Love Pharmacist - 11 | เรื่องของวันวาน
(ไฟฟ้า)
ผมตีมึนรีบกระโดดขึ้นเตียง ทั้งที่เจ้าของห้องยังไม่อนุญาต แกล้งทำทีว่าผมนอนหลับได้ยินเขาบ่นอะไรสักอย่างผมได้ยินไม่ชัด ถ้าหากผมช้าก็กลัวว่าเขาจะไล่ตะเพิดกลับบ้าน เลยต้องอาศัยความหน้ามึนหน้าด้านที่มีเป็นเอกลักษณ์ เข้าใจผมใช่ไหมที่ทำแบบนี้ ผ่านไปราวยี่สิบนาทีผมก็พลิกตัวด้วยความเบาที่สุด มองหน้าคนที่นอนหลับสนิท แล้วเริ่มใช้ความคิดว่าหลังจากนี้ผมจะได้รับสถานะที่มากกว่าคำว่าเพื่อนนี้ไหม
“เมื่อไหร่จะเป็นได้มากกว่านี้”
“.....”
จ้องมองใบหน้าที่ขาวเนียนเหมือนผิวผู้หญิงของคนตรงหน้าที่ยังมีรอยช้ำ แล้วพูดขึ้นมาลอย ๆ ภายในใจหวังลึก ๆ ว่าผมจะได้รับโอกาสนั้นสักครั้ง
“ได้สักครั้งจะไม่ยอมพลาดเลย”
“.....”
ผมก็ยังคงพูดคนเดียวพร้อมสายตาที่มองนายเคมี เปลือกตาที่ปิดสนิท ใบหน้าที่ดูสมส่วน เหมือนกับพระเจ้าตั้งใจปั้นขึ้นมา ทำให้ผมไม่อยากจะละสายตามองไปทางอื่น มันคือสิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้ คอยแต่จินตนาการด้วยความหวังว่าจะสักวันเขาจะเปลี่ยนใจ แม้จะดูยากเหลือเกินกับการพลิกหัวใจของใครสักคนที่มันแตกต่างราวฟ้ากับเหว ให้มาเดินบนเส้นทางเดียวกัน
สายตาที่จ้องมองไม่กะพริบ กับความรู้สึกลึก ๆ ที่ผมเก็บกลั้นเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ สมองที่มันสั่งการว่าให้ผมค่อย ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสผิวหน้าเนียนละเอียดที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ผมบรรจงลูบไล้อย่างเบามือเพียงไรขนเพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกตัวตื่น ความรู้สึกที่มันห้ามไม่ใจสมองที่แสนจะสั่งการตามหัวใจเรียกร้อง ผมค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าที่เคยอยู่ห่างกันเริ่มชิดใกล้ จนลมหายใจของเขากระทบลงผิวแก้มของผม
“0.0 ทะ ทะ ทำอะไร”
“เปล่า...แค่หิวน้ำ”
“ก็ไปกินดิ”
ดวงตาเปิดกว้างที่กำลังมองทำให้ผมตกใจจนต้องกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ เขาถามด้วยน้ำเสียงติดขัด ผมจึงรีบตั้งสติให้คงที่แล้วตอบเขาด้วยความโกหก ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำจริง ๆ
“น้ำมันวางฝั่งนาย”
“อ้อ เดี๋ยวเทให้ แขนเจ็บไม่ใช่หรือไง”
“อะ อืม”
ผมขยับตัวออกห่างแล้วบอกเขาและมองสื่อไปยังขวดน้ำที่วางอยู่ตู้ข้างหัวเตียงฝั่งเขา จึงทำให้เขามองตามและหยิบขวดน้ำยื่นให้ผม เกือบไปแล้วครับดีที่สายตาไวและมีไหวพริบอันชาญฉลาด ไม่อย่างนั้นผมคงพลาดไปแล้ว
“ทำไมตื่นไวหรือว่าจะกลับบ้านแล้ว”
“ก็บอกว่าหิวน้ำ”
เขาถามพร้อมกับรับขวดน้ำที่ผมดื่มเสร็จแล้ว ใครจะอยากกลับกันล่ะ ผมจึงรีบตอบย้ำไปอีกครั้งด้วยประโยคเดิมก่อนหน้า
“เจ็บแผลว่ะ”
“ก่อนหน้าได้กินยาบ้างยัง”
“ยัง”
“ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง...รอแป๊บเดี๋ยวหยิบยาแก้ปวดให้”
รู้สึกเจ็บแปล๊บตรงแผลที่โดนเหล็กตกใส่จึงพูดขึ้น เขาจึงได้ถามผม จากนั้นก็บ่นเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลงจากเตียงแล้วเดินออกไป และไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกระปุกยา
“อะ กินซะไม่งั้นจะปวดมากกว่าเดิม”
“ขอบใจ”
“เอ้า! นายนี่มันจริง ๆ”
เขายื่นยามาตรงหน้าพร้อมกับขวดน้ำขวดเดิมที่ผมดื่มไม่หมด ผมจึงโน้มหน้าลงบนฝ่ามือที่มียาวางอยู่ ทำให้เขาเกือบชักมือกลับแต่ก็ไม่ทำ คงตกใจเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับผมมันโคตรจะรู้สึกดี แม้จะเป็นความรู้สึกฝ่ายเดียวก็ตาม มันก็ทำให้ผมยิ้มได้
“ช่วยนิดหน่อยทำเป็น...ก็เห็นอยู่ว่าแขนมีแผล”
“แขนมีแผลข้างเดียวไหม?”
“เอาไว้ยกขวดน้ำดื่มไง”
“เห็นว่าไม่ปกติหรอกนะถึงไม่อยากจะเถียงด้วย”
“เด็กดีของเฮีย”
“เหอะ”
ผมแสร้งทำเป็นชักสีหน้าใส่แล้วอ้างสิ่งที่เป็น แต่เขาก็ย้อนผมซะเกือบสะดุด แต่ก็รอดมาได้ด้วยไหวพริบที่มี คงจะเอือมระอาเขาจึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้ ผมจึงยกมือข้างที่ไม่มีบาดแผลลูบผมของเขาเบา ๆ พร้อมการพูดแซว
“นายไม่นอนต่อเหรอ”
“ไม่ล่ะ นายอยากจะนอนก็นอนไป”
“งั้นนอนนะ”
“แล้วแต่”
ผมถามเมื่อเห็นเขานั่งลงพิงกับหัวเตียงและหยิบมือถือขึ้นมาเล่น เขาเลิกสนใจผมทันทีเอาแต่มองหน้าจอมือถือ สังเกตเห็นว่าเขาดูนิ่งไปจากเดิม ผมจึงยืดคอยาวแอบมองไปยังหน้าจอของเขา เป็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมเดาว่าคงเป็นแฟนเก่าที่ทิ้งเขาไป ชำเลืองมองหน้าเขามันดูเศร้า เขาคงยังตัดใจจากเธอไม่ได้สินะ
“ใครอะ?”
“.....”
“แฟนเก่าเหรอ?”
“อืม”
ผมแกล้งถามทั้งที่คิดว่าเดาถูก เขาเงียบและรีบเก็บมือถือลง ผมจึงลองถามอีกครั้ง เขาแค่นเสียงตอบในลำคอพร้อมพยักหน้าตอบรับ
“ก่อนหน้าก็เห็นเธอลงรูปคู่กับสามีพร้อมแผ่นฟิล์ม”
“แล้วไง?”
“ทำใจไม่ได้ ผมรักเธอที่เป็นรักแรก”
เขาบอกเล่าให้ฟังพร้อมดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ เห็นแล้วผมก็อยากจะปลอบเขาด้วยความใกล้ชิด แต่คิดว่าคงยังไม่เหมาะสม ผมจึงทำได้เพียงตบบ่าของเขาเบา ๆ เท่านั้น มันคือการปลอบในแบบสถานะเพื่อน แม้ภายในใจของผมจะคิดไกลไปมากกว่านั้นก็ตาม
“ผมคงไม่มีโอกาสอีกแล้วจริง ๆ”
“รู้แล้วก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอดีตเถอะ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ดวงตาที่แดงมองมายังผมด้วยรอยยิ้มที่ไร้ความสดใส มันเป็นรอยยิ้มแห่งความเจ็บปวด เขาคงจะปวดใจมากจริง ๆ เพราะน้ำตาเสมือนความอ่อนแอที่ลูกชายไม่ควรแสดงออกมาต่อหน้าคนอื่น ผมสัมผัสได้แบบนั้น
“ไม่รู้จะปลอบยังไงว่ะ กูยิ่งปลอบคนเสียใจไม่ค่อยเป็น”
“ไม่ต้องปลอบหรอก”
“แต่กูก็อยากปลอบมึงนะ”
“อย่าเลยเดี๋ยวผมเสียใจหนักกว่าเดิม”
“สัส!”
เกือบจะดีอยู่แล้ว แต่มันก็ดันเบรกผมซะงั้น ทำให้ผมต้องปล่อยหมาออกจากปากในทันที แอบเห็นว่าเขามีเสียงหัวเราะเยาะผมเล็กน้อย ดีเหมือนกันอย่างน้อยความปากหมาของผมก็เรียกเสียงหัวเราะให้เขาได้บ้าง