บทที่สาม
"แพรว ตื่นได้แล้วลูกเดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก"
เสียงของแม่ที่ดังมาจากชั้นล่างของบ้านทำให้เด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียง จำต้องตื่นขึ้นมาในสภาพที่ยังสะลึมสะลืออยู่สักพักประตูห้องเปิดออก พจนวีร์ถอดหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะบอกให้ลูกสาวลุกจากเตียง ไปอาบน้ำอาบท่าและแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จแล้วแพรววารีบเดินลงบันไดมายังห้องรับประทานอาหาร ซึ่งตอนนี้พศพัชร์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ พอสมาชิกมากันครบแล้วพจนวีร์และ ป้าเอม แม่บ้านช่วยกันนำอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะ พศพัชร์จึงพับเก็บหนังสือเพื่อจัดการกับอาหารของตัวเอง ด้านแพรววาก็มานั่งที่เก้าอี้โดยเธอมักจะมานั่งข้างพจนวีร์เสมอ เมนูอาหารเช้าของวันนี้คือไข่ดาวกับขนมปังปิงและไส้กรอก ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นเสียงกริ๊งดังขึ้น ป้าเอมทำหน้าที่ไปเปิดประตูบ้านและพาแขกผู้มาเยือนเข้าบ้าน พิมพ์พรรณ นั้นเอง เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของแพรววาเนื่องจากพ่อของพิมพ์พรรณ เป็นลุงแท้ ๆ ของแพรววาทั้งสองเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก มักไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอแม้แต่โรงเรียนก็ยังเรียนที่เดียวกัน ซึ่งเวลาไปเรียนทั้งคู่จะไปด้วยกันโดยให้ "โทบี้" หุ่นเอไอที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถไปส่ง
"แพรว พี่มารับแล้ว" พิมพ์พรรณพูดและชะงักไปเมื่อเห็นแพรววายังอยู่โต๊ะอาหาร "หนูมาเร็วไปเหรอคะ อาหมอก"
พศพัชร์หันมาอธิบายว่า "เปล่าเลย ยัยแพรวตื่นสายเองเลยมากินเช้าช้าไปต่างหาก"
"พ่อ !" แพรววาหันขวับมาทางพ่อ "หนูไม่ได้ตื่นสายเสียหน่อย"
"เอาล่ะ พอได้แล้วทั้งพ่อทั้งลูกเลย" พจนวีร์ร้องห้ามศึกและหันไปทางแพรววา "จัดการจานของตัวเองเสร็จแล้วใช่ไหม รีบไปได้แล้วอย่าให้พี่เขารอนาน"
แพรววาลุกจากเก้าอี้และหอมแก้มแม่แต่ไม่ได้หอมแก้มพศพัชร์ เธอบอกกับพ่อแค่เพียงว่า "หนูไปเรียนก่อนนะคะ" แล้วก็จับมือกับพิมพ์พรรณออกจากบ้านไป ด้านพศพัชร์ผ่อนลมหายใจเบา ๆ พลางคิดในใจว่า สมัยก่อนเขาจำได้ว่าแพรววาจะติดตนมากไม่เคยยอมห่างเลย ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความสนิทสนมนั้นหายไป กลายเป็นว่าตอนนี้แพรววาหันไปสนิทกับภรรยาเสียอย่างนั้น แม้มันจะเป็นภาพที่เขาชอบมากแค่ไหนทว่ามันก็อดรู้สึกอิจฉาพจนวีร์ไม่ได้จริง ๆ แน่นอนว่าฝั่งพจนวีร์ก็เหมือนจะอ่านความคิดของสามีได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงอดแซวอีกฝ่ายไม่ได้ว่า "แหม แอบน้อยใจลูกล่ะสิท่า" พศพัชร์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังทำเป็นวางมาดก่อนจะลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะบอกว่า "ผมต้องไปทำงานก่อนนะครับ" จากนั้นก็เดินไปที่ประตูบ้านเพื่อที่จะออกไปทำงาน ปล่อยให้พจนวีร์อมยิ้มอยู่กับป้าเอมที่เข้ามาช่วยเก็บจานบนโต๊ะ
"คุณพั้น ชอบแกล้งคุณหมอกทุกทีเลย" ป้าเอมพูดขณะนำจานมาใส่อ่างล้างจาน โดยมีพจนวีร์ตามมาช่วยล้างด้วยสำหรับป้าเอมที่ผ่านประสบการณ์งานแม่บ้านมาหลายปี ครอบครัวนี้คือครอบครัวแรกที่ไม่เคยมองเธอเป็นคนรับใช้ หากแต่มองเหมือนป้าเอมเป็น "ญาติผู้ใหญ่" คนหนึ่ง โดยเฉพาะกับแพรววาที่ป้าเอมยอมรับว่า เด็กสาวได้รับการอมรบมาอย่างดีซึ่งสมัยตอนที่ป้าเอมรับงานเข้ามา ในตอนนั้นแพรววาอายุเพียงเก้าปีเท่านั้นแต่ก็เป็นเด็กน่ารักและอ่อนน้อมถ่อมตนมาก แถมยังคอยช่วยงานบ้านให้ป้าเอมโดยไม่ต้องเหนื่อยมากนัก ทว่าถึงกระนั้นป้าเอมก็ยังคงทำหน้าที่ของแม่บ้านต่อไปจนเวลามันก็ล่วงเลยมาจนกระทั่งแพรววาได้กลายเป็นเด็กสาว แต่เธอก็ยังเคารพรักป้าเอมเหมือนสมัยเด็กไม่เปลี่ยน
"มันน่าแกล้งนี่นาป้าเอม แต่ก็อย่างว่าแหละหนูแพรวเคยสนิทกับพ่อเขามาก พอโตเป็นสาวมีเพื่อนมีฝูงก็เริ่มห่างเหินมันก็ต้องมีน้อยใจบ้างแหละ" พจนวีร์พูดระหว่างกำลังสะเด็ดน้ำบนจาน
"เพื่อนกลุ่มเดิมนะหรือคะ" ป้าเอมถาม
"ใช่ กลุ่มเดิมหน้าเดิมที่เราเคยเห็นเลย" พจนวีร์ตอบ
"คงเป็นเพื่อนที่ดีน่าดู หนูแพรวคงไม่อยากหาเพื่อนใหม่แล้วละมั่งคะ" ป้าเอมว่า
"ไม่ใช่หรอกป้าเอม" พจนวีร์ส่ายหน้า
"อ้าว ไม่ใช่เหรอคะ" ป้าเอมขมวดคิ้วหลังเอาผ้าเช็ดมือเสร็จ
"หนูแพรวอยากมีเพื่อนคนอื่นบ้างเหมือนกันแหละป้าเอม แต่อีตาหมอกนี่สิดันสร้างเงื่อนไขว่าห้ามมีเพื่อนเป็นผู้ชายเด็ดขาด"
ป้าเอมที่ได้ฟังก็รู้สึกฉงนใจกับเงื่อนไขของพศพัชร์พอสมควร เธอเองก็มีลูกหลานเป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่เคยจะมีการตั้งเงื่อนไขลักษณะแบบนี้มาก่อน เพราะป้าเอมคิดเสมอว่าคนเราไม่อาจควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ต้องการได้หรอก
++++++++++++++++++
ด้านแพรววากับพิมพ์พรรณซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างเดินทางไปโรงเรียน ทั้งสองได้บอกให้โทบี้อย่าลืมแวะรับเพื่อน ๆ ของแพรววาด้วย ซึ่งโทบี้ก็ทำตามอย่างว่าง่าย สักพักจู่ ๆ พิมพ์พรรณก็เหมือนนึกบางอย่างออก จึงได้เล่าให้แพรววาฟังว่าตอนนี้เพื่อนในห้องคนหนึ่งของพิมพ์พรรณที่มีชื่อว่า "เอมอร" มีอาการหูดับซึ่งมันเกิดขึ้นในช่วงที่ฝนตกหนักมาก หลายคนเชื่อว่าเอมอรเจอกับ "โชลเมท" ที่เป็นเนื้อหูของตัวเองแล้ว แพรววารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีแต่มันก็เป็นเพียงชั่ววูบ เพราะสุดท้ายสิ่งที่เอมอรได้ยินคือเสียงปืนกับระเบิดเท่านั้น แทบจะไม่ได้ยินเสียงของโชลเมทเลยทำให้หลายคนคิดว่าโชลเมทของเอมอรอาจจะเป็นทหาร หรือไม่ก็ยุวชนทหารของฟรอนเทียร์พอเล่ามาถึงตรงนี้ พิมพ์พรรณก็ถอนหายใจยาวเนื่องจากเพื่อนของเธอคนนี้ ไม่ชอบพวกชาวฟรอนเทียร์ที่ชอบไประรานประเทศเพื่อ "เงิน" แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกได้มากพอเพราะพ่อของเอมอรทำงานให้กับกองทัพ ส่งผลให้เอมอรต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้ แต่แล้วจู่ ๆ แพรววาก็นึกคำถามบางอย่างออกจึงหันมาถามพี่สาวทันที
"แล้วพี่ล่ะ พี่เคยเจออาการหูดับหรือยัง" แพรววาถามเสียงตื่นเต้น
พิมพ์พรรณมีอาการเลิ่กลั่กเล็กน้อยก่อนจะตอบแค่ว่า "ไม่นะ หูพี่ยังปกติดีอยู่"
"อ้าวเหรอ งั้น...." แพรววาครุ่นคิด "พี่คิดว่าโชลเมทของพี่จะเป็นคนแบบไหนเหรอ"
"ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้คิดเลย" พิมพ์พรรณตอบพร้อมถอนหายใจ "แต่พ่อพี่คงไม่ยอมแน่ ๆ"
"จริงด้วย ลืมคุณลุงไปได้ยังไงล่ะเนี่ย"
และแล้วสองสาวก็พร้อมใจเงียบกันเสียอย่างนั้น มันก็เป็นเพราะสิ่งที่ทั้งพิมพ์พรรณกับแพรววาต้องเจอคือ มีพ่อที่ทั้งห่วงและหวงมากเสียจนถึงกับก่อตั้งกฏเหล็กว่า "ห้าม" มีเพื่อนเป็นเพศตรงข้ามอันขาด ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามห้ามมีข้อแม้โดยเหตุผลที่พศพัชร์กับพงศ์กิตติ์ให้แก่ลูกคือ เพื่อปกป้องพวกเธอซึ่งแพรววาก็ไม่เข้าใจว่า การห้ามมีเพื่อนผู้ชายมันคือการ "ปกป้อง" ตรงไหน ที่แย่ยิ่งกว่าคือนับวันแพรววาพบว่าพ่อแทบจะไร้เหตุผลในสายตามากขึ้น มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งในโรงเรียน "ป็อบ" เพื่อนในห้องที่แทบไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ก็ถูกพศพัชร์ลากมาด่าประจานกลางโรงเรียนเหตุเพราะเผลอสะดุดหกล้มแล้วชนแพรววาล้ม แม้ว่าภายหลังจะมีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของป็อบ และพจนวีร์ก็ทำการตำหนิในความคิดน้อยของพศพัชร์ก็จริง แต่เหตุการณ์การถูกประจานครั้งนั้นมันได้สร้างทั้งความอับอายและแผลในใจของเพื่อนคนนี้ สุดท้ายภายหลังป็อบก็ลาออกจากโรงเรียนเพราะทนความอับอายไม่ได้ แถมยังทำให้แพรววาถูกเพื่อนบางกลุ่มแบนด้วยเพราะเธอคือต้นเหตุของเรื่องนี้ แพรววากัดฟันทนจนเรียนจบมัธยมต้นและไปเรียนต่อระดับมัธยมปลายที่เดียวกับพิมพ์พรรณ
อย่างน้อยความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่เพราะภายหลัง เพื่อน ๆ ที่แพรววาเคยเล่นด้วยในสมัยเด็กก็มาเรียนที่นี่ไม่ว่าจะเป็น "มณีอร จำปาทอง" หรือ "มั่นฉาย" ภายนอกเธอเหมือนเด็กสาวร่างบาง ทว่าแท้จริงแล้วมณีอรเก่งด้านศิลปะต่อสู้มือเปล่าและเป็นนักกีฬาตัวแทนโรงเรียน แพรววาจำได้ว่าเคยเห็นมณีอรจับผู้ชายตัวใหญ่ทุ่มกระแทกลงพื้นอย่างง่ายดายมาแล้ว "นาถชญา สถาวรวิวิตร" หรือ "น้ำชา" เจ้าของฉายา "ราชินีแห่งการกิน" เพราะนาถชญารักการกินมากโดยเฉพาะเมนูประเภทเนื้อ สาเหตุเพราะครอบครัวของเธอทำอาชีพเกี่ยวกับเนื้อนั้นเอง ซึ่งจะมีการออกไปล่าสัตว์ป่าบ้างเป็นครั้งคราวทำให้นาถชญาเก่งด้านการใช้ธนู แล้วมันก็กลายเป็นการต่อยอดให้เด็กสาวมาเป็นนักกีฬายิงธนูของโรงเรียน "อนัญลักษณ์ พิมพ์สวรรค์" หรือ "อองตอง" ผู้สืบสายเลือดนักมวยไทยอย่างแท้จริง เธอกับน้องแฝด "อนัญพร พิมพ์สวรรค์" หรือ "อองฟอง" ได้ร่ำเรียนวิชามวยไทยจากพ่อที่ซึ่งเป็นทหารเก่ามาก่อน "หยาดรุ้ง อุฬารกุล" หรือ "รุ้ง" เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ดูจะอ่อนโยนที่สุดแล้ว ทว่าถึงกระนั้นหยาดรุ้งก็มีบอดี้การ์ดประจำตัวคือ "ยุวดี ละเอียดดี" หรือ "ใยบัว" ภายนอกเหมือนทอมบอย แต่ความจริงก็รักสวยรักงามเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปเท่านั้น
แต่เพราะสนิทกับหยาดรุ้งมากเป็นพิเศษจนทำให้หลายคนคิดว่า ทั้งสองเป็นคู่เลสเปี้ยนกันทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย "คติยา พานิชศิริ" หรือ "ครีมสด" นักกีฬาว่ายน้ำตัวยงของโรงเรียนไม่มีใครว่ายน้ำเก่งเท่าเธออีกแล้ว และสมาชิกคนสุดท้ายของ "แก๊งนักรบหญิง" คือ "ลวิตตา จำปาทอง" หรือ "ลูกปัด" น้องสาวของมณีอรกำลังเดินตามรอยพี่สาวตัวเองอยู่ ด้วยความที่เรียนโรงเรียนเดียวกันทำให้แพรววาถือโอกาสให้โทบี้ไปรับพวกเธอไปโรงเรียนด้วยกันซะเลย หลังจากที่โทบี้ตระเวนรับทุกคนมาครบแล้วต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แถมยังตื่นเต้นเรื่องที่เอมอรมีอาการหูดับอีกด้วย ด้านแพรววาก็กำลังเอามือตวานหาของบางอย่างจากหลังรถ พอดีกับที่สายตาของเธอเห็นยุวชนทหารฟรอนเทียร์กำลังปั่นจักรยานอยู่บนถนนสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ ลึก ๆ แพรววาก็สงสัยเหมือนกันว่าหากโชลเมทของเธอคือชาวฟรอนเทียร์จริง ๆ พวกเขาจะป่าเถื่อนเหมือนที่ใครหลายคนชอบพูดกันหรือเปล่าน่า
"ยัยแพรว ! เหม่ออะไรอยู่ ถึงโรงเรียนแล้วเร็วเข้า" เสียงของอนัญลักษณ์ดึงสติของแพรววาอีกครั้ง เธอจึงไม่รอช้าและรีบคว้ากระเป๋าเรียนพร้อมกับวิ่งลงจากรถ และพวกเธอก็พากันเดินเข้าเขตโรงเรียนก่อนที่รั้วประตูจะทำการปิดลง
++++++++++++++++++++
สืบเนื่องจากพงศ์กิตติ์กับปราญชลีไม่อยู่บ้านเพราะมีธุระที่ต่างเมือง ทำให้พิมพ์พรรณได้มาค้างบ้านของแพรววาซึ่งเป็นเรื่องปกติ และดีซะอีกเพราะแพรววาจะได้หาข้ออ้างกับพศพัชร์ด้วยว่า เธอมีงานต้องทำและอยากให้พิมพ์พรรณช่วยซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงส่วนหนึ่ง ทว่าเหตุผลจริง ๆ คือเธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออยู่กับพ่อ แพรววาคิดว่านับแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับป็อบมันทำให้เธอไม่อยากยุ่งกับพ่อ เพราะเธอรับรู้ได้ว่าแม้พศพัชร์จะรักเธอและทำทุกอย่างเพื่อเธอจริง ๆ แต่เหตุการณ์หลายอย่างมันได้แสดงชัดเจนว่าพ่อยังไม่ใช่ผู้รับฟังที่ดี จนกระทั่งแพรววาตัดสินใจปรึกษากับพจนวีร์ที่มีความใจเย็นมากกว่า ด้วยเหตุนี้เองทำให้แพรววาสนิทกับแม่มากกว่าพ่อนั้นเอง ครู่ต่อมาพิมพ์พรรณก็เข้ามาในห้องนอนของแพรววา พร้อมกับขนเอาหนังสือเรียนออกมาเพื่อทำรายงาน ทว่าระหว่างที่อ่านหนังสือพิมพ์พรรณก็พูดประโยคหนึ่ง ที่ทำให้แพรววาถึงกับทำหนังสือหล่นพื้นทันที
"พี่ได้ข่าวมาว่าที่ชมรมนักวิ่ง มีรุ่นพี่แอบปลื้มเธอด้วยเหรอ" พิมพ์พรรณถาม
แพรววาหันขวับมามองพี่สาวทันที
"พี่พิม ! พี่พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย" แพรววาตกใจมากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถาม
แพรววาอยู่ชมรมนักวิ่งของโรงเรียนแม้อาจจะไม่ได้เก่งเหมือนคนอื่น แต่เธอเคยคว้าชัยชนะในการแข่งวิ่งระดับโรงเรียนมาแล้ว โชคดีหน่อยที่พศพัชร์ไม่ค่อยสนใจงานกิจกรรมชมรมเท่าไหร่ ขอแค่อย่าทำให้เสียการเรียนก็พอไม่อย่างนั้นแพรววาได้โดนบอกให้ออกจากชมรมแน่ ถ้าพ่อเกิดรู้ว่า "เสมอแมน" รุ่นพี่ของชมรมนักวิ่งเป็นดาวเด่นของโรงเรียน แถมยังมีท่าทีจะจีบเธออีกต่างหากจนทำให้นักเรียนหญิงหลายคน ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเธอนักซึ่งแพรววาก็อุตส่าห์แสดงชัดเจนว่า ไม่ได้คิดกับอีกฝ่ายเหมือนหนุ่มสาวแต่เคารพในฐานะรุ่นพี่ของชมรม แต่ดูท่าเสมอแมนจะไม่ยอมเลิกราเรื่องนี้ง่าย ๆ แม้ว่าจะรู้เรื่องความขี้หวงของพศพัชร์มาก็ตาม แพรววายอมรับเลยว่าเรื่องที่โดนเสมอแมนตามจีบอยู่ เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวพอ ๆ กับเรื่องความหวงของพ่อเลย ด้านพิมพ์พรรณก็เข้าใจน้องสาวดีว่าไม่ได้คิดอะไรกับเด็กหนุ่ม เพียงแต่บางครั้งมันก็อดแซวไม่ได้จริง ๆ
"จ้า ๆ แค่แซวเล่นเองว่าแต่เราน่ะ มีวิธีรับมือกับพ่อหนุ่มนักรักหรือยัง" พิมพ์พรรณถามต่อ
"ไม่เลย" แพรววาพูดอย่างเหนื่อยใจ "ตื้อยิ่งกว่ากาวตราช้างอีก"
"แล้วแพรวไม่ได้บอกเขาตรง ๆ ไปเลยล่ะว่าไม่ได้ชอบ แค่แสดงออกว่าไม่ได้ชอบมันอาจไม่มากพอให้เขาหยุดก็ได้"
แพรววาครุ่นคิดจะว่าไปเธอยังไม่เคยใช้ไม้ตายนี้เลย สงสัยคงต้องลองดูเสียหน่อยแล้วว่าจะได้ผลไหม
"ยังไม่เคยลองเลยพี่พิม พรุ่งนี้จะลองคุยกับพี่เขาดู"
ทันใดนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นป้าเอม ซึ่งมาบอกกับพิมพ์พรรณว่ามีโทรศัพท์จากพงศ์กิตติ์ ทำให้พิมพ์พรรณจำต้องออกจากห้องไปก่อน จึงเหลือแค่แพรววากับกองหนังสือเรียนสำหรับทำการบ้าน แต่เด็กสาวกลับไม่มีกระจิตกระใจอยากจะทำงานเลย ในหัวสมองในตอนนี้คิดแค่อย่างเดียวว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนายเสมอแมนคนนี้อย่างไรดี ฉับพลันในจังหวะที่แพรววาตกใจกับเสียงของตกจากด้านล่าง เสี้ยววินาทีนั้นมีเสียงดัง "จี้ด...." ดังก้องอยู่ในหูของแพรววาอย่างไม่มีสาเหตุ มันดังต่อเนื่องและลากยาวเหมือนคนเอาเล็บขูดกระดานดำ แพรววาถึงกับต้องเอามืออุดหูทั้งสองข้างเอาไว้ สามนาทีต่อมาเสียงจี้ดก็ได้หายไปแต่กลับเป็นเสียงของใครสักคน ดังมาจากข้างในจิตใต้สำนึกของเด็กสาวหากแต่ไม่ใช่เสียงของเธอยามคิดในใจ แต่มันเป็นเสียง... ของผู้ชาย... กำลังร้องไห้อยู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่แพรววาสัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจของเจ้าของเสียงนั้นได้ แม้จะยังไม่เคยได้คุยหรือพบหน้ากันมาก่อน แพรววาตัดสินใจลองนิ่งเงียบและลองฟังเสียงนั้นอีกครั้ง พร้อมภาวนาในใจว่าหากนี่ไม่ใช่ความฝันขอให้ได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งด้วยเถิด
[ทำไมเหรอครับแม่.... ทำไม แม่ถึงทำแบบนี้กับผม... กับพ่อ... กับพวกเรา.. แม่เห็นผู้ชายคนนั่นมีค่ากว่าพวกเราได้ยังไงกัน]
.... พระเจ้า ! คำภาวนาเป็นจริง ....
วินาทีนั้นเองที่แพรววาตัดสินใจพูดออกไปว่า
"เธอเป็นอะไรหรือเปล่า โอเคไหม"