บทที่สี่
จิตติพัฒน์ชะงักนิ่งไปเกือบสิบนาทีเมื่อเขาได้ยินเสียงของใครบางคน แล่นเข้ามาในจิตใต้สำนึกของเขาและเด็กหนุ่มมั่นใจว่า เขาไม่ได้ประสาทหลอนไปเองมันคือเสียงของโชลเมท หรือคนที่จะกลายมาเป็น "คู่ผูกวิญญาณ" ในอนาคตของเขาที่เป็นนักรบฟีนิกซ์ ในอดีตมีนักรบฟีนิกซ์ไม่กี่คนที่มีอาการหูดับแบบที่จิตติพัฒน์กำลังเผชิญอยู่ โดยส่วนใหญ่นักรบฟีนิกซ์จะเจอคู่ทันทีเมื่อเจอหน้าอย่างจังเท่านั้น เหมือนกับพ่อแม่ของเด็กหนุ่มก็เช่นกันที่สำคัญเมื่อได้พบคู่แล้ว พวกเขาความสนใจทุกอย่างจะมาอยู่กับคู่ที่ตัวเองผูกจิตเพียงผู้เดียว เสมือนเป็นทุกอย่างของชีวิตเลยก็ว่าได้ แปลอีกนัยคือพวกเขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองด้วย เป็นเหตุให้นักรบฟีนิกซ์หลายคนโดยเฉพาะรุ่น ๆ จะค่อนข้างหวาดกลัวต่อการผูกวิญญาณพอสมควร ซึ่งรวมไปถึงตัวจิตติพัฒน์เองด้วยเช่นกัน ยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพ่อของเขาด้วยแล้วมันยิ่งทำให้จิตติพัฒน์ต่อต้านสิ่งนี้มากแค่ไหน ระหว่างที่เขาจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงของโชลเมทก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า [เธอร้องไห้ทำไม บอกฉันได้นะฉันยินดีรับฟัง] เสียงผู้หญิงโชลเมทของเขาเป็นผู้หญิง จิตติพัฒน์ยอมรับว่าเสียงของเธอมันช่างอ่อนหวานและไพเราะเหลือเกิน หากเป็นยามปกติเขาคงจะขานรับไปนานแล้ว
น่าเสียดายที่เขาได้ให้คำมั่นกับตัวเองต่อหน้าหลุมศพพ่อไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะไม่มีทางเดินตามรอยพ่อเด็ดขาด ความรัก เนื้อคู่ โชลเมท หรือแม้แต่คู่ผูกวิญญาณมันก็แค่สิ่งที่จอมปลอมเป็นสิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วคนที่กำหนดขึ้นมาก็คือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ และเขาจะขอกำหนดชีวิตของตัวเขาเอง จิตติพัฒน์เอาแขนเสื้อปาดเช็ดน้ำตาออกและตัดสินใจนั่งเฉย ๆ อยู่ที่เตียงของตัวเอง ผ่านไปสองนาทีเขาก็ไม่ได้ยินเสียงของโชลเมทอีกเลยและในที่สุด เขาก็ได้ยินเสียงรอบตัวเป็นปกติอีกครั้งแปลว่าอาการหูดับของเด็กหนุ่มได้หายไปแล้ว เสียงแรกที่จิตติพัฒน์ที่ได้ยินคือเสียงเคาะประตูหลายครั้ง จิตติพัฒน์จึงเดินไปเปิดประตูออกพบว่าคนที่เคาะก็คือ จิตราวุธ พี่ชายของเขา แถมยังมีสีหน้าหงุดหงิดพอสมควร ซึ่งจิตติพัฒน์ไม่แน่ใจว่าเขาหูดับมานานแค่ไหนแล้ว จึงไม่รู้ว่าจิตราวุธขึ้นมาหาเขาที่ห้อง
"เออ กว่าจะเปิดได้นะ ฉันเคาะเรียกอยู่ตั้งนานไม่ได้ยินหรือไง" จิตราวุธถาม
"ขอโทษทีพี่จั้กจั่น ผมใส่หูฟังเพลงอยู่เลยไม่ได้ยิน" จิตติพัฒน์เลือกที่จะโกหก "ว่าแต่พี่มีเรื่องอะไรเหรอ"
"อยากรู้ก็ลงมาข้างล่างสิ พี่ไจแอนท์รออยู่"
จิตติพัฒน์เดินตามจิตราวุธลงบันไดมายังห้องนั่งเล่นซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีรอนนี่นำเครื่องดื่มมาบริการ จิตรเทพหันมาโบกมือทักทายจิตติพัฒน์ "หลับลึกมากเลยนะ เสียงเคาะดังขนาดนั้นไม่ได้ยินได้ไงเนี่ย" จิตติพัฒน์ยิ้มแห้ง ๆ เขาตัดสินใจไม่บอกเรื่องอาการหูดับให้พี่ชายทั้งสองฟังแน่ อันที่จริงเขาคิดไว้แล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น แม้แต่กับแก๊งภูเขาไฟก็ตามและความโชคดีของจิตติพัฒน์อีกอย่างคือพี่ชายทั้งสองไม่ใช่คนที่ช่างถามมากนัก เด็กหนุ่มเลือกมานั่งฝั่งตรงข้ามกับจิตรเทพและจิตราวุธ "พี่มีเรื่องอะไรเหรอครับ" สิ้นคำถามจิตรเทพก็ยื่นเอกสารบางอย่างมาให้แทน จิตติพัฒน์รับซองเอกสารสีน้ำตาลมาแบบฉงนใจ ก่อนจะตัดสินใจที่จะเปิดเอกสารออกมามันคือหนังสือมอบหมายภารกิจให้กับยุวชนทหาร ที่อีกไม่นานก็จะพ้นสภาพกลายเป็นทหารอาชีพในวันข้างหน้า จิตติพัฒน์จำได้ว่าอีกแค่ปีหน้าของสถานะยุวชนทหารแล้ว เมื่อไหร่ที่เด็กหนุ่มอายุครบสิบแปดปีเขาจะกลายเป็นทหารเต็มตัว
ตามธรรมเนียรของหน่วยรบพิเศษจะมีภารกิจมอบหมายให้กับยุวชนทหารปีสุดท้าย ซึ่งมันก็แล้วแต่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาว่าจะเป็นแบบไหน สำหรับภารกิจของจิตติพัฒน์คือเขาจะต้องติดตาม "ร้อยโทปฏิญญา" ซึ่งได้รับภารกิจไปทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในงานจัดแสดงประมูลอัญมณีที่ถูกขนส่งมาจากประเทศแสนปุระ โดยอัญมณีแต่ละชิ้นมูลค่ามหาศาลมากประเมินไม่ได้ แน่นอนว่ามันย่อมล่อตาล่อใจพวกอาญากรบางกลุ่มที่อาจแฝงตัวเข้ามา ดังนั้น "กษัตริย์ฮุนบัน" จึงขอให้ทางรัฐบาลส่งกำลังมาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัย โดยทำงานรวมกับเจ้าหน้าที่ที่มาจากแสนปุระมาอีกที งานประมูลเครื่องอัญมณีจะจัดขึ้นที่เมืองใหญ่ของเขต A-03 ระยะการทำภารกิจมีทั้งหมดคือเจ็ดวันหกคืน เมื่ออ่านข้อความครบแล้วจิตติพัฒน์เงยหน้ามองพี่ชายทั้งสองที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
"ที่พวกพี่เรียกมารวมตัวในบ้านเพราะแค่จะมาบอกภารกิจนี้กับผมเองเหรอ" จิตติพัฒน์ถามและวางเอกสารบนโต๊ะ "เอามาให้ผมที่ค่ายก็ได้นี่"
จิตรเทพผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
"ไม่ใช่แค่เรื่องเอกสารนี่อย่างเดียว ฉันกับไอ้จั้กจั่นอยากกลับมาบ้านบ้างและก็อยากอยู่กับแกด้วย ไอ้เจต" จิตรเทพพูด
"ใช่ นานมากแล้วนะไอ้น้องที่พวกเราไม่เคยอยู่พร้อมหน้ากันสามพี่น้องเลย" จิตราวุธเสริม
จิตติพัฒน์นิ่งไปก่อนจะพูดว่า "แต่บ้านนี้มัน..."
"พี่เข้าใจว่าแกจะพูดอะไร ไอ้เจต และพี่สองคนไม่เคยลืมเรื่องของพ่อ" จิตรเทพตัดบทโดยที่จิตติพัฒน์ยังพูดไม่จบ "แต่ยังไงนี่ก็ยังเป็นบ้านของพวกเราและพ่อก็คงอยากให้พวกเรากลับมาที่นี่"
สักพักรอนนี่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับแจ้งว่าอาหารพร้อมแล้ว จิตรเทพจึงยุติการสนทนาไว้แค่นี้และพาน้องชายทั้งสอง เดินมายังห้องรับประทานอาหารที่ตอนนี้เหลือเก้าอี้ไว้เพียงสามตัวเท่านั้น ทว่าสำหรับจิตติพัฒน์แล้วเมื่อมองมายังห้องนี้ภาพในอดีต ยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ ภาพที่มีพ่อ แม่ พี่ชายทั้งสองและเขาที่ยังเด็กมาก เด็กหนุ่มจำได้ว่าตัวเองชอบช่วงเวลาที่แม่ป้อนข้าวให้เขามากแค่ไหน สามพี่น้องต่างพากันนั่งประจำที่ของตัวเองแล้วให้รอนนี่นำอาหารมาเสิร์ฟ อาหารส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากก็แค่มีปูนึ่งแกงกะหรี่ บะหมี่เส้นเหลืองใส่กุ้งใส่ไข่ และพวกเนื้อต่าง ๆ พวกเขานั่งกินไปได้สักพักก็พากันตัดสินใจทำลายความเงียบ ด้วยการพูดคุยในช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันว่าแต่ละคนไปทำอะไรมาบ้าง ซึ่งโดยส่วนใหญ่เนื้อหาที่จิตติพัฒน์ได้ยินคือเพื่อนรุ่นเดียวกับพี่ชายทั้งสองบางคน ได้เจอกับคู่ผูกวิญญาณของตัวเองในการทำภารกิจ มันทำให้เด็กชะงักไปทันที
"เจต แกมีอะไรหรือเปล่าเห็นเงียบไป" จิตราวุธถามขึ้นหลังจากที่จัดการกับอาหารบนจานเรียบร้อยแล้ว
จิตติพัฒน์ได้สติแต่ก็ทำเป็นเหมือนกับกำลังแกะเนื้อปูอยู่
"ไม่มีอะไรหรอกพี่ แค่คิดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ" เขาโกหกอีกครั้ง
"ใช่เหรอ" จิตรเทพทำหน้าไม่ค่อยอยากเชื่อ "เดี๋ยวนี้เริ่มหัดมีความลับแล้วเหรอ ไอ้น้อง"
"เปล่านี่พี่ ผมจะไปมีความลับอะไรล่ะแค่กังวลเรื่องภารกิจที่ได้รับเฉย ๆ" จิตติพัฒน์พูดซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่งนี่เป็นภารกิจแรกของเขายังไม่พอ มันยังเป็นครั้งแรกที่เขาไปเขตอื่นนอกเหนือจากเขต A-01
จิตรเทพเดินมาตบไหล่น้องชายเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า "นายทำได้อยู่แล้วไอ้น้องชาย ไม่ต้องกังวล"
+++++++++++++++
ก่อนที่จะกลับไปค่ายหนึ่งวันจิตติพัฒน์ตัดสินใจจัดกระเป๋าให้เสร็จ เพราะเมื่อถึงเวลาเดินทางเขาจะได้ขึ้นรถกลับค่ายทันที เด็กหนุ่มก้มมองข้อความต่าง ๆ ที่ถูกส่งมาจากบรรดาแก๊งภูเขาไฟ ดูเหมือนว่าภารกิจงานจัดแสดงอัญมณีจะเป็นของพวกเขาอย่างเดียว คนที่ดูตื่นเต้นคงไม่พ้นคชสีห์เช่นเคยในขณะที่ศรศิลป์กับพงศ์ดนัย ค่อนข้างจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะภารกิจที่ทั้งคู่อยากได้คือความท้าทายฝีมือต่อสู้ อย่างไรก็ตามแม้จะมีบางคนในแก๊งไม่อยากทำภารกิจนี้ สุดท้ายในวันพรุ่งนี้ช่วงเย็นก็ต้องไปรายงานตัวกับร้อยโทปฏิญญาอยู่ดี ผ่านไปได้สักพักหนึ่งจิตติพัฒน์ก็สามารถเก็บเสื้อผ้าใส่ลงกระเป๋าเดินทางเสร็จ ทว่าในจังหวะที่เขาจะปิดกระเป๋าเดินทางด้วยความไม่ทันระวังตัว เขาก็เผลอเอาปากกระเป๋าหนีบมือเต็ม ๆ เลยทำให้จิตติพัฒน์ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เขาชักมือออกจากกระเป๋าและก้มมองดูมือขวาที่โดนหนีบ เสี้ยววินาทีนั้นเองเกิดเสียงจี้ดที่หูของเด็กหนุ่มอีกครั้งจนเขาต้องเอาปิดหู เสียงจี้ดลากยาวเป็นเวลากว่าแปดนาทีกว่ามันจะสงบลง
จิตติพัฒน์มีสีหน้าที่มึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก่อนจะพบว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่เครื่องเล่นเพลง ซึ่งมันเปิดใช้งานอยู่เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่ได้ยินเสียงเพลงแล้ว ด้วยความฉงนใจเขาจึงลุกจากเตียงเพื่อไปดูว่าไม่ได้คิดไปเอง แต่ด้วยความเร่งรีบหรือความสะเพร่าที่เก็บของบนพื้นไม่หมด ทำให้จิตติพัฒน์สะดุดดินสอที่ตกอยู่บนพื้นแล้วเขาไม่ได้เก็บ เสียงหลังกระแทกพื้นดังสนั่น (แต่จิตติพัฒน์ไม่ได้ยิน) เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษาออกมาด้วยความจุกและเจ็บในเวลาเดียวกัน จิตติพัฒน์แทบจะขยับไปไหนไม่ได้เลยและตั้งใจว่าจะร้องขอความช่วยเหลือ เพราะอย่างน้อยรอนนี่ต้องได้ยินเสียงเขา ทว่าในวินาทีที่เขาจะขยับปากพูดก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในจิตใต้สำนึก
[เกิดอะไรขึ้น เธอเป็นอะไรไหมฉันได้ยินเสียงเธอร้องเมื่อกี้]
ไม่ผิดแน่เสียงของเธอคนนั้นอีกแล้วมันทำให้เขาเกือบปิดปากตัวเองไม่ทัน พลางคิดในใจว่าอย่าได้หลุดคำพูดใด ๆ ออกมาเด็ดขาด แต่แน่นอนว่าเมื่อไม่มีเสียงตอบ ทางฝ่ายจึงส่งเสียงมาหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง
[เธอบาดเจ็บหรือเปล่า ระวังตัวเองด้วยนะ ฉันไม่รบกวนก็ได้]
และแล้วเสียงมันก็เงียบไปแต่เพื่อความไม่ประมาท จิตติพัฒน์ตัดสินนอนอยู่กลางห้องโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา ซึ่งเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเขาอยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว รู้ตัวอีกทีเมื่อเขาสามารถลุกขึ้นมาได้และกลับมาได้ยินเสียงรอบตัวตามเดิม พร้อมกับค้นพบว่าเวลาในตอนนี้ก็เป็นเที่ยงคืนแล้ว