Love Pharmacist - 07 | เพื่อนกัน
-เพื่อนกัน-
(เคมี)
“เลี้ยงข้าวผมวันนี้เลยไหม?”
“หิวจริงหรือว่าแค่กวนตีนเล่น”
“ไม่สะดวกสินะ”
“ดูสภาพผมซิว่ามันน่าสะดวกตรงไหน?”
“ก็ยังไม่ตายนะ ปากยังดีอยู่”
ระหว่างที่เราสองคนเดินมา ผมต้องหยุดทั้งสองขาทันที เมื่อเขาพูดประโยคเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกอึ้งกับเขาคนนี้จริง ๆ ก็ทั้งที่พอเข้าใจแหละว่ามีลักษณะนิสัยแบบไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะห่ามได้ใจขนาดนี้ สภาพบวมช้ำปากแตกผมคงอ้าปากเคี้ยวข้าวได้มั้ง
“คุณเห็นผมเป็นเทพเซียนจากสวรรค์หรือไง ที่จะรักษาตัวเองให้หายได้ภายในพริบตาอะ...ดูสภาพผมก่อนไหมคุณวิศวะ”
“ผมชื่อไฟฟ้าไม่ใช่วิศวะ”
“ชื่อไรก็ช่างเหอะ เลิกกวนผมสักวันจะตายไหมอะ”
“ก็เห็นดูเครียด ๆ ไงเลยอยากช่วยให้อารมณ์ดี”
“เฮ้อ...อยากด่าแต่เห็นว่าวันนี้คุณช่วยผมไว้หรอกนะ จะละเว้นไว้สักครั้งก็แล้วกัน”
“รอด้วย!”
ถ้าหากผมพูดต่อก็คงจะเถียงกันไม่จบสิ้น เลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมแพ้ แล้วเดินนำหน้ามา นั่นจึงทำให้นายไฟฟ้านั่นวิ่งตามมาติด ๆ แถมยังเอาแขนมาพาดไหล่ของผมอีก
“เคมี” เดินมาสักพักเขาก็เรียกชื่อของผม
“ว่า?” ผมส่งเสียงสั้น ๆ บ่งบอกว่าผมได้ยินที่เขาเรียก
“คุณจะว่าอะไรไหมถ้าหากผมบอกว่าขอเป็นเพื่อนกับคุณ” เขาพูดขึ้น
“ผมควรดีใจหรือเปล่าที่ได้ยินแบบนี้” ผมพูดแซวพร้อมกันหันไปมองหน้าเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันมองเส้นทาง
“ต้องดีใจดิ มีเพื่อนแบบผมมันไม่ดีตรงไหน”
“ดูแล้วน่าจะทุกตรง”
“เนรคุณไวฉิบหายเลยว่ะ นี่ผมเพิ่งจะช่วยคุณมาแท้ ๆ นะพูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้ได้เหรอ”
“ล้อเล่นน่า...ปกติในชีวิตผมเพื่อนน้อยอยู่แล้ว มีเพื่อนแบบคุณมาเพิ่มชีวิตคงมีสีสันน่าดู”
“ตกลงแล้วนะ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางแสนดีใจ
“อืม” ผมจึงพยักหน้าตอบรับ
ตอนแรกผมก็รู้สึกรำคาญเขานะ แต่พอได้เจอบ่อย ๆ ได้พูดคุยก็เริ่มคุ้นเคยและสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนใจดี แม้จะปากหมาไปบ้างก็ตาม ผมก็รู้สึกว่าเขาคือคนดีและคงเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ สังเกตจากชุดฟอร์มทำงานที่เขาส่งมาให้ผมเห็นบ่อย ๆ ยิ่งวันนี้ที่เราสองคนเจอกันโดยบังเอิญ ในสภาพของผมที่แสนจะยับเยินเขาก็ยังพุ่งเข้าช่วยเหลืออย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า มันเลยทำให้ผมตอบรับการเป็นเพื่อนอย่างไม่มีข้อแม้
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ...ห้ามเปลี่ยนห้ามยกเลิกคำตอบรับ” เขาพูดขึ้นและชี้หน้าผม ดูน้ำเสียงและท่าทางจริงจังมาก
“ผมไม่ใช่คนกลับกลอก”
“สัญญา” เขาพูดพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าของผม ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น
“สัญญา” แม้จะดูไม่เข้าท่า แต่ว่าผมก็ตอบรับการเชื้อเชิญแบบเด็ก ๆ อย่างว่าง่าย และผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตามน้ำอยู่เรื่อย มันคงเริ่มเป็นมิตรภาพที่ดีละมั้ง
“ว่าแต่จะกลับบ้านด้วยสภาพแบบนี้เหรอ?” เขาถามขึ้นในขณะที่เราสองคนเดินมาถึงร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง
"ผมไม่กลับบ้าน กลับไปมีหวังแม่ลมจับพอดี” สภาพแบบนี้ผมคงให้ที่บ้านเห็นไม่ได้ แม่ผมยิ่งเป็นคนอ่อนไหว เจอสภาพเละเทะเข้ามีหวังเป็นลมแน่ ๆ
"แล้วจะไปไหนล่ะเดี๋ยวไปส่ง"
"หอพัก"
"อืม งั้นนั่งรอตรงนี้เดี๋ยวผมจะกลับไปเอารถที่บ้านแป๊บเดียว"
"อืม ระ..."
ประคองผมนั่งพูดจบก็รีบวิ่งจากไปทันที ทั้งที่ผมจะบอกว่าให้ระวังตัวด้วย ก็ได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหัวเบา ๆ กับท่าทีของเขาที่มันร้อนรน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็กลับมา จากนั้นก็พาผมไปส่งยังหอพักตามเส้นทางที่ผมเป็นคนบอก
“เดินไหวหรือเปล่า” เขาถามเมื่อรถจอดนิ่งหน้าตึกหอพักที่ผมอาศัย
“ไหว...ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่างในวันนี้ ผมไปล่ะ” ผมบอกเขาพร้อมกับปลดเข็มขัดนิรภัย บอกลาแล้วเปิดประตูลงมาจากรถทันที
“ดูสภาพแล้วไม่ไหวหรอก ผมเดินไปส่งดีกว่า”
“เฮ้ย! เดี๋ยวดิคุณ”
ผมยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็จับแขนผมพาดคอเดินเข้าไปด้านในทันที ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง ไม่ได้สนใจคำพูดผมเลยสักนิด สุดท้ายเขาก็ดื้อรั้นขึ้นมาส่งที่ห้องจนได้ ผมทำอะไรได้ล่ะนอกจากปล่อยให้เขาทำตามใจต้องการ