเก่า ทำเอาผมรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ เมื่อภาพที่ผมเห็นมันคือภาพที่บ่งบอกว่าเธอกำลังมีอีกหนึ่งชีวิตกับคนที่เธอแต่งงานด้วย
“นับเดือน”
ผมมองภาพบนหน้าจอมือถือ แล้วเอ่ยชื่อผู้หญิงที่ผมรักพร้อมน้ำตาที่มันเริ่มเอ่อขอบตา ยิ่งมองผมก็ยิ่งเสียใจ เสียใจไม่สามารถปกป้องเธอได้ ต้องปล่อยมือเธอทั้งที่เคยสัญญา ไม่ว่ามีปัญหาอะไรเราสองคนจะเผชิญมันไปด้วยกัน และนั่นก็ดันเป็นเพียงน้ำลายที่ไร้ราคา ผมไม่สามารถทำได้อย่างที่สัญญา
“ยินดีด้วยนะ” ผมพิมพ์คอมเมนต์ไป ต่อท้ายประโยคด้วยอิโมจิรอยยิ้ม แต่จริงแล้วผมอวยพรเธอทั้งน้ำตา
“เราสองคนต้องจบแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม?”
ไม่ไหวที่จะมอง ผมวางมือถือลงข้างตัวแล้วฟุบหน้าลงเข่า ปล่อยเสียงร้องไห้โฮ ไม่อาจเก็บกลั้นน้ำตาได้แล้วจริง ๆ สิ่งที่บีบหัวใจผมแทบแหลกสลาย ผมไม่อาจรักษาเธอไว้ข้างกายได้ สุดท้ายต้องยอมปล่อย...แต่ผมจะทำได้ไหมในเมื่อตอนนี้ทุกครั้งที่หลับตา มันยังมีความทรงจำเก่า ๆ ผุดเข้ามาภาพจำของผมตลอดเลย
? เสียงแจ้งเตือนในมือถือดังขึ้น ทำให้ผมรีบคืนสติกลับมา
(ทำไรอยู่อะ)
“กินไก่ทอด”
(อย่ากินไก่หมดนะ)
“?”
(ก็ถ้าไก่หมดจานคือการหมดใจอะดิ)
“กูจะกินยันจานด้วยเลย เพราะกูรำคาญมึงมาก”
(โห เดี๋ยวนี้ขึ้นกูมึง?)
“แล้วจะทำไม”
(ก็ไม่ทำไม รำคาญแปลว่ารัก)
“แล้วแต่จะเข้าใจตามสันดานเถอะ”
(เริ่มหยาบคายละ)
“พอดีมีเพื่อนใหม่เป็นคนหยาบกระด้างอะครับ ศีลจะได้เสมอกัน”
(อ้อ ๆ เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพื่อนใหม่ท่าทางจะหน้าตาดีมากแน่ ๆ)
ผมตอบแชตด้วยการโกหกตั้งแต่ประโยคแรก น้ำตาที่ล้นขอบตาเริ่มเหือดหายไป เมื่อได้คุยกับเขาที่แม้จะไม่เห็นเงาแต่ข้อความของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ความยียวนที่สร้างความรำคาญ แต่ดันสร้างรอยยิ้มให้ผมได้เช่นกัน ผมไม่ตอบกลับประโยคสุดท้าย ปิดมือถือหนีเลยครับ ขี้เกียจตอบโต้ให้ยืดยาว จากนั้นผมจึงทิ้งตัวลงนอนจนหลับไป
ไม่รู้หลับไปนานแค่ไหนผมสะดุ้งตื่น เพราะเสียงที่ดังโครมครามตรงประตู พร้อมกับเสียงเรียกที่แว่วเข้าหูทำให้ผมต้องพรวดพราดลงจากเตียงอย่างลืมเจ็บ
“เฮ้อ...นึกว่าอะไร” เสียงเรียกชัดเจนว่าเป็นใคร ทำให้ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตู
“ทำบ้าอะไรอยู่วะเรียกตั้งนาน ไม่รู้หรือไงว่าคนเขาเป็นห่วง” โวยวายใส่หน้าผมทันที สีหน้าจริงจังคิ้วขมวด
“แล้วจะโวยวายเสียงดังทำไมวะ” ผมตอบโต้เสียงแข็ง
“กูเป็นห่วงมึงไง แชตไม่ตอบ มือถือแถมปิดเครื่องอีก”
“ก็นอนหลับ”
“ไอ้ควาย!”
“เอ้า บ้าปะเนี่ยจู่ ๆ ก็มาด่า”
“มึงมันสมควรโดนกูด่า”
เขาชี้หน้าด่าผมตั้งแต่เข้ามาในห้อง ท่าทางตอนนี้ยังคงโมโหไม่หาย ทำไมต้องดูโกรธขนาดนั้นก็ไม่รู้ คำด่าของเขาบางทีผมก็ควรจะชินได้แล้ว แต่บางครั้งมันก็รู้สึกว่าเขาด่าผมเกินไป ทั้งที่ไม่มีอะไรให้น่าด่าขนาดนั้น เขามันคนปากหมา!
“แล้วนั่นแขนไปโดนอะไรมา ทำไมมีผ้าพันแผล”
“มันก็ต้องมีแผลสิถามแปลก”
“ถามดี ๆ ทำไมต้องกวนตีนตลอด”
“กูก็เป็นคนแบบนี้แหละ หรือรับไม่ได้ก็ไม่ต้องมาคบ”
“ไปกันใหญ่ละ หัดมีเหตุผลบ้างดิ”
“เออกูมันคนไม่มีเหตุผล”
“จริง”
“ไอ้เคมี!”
“ไม่เถียงด้วยละ กินน้ำเย็น ๆ ดับความหัวร้อนซะ”
ผมเงียบไปชั่วครู่ ก่อนสายตาจะมองเห็นผ้าพันแผลที่อยู่บนแขนจึงถามขึ้น แต่ดันไม่ได้คำตอบตามที่คาดหวัง ได้แต่คำด่ามาแทน เลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบปาก เดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาให้แทน
“ใจเย็นลงบ้างหรือยัง”
“อืม”
“ตอบมาดี ๆ ว่าไปทำอะไรมาถึงได้มีแผลบนแขน”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยที่ไซต์งานก่อสร้าง”
“ก็ตอบดี ๆ ได้นี่นา ทำไมต้องชอบเสียงดัง”
“ไม่รู้”
ผมเดินไปนั่งตรงข้ามแล้วถามเขาอีกครั้ง เขาตอบผมไม่มองหน้า ชักสีหน้างอน ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร ตัวโตเป็นควายแต่นิสัยบางครั้งก็เป็นเด็กสามขวบ แต่บทจะห่ามก็ห่ามสุด ๆ หลายบุคลิกจริงคนนี้ ที่ผมถามก็ไม่อะไรมากคือจากลักษณะของการพันแผลดูแล้วไม่น่าจะเป็นบาดแผลเล็ก ๆ ห่วงเขานั่นแหละ
“ไฟฟ้าอายุสามขวบ” ผมแซว
“ใครสามขวบเดี๋ยวตบปากแตก” เก่งเหลือเกินครับเรื่องใช้กำลัง แต่ท่าทางคงจะเขินที่โดนผมแซว
“ก็มันจริง ดูท่าทางนายตอนนี้ดิ เหมือนคนอายุใกล้เข้าเลขสามหรือไง ก็ใกล้แหละเนอะสามขวบ”
“ยังจะพูดมากอีก”
“นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานไม่ใช่ไง ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”
“เจ็บแขน”
“แล้วทำไมไม่กลับบ้านไปพักผ่อน”
“เรื่อง ของ กูครับ”
“เฮ้อ ปวดหัวกับนายจริง ๆ ไปนอนต่อละ”
“นอนด้วย!”
พูดจบผมก็เดินไปยังเตียงนอน แต่ก็มีม้าไวกระโดนขึ้นเตียงตัดหน้าผมก่อน ก็ได้แต่ส่ายหัวเอือมระอา ก่อนจะเอนตัวนอนข้างเขาที่หันหลังให้ ความเป็นเพื่อนที่ผมรู้สึกว่าสนิทกันไวมาก เวลาที่ผมอยู่กับเขาก็รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งผิดจากแต่ก่อน