บทย่อ
เนื้อเรื่อง : เพราะปมในวัยเด็กที่ถูกผู้เป็นแม่ทอดทิ้งหนีไปกับชายอื่น และยังต้องเห็นพ่อปลิดชีพต่อหน้าต่อตาส่งผลให้ จิตติพัฒน์ พรหมรักษ์ กลายเป็นคนเย็นชาและไร้ความรู้สึก เขาหมดสิ้นศรัทธากับคำว่า "ความรัก" ไปโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งในคืนวันครบรอบอายุสิบสามปีของจิตติพัฒน์ในห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้า ความโกรธและความเกลียดกำลังรุมกัดกินเขา จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงของโซลเมทลอยเข้ามาเพื่อปลอบประโลมจิตใจของเขา ทว่าถึงกระนั้นจิตติพัฒน์กลับใจแข็งที่จะไม่ยอมขานรับโซลเมทอยู่เป็นเวลาหลายปี ด้วยความที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้านทำให้ แพรววา ดุจพิบูลย์ผล มักถูกพ่อคอยตามกีดกันทุกวิถีทางไม่ให้มีหนุ่ม ๆ เข้ามารุมต้อมเธอได้แต่โชคดีหน่อยที่มีแม่คอยช่วยไว้ ทำให้แพรววายังพอมีเพื่อนเป็นผู้ชายได้อยู่บ้าง แต่แล้ววันหนึ่งในคืนแห่งความสุขที่ทุกคนในบ้านกำลังเฉลิมฉลอง แพรววากลับได้ยินโซลเมทของเธอที่กำลังทุกข์ทรมานอย่างเจ็บปวด เธอจึงพยายามปลอบโยนโซลเมทของตนที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนสักแห่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมขานรับเธอเลยก็ตาม กาลเวลาผ่านไปแพรววาก็เริ่มที่จะตัดใจจากโซลเมทที่ชาตินี้คงไม่มีทางเห็นหน้ากัน จนกระทั่งเธอได้พบกับเด็กหนุ่มผู้แสนจะเย็นชาที่ซ่อนความเจ็บปวดอยู่ข้างใน
บทที่หนึ่ง
วันนี้เป็นอีกวันที่ "พศพัชร์" จะต้องรีบกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เลิกงานแล้วจากนั้นเขาก็ทำการสตาร์รถและขับออกจากลานจอด โดยที่ตัวเขายังไม่ทันคาดเข็มขัดเลย จนเสียงของเอไอร้องเตือนว่า "คุณพศพัชร์ กรุณาคาดเข็มนิรภัย" ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบคาดเอวทันที โชคดีหน่อยที่วันนี้รถไม่ค่อยติดมากนักเลยทำให้การเดินทาง ค่อนข้างราบรื่นสำหรับคนที่ต้องขับรถไปทำงานอย่างพศพัชร์ ถึงกระนั้นเขาก็มองนาฬิกาข้อมือว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง สีหน้าอันกังวลบอกให้รู้ว่าเขาจะไปสายไม่ได้เด็ดขาด ระหว่างที่ขับรถใจของเขาก็วิตกกังวลอย่างมาก สี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในจังหวะที่พศพัชร์เจอกับไฟแดงพอดี และพอคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูพบว่ามันเป็นเบอร์ของ "พจนวีร์" ภรรยาสุดที่รักของเขาเอง จึงไม่รอช้ารีบทำการกดรับสายโดยไม่ปล่อยให้ปลายสายต้องรอนาน ทันทีที่กดรับสายเสียงเพลงก็ดังแทรกเข้ามา
"หมอก ตอนนี้ถึงไหนแล้ว" พจนวีร์พูดเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงและเสียงเด็ก ๆ
"ออ ใกล้ถึงแล้วผ่านแยกไฟแดงนี้ไป ผมก็ขับรถมาถึงแล้ว" พศพัชร์เห็นสัญญาณไฟเขียวจึงต้องรีบวางสาย "พั้น ผมต้องวางแล้ว เดี๋ยวเจอกัน"
เมื่อไฟสัญญาณสีเขียวปรากฏพศพัชร์ก็ไม่รอช้ารีบเลี้ยวรถทางขวา และขับตรงมาเรื่อย ๆ ประมาณสิบนาทีเขาก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้านคัดสรรแห่งหนึ่ง พศพัชร์ขับรถมาตรงประตูที่ตรวจบัตรและเขาก็ยื่นบัตรประจำตัวให้เครื่องตรวจสอบ สองนาทีเครื่องก็ส่งบัตรคืนแก่พศพัชร์ตามด้วยเสียงของ AI ดังขึ้นว่า "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ขอให้พักผ่อนอย่างสบายใจ" ชายหนุ่มที่ได้ยินก็อดขมวดคิ้วกับประโยคแปลก ๆ นี้ไม่ได้เสียจริง พศพัชร์ขับผ่านบ้านหลังใหญ่มาประมาณสองถึงสามหลัง จนมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร เครื่องตรวจจับความปลอดภัยทำการสแเตนรถเพื่อตรวจสอบ ผ่านไปสี่นาทีมันจึงเปิดประตูให้เขาถอยรถไปจอด เมื่อเขาย่างเท้าลงมาจากรถพศพัชร์ก็ได้ยินเสียงเพลงและเสียงหัวเราะดังขึ้น ชายหนุ่มยิ้มหน้าบานและหันไปคว้ากล่องขวัญสีชมพู ผูกด้วยริบบิ้นสีขาวออกมาจากหลังรถแล้วก็เดินเข้ามาข้างในทันที บรรยากาศภายในคึกคักเต็มไปด้วยเด็ก ๆ กำลังวิ่งไล่จับกัน
พศพัชร์เดินผ่านเด็ก ๆ มาที่ห้องครัวซึ่งภรรยาของเขา กำลังช่วย "ปราญชลี" พี่สะใภ้ทำอาหารอยู่ เขาหันไปทางด้านขวามือมันจะเป็นห้องระเบียบดูวิวด้านหลังของบ้าน เขาเห็น "พงศ์กิตติ์" พี่ชายกำลังนั่งดื่มเบียร์กับเพื่อน ๆ สองถึงสามคน พศพัชร์ตัดสินใจเดินมาที่ห้องครัวก่อนและแอบเดินมาโอบกอดหลังพจนวีร์พร้อมหอมแก้มไปหนึ่งที ทำเอาปราญชลีต้องหันมาห้ามปรามน้องเขยว่า "ระวังหน่อย มีเด็ก ๆ อยู่นะ" ด้านพจนวีร์ที่โดนสามีฉวยโอกาสก็หันมาตีแขนพศพัชร์ด้วยความเคอะเขิน หน้าของเธอกลายเป็นสีชมพูอ่อน ๆ พศพัชร์เห็นแล้วก็อดมองไม่ได้ว่า ไม่มีใครน่ารักเท่ากับภรรยาของเขาอีกแล้ว ปราญชลีที่หันมาเห็นว่าชายหนุ่มยังไม่ยอมออกจากห้องครัว จึงเดินมาสะกิดเขาและบอกให้เขาไปอยู่ด้านนอก เพราะมันเกะกะเวลาทำอาหาร หลังจากที่โดนไล่ให้ออกมาด้านนอกเขาก็ตัดสินใจจะไปสมทบกับพี่ชายเสียหน่อย ทว่าก่อนจะเดินมาที่ห้องระเบียงพศพัชร์ได้เอากล่องของขวัญมาวางรวมกับกล่องของขวัญอื่น ๆ
เมื่อเขาปรากฏตัวมาที่ห้องระเบียงพงศ์กิตติ์หันมาทักทายน้องชาย พร้อมกับเพื่อน ๆ ที่กำลังนั่งคุยกันเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ พศพัชร์มานั่งข้างพี่ชายซึ่งกำลังรินเบียร์ใส่แก้วและส่งให้เขา ตามนิสัยแล้วพศพัชร์เป็นคนไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เขาเลือกที่จะนั่งฟังเงียบ ๆ มากกว่า มันทำให้เขาได้รู้ว่าตอนนี้ "พิมพ์พรรณ" ลูกสาวของพงศ์กิตติ์กับปราญชลี กำลังคิดจะไปเรียนต่อเกี่ยวกับการร้องเพลง ชายหนุ่มนึกถึงเด็กหญิงไว้ผมยาวสวมชุดกระโปรง มีท่วงท่าที่เรียบร้อยและอ่อนหวานแถมยังพูดจาไพเราะอีก ด้วยใบหน้ารูปไข่ผิวขาวนวลเหมือนดั่งไข่มุกทะเล ย่อมไม่แปลกหากเมื่อใดที่พิมพ์พรรณเติบโตขึ้น แต่ละวันคงจะมีหนุ่ม ๆ ตามติดเป็นสิบคนเห็นจะได้ และใครก็ตามที่คิดจะครอบครองหัวใจของหลานสาวคนนี้ ก็คงต้องฝ่าปราการเหล็กอย่างพงศ์กิตติ์ให้ได้เสียก่อน พศพัชร์จำได้ว่าก่อนที่พิมพ์พรรณจะเกิด พี่ชายคนนี้ก็หวงปราญชลีมาก ๆ มันยิ่งไม่แปลกหากความหวงนี้จะส่งมาถึงรุ่นลูก
"เออ เพิ่งนึกได้ พวกนายจำเพื่อนเก่าของเรา "ณคุณ" ได้ไหม" เพื่อนคนหนึ่งหันมาทางพงศ์กิตติ์พูดขึ้น
"จำได้สิ ในรุ่นของเราไม่มีใครถ่ายภาพเก่งเท่ามันแล้ว ทำไมหรือ" พงศ์กิตติ์ถามกลับ
เพื่อนคนนั้นมองขวาสลับซ้ายเพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่มีใครแอบฟังจึงค่อย ๆ ยื่นหน้ามากลางวงพร้อมพูดเสียงกระซิบว่า "ฉันได้ยินมาว่าไอ้ณคุณ มันเป็นชู้กับเมียชาวบ้านและยังพาเมียเขาหนีออกนอกเมืองอีก" สิ่งที่ได้ยินเล่นเอาพศพัชร์แทบจะสำลักเบียร์เบยทีเดียว เขาแทบไม่อยากเชื่อหูตนเองนัก ชายหนุ่มจำได้ณคุณเป็นเพื่อนในกลุ่มที่พงศ์กิตติ์สนิทมากที่สุดในคณะ และณคุณยังขึ้นชื่อในเรื่องฝีมือการถ่ายภาพอีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบนั้นที่ค่อนข้างจะสันโดษ จะกล้าทำสิ่งที่ไร้ยางอายขนาดนั้น อย่าว่าแต่พศพัชร์เลยแม้แต่พงศ์กิตติ์ที่ขึ้นชื่อว่า สนิทกับณคุณมากระดับหนึ่งก็มีท่าทางที่ไม่อยากเชื่อนัก ทว่าขณะเดียวกัน "ดิฐา" ก็ไม่ใช่คนที่จะมากล่าวหาใครลอย ๆ
"ไอ้ดิน นายแน่ใจนะว่าฟังไม่ผิด" พงศ์กิตติ์ถามอีกครั้ง
"ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อแต่หลักฐานทางกล้องวงจรปิด ข้อความติดต่อหากันมันตำตาฉันเลย สรุปว่าเป็นไอ้ณคุณจริง ๆ" ดิฐาพูดด้วยเสียงเครียด
"แล้วผู้หญิงที่มันไปยุ่งด้วย.. เป็นใคร" พงศ์กิตติ์ถาม
"ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครแล้วไอ้ณคุณไปเจอหล่อนได้ไง แต่ฉันรู้แน่ ๆ ว่าสามีของหล่อนเป็นชาวฟรอนเทียร์ แถมยังเป็นทหารระดับยศสูงด้วย"
สองพี่น้องแทบจะเป็นลมทันทีที่ได้ยิน ประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่มีชื่อว่า "ฟรอนเทียร์" เป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็น "ทหาร" ส่วนกรณีของครอบครัวพศพัชร์และพงศ์กิตติ์ซึ่งย้ายมาจากที่อื่น จะถูกเรียกว่า "พลเมือง" มีสิทธิ์ทำอาชีพต่าง ๆ ได้ยกเว้นข้าราชการ เว้นเสียแต่ว่าจะโอนสัญชาติเป็นชาวฟรอนเทียร์ พศพัชร์ยอมรับว่าเคยคิดจะย้ายสัญชาติแต่มันเป็นแค่ความคิด อันเกิดจากความคึกคะนองของช่วงวัยรุ่นเท่านั้น ด้านดิฐายังเล่าเสริมด้วยว่าสามีของฝ่ายหญิงตามไล่ล่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับณคุณรวมทั้งตัวดิฐาด้วย เรียกได้ว่าการกระทำของเพื่อนคนนี้สร้างความเดือดร้อนมาก
ที่แย่ยิ่งกว่าคือณคุณปิดช่องทางการติดต่อทั้งหมด ทำให้ไม่มีใครสามารถติดต่อได้ สถานการณ์ตอนนี้เพื่อนส่วนมากต่างก่นด่า และสาปส่งณคุณสารพัดเพราะแน่นอนไม่มีใครรับได้กับการกระทำนี้ ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดมากไปกว่านี้ เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นว่า คนที่เปิดคือปราญชลีซึ่งมาตามให้ทุกคนทานมื้อค่ำร่วมกันทำให้บทสนทนาหยุดแค่นี้ สำหรับพศพัชร์นับว่าดีมากเพราะเขาไม่ต้องการให้เรื่องของเพื่อนเก่าพี่ชาย มาทำลายบรรยากาศงานวันเกิด "แพรววา" ลูกสาวตัวน้อยของเขาเด็ดขาด ทุกคนต่างมารวมตัวกันที่ห้องรับประทานอาหาร จุดเด่นของอาหารบนโต๊ะคงไม่พ้นเค้กก้อนใหญ่ พร้อมกับมีป้ายข้อความเขียนว่า "Happy Birthday" อยู่ด้านหลังเค้ก ด้านพจนวีร์กับปราญชลีไปตามเด็กที่ยังไม่มาห้องรับประทานอาหาร โดยหนึ่งในนั้นคือเด็กหญิงอายุห้าถึงหกขวบในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ไว้ผมประบ่าสีดำสนิทอยู่ในออมกอดของพจนวีร์ ฝั่งพศพัชร์ที่เห็นแก้วตาดวงใจก็ลุกเดินไปอุ้มลูกสาว และกอดแก้มทั้งสองด้วยความรัก
"สุขสันวันเกิดนะครับ เจ้าหญิงน้อยของพ่อ" พศพัชร์พูด
"ขอบคุณคะ คุณพ่อ" เด็กหญิงในออมกอดพูดและกอดคอผู้เป็นพ่อ
ดิฐาเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้พศพัชร์เล็กน้อยก่อนจะโพร่งใส่อีกฝ่ายว่า "โอ๊ย ไอ้พ่อเห่อลูก อายุแค่นี้ยังหวงเป็นไข่ในหิน ถ้าโตเป็นสาวนายจะหวงน้องแพรวขนาดไหนกันละเนี่ย"
พศพัชร์หันขวับมามองด้วยแววตาที่ดุร้ายประดุจเหมือนเสือพร้อมขย้ำเหยื่อ
"ฉันไม่ยอมให้ผู้ชายหน้าไหนมาแตะต้องลูกสาวเด็ดขาด" เขาพูดเสียงกร้าว
เพียะ !
พจนวีร์ตีแขนของสามีจอมหวงลูกเพื่อเตือนสติ เนื่องจากน้ำเสียงของพศพัชร์กำลังทำให้แพรววาเริ่มหวาดกลัว เมื่อชายหนุ่มได้สติจึงไม่รอช้ารีบปลอบประโลมเด็กหญิงในทันทีว่า "โอ้ น้องแพรวคนดี พ่อขอโทษนะคะที่ทำให้หนูกลัว" ส่วนดิฐาที่เป็นคนจุดชนวนก็ถูก "อาภัสรา" ผู้เป็นภรรยาหยิบแขนเชิงทำโทษที่ปากไม่ดี บรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้งและทุกคนต่างพร้อมใจกันร้องเพลงสุขสันวันเกิดให้กับหนูน้อยแพรววา เด็กหญิงจะหลับตาอธิษฐานก่อนจะเปาไฟบนเทียนที่ปกอยู่บนเค้ก
+++++++++++
"จิตรเทพ" กับ "จิตราวุธ" ต่างใช้เรี่ยวแรงที่มีปั่นจักรยานให้เร็วที่สุด เท่าที่กำลังแรงปั่นจะทำให้ทั้งสองได้ โชคดีของพวกเขาเพราะเส้นทางบางเส้นรถยนตร์ไม่สามารถผ่านไปได้ นี่คงเป็นข้อดีของจักรยานทว่ามันก็ยังไกลอยู่ดี แม้จะใช้เส้นทางลัดแต่จิตรเทพคาดการณ์ไว้ว่า กว่าจะถึงบ้านทั้งเขาและจิตราวุธคงใช้เวลาสี่ชั่วโมง เด็กชายวัยสิบเจ็ดปีก่นด่าตัวเองในใจว่า เขาควรเกิดให้เร็วกว่านี้ไม่งั้นป่านนี้เขามีรถเป็นของตัวเองแล้ว สักพักสองพี่น้องตัดสินใจหยุดพักก่อน เนื่องจากจิตราวุธหายใจไม่ทันซึ่งระหว่างที่พักเอาแรง จิตรเทพพยายามที่จะติดต่อหา "ร้อยเอกจตุพักต์" พ่อที่น่าจะอยู่บ้าน เพราะวันนี้ไม่มีใครเห็นเขามาทำงานมาหลายวัน เด็กหนุ่มตัดสินใจลองโทรเข้าบ้านดูพร้อมกับภาวนาในใจ ใครก็ได้ช่วยรับสายนี้ทีจะเป็นพ่อหรือ "จิตติพัฒน์" น้องคนเล็กที่อายุห่างหลายปีก็ได้ ขอแค่รับสายก็ยังดี
แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรับสายเลยมันยิ่งทำให้จิตรเทพกังวลมากขึ้น
"ไม่มีใครรับสายเลยเหรอพี่" จิตราวุธถาม
"ไม่" จิตรเทพตอบเสียงเครียด ซึ่งมันก็ทำให้จิตราวุธเครียดตามไปด้วย
เด็กหนุ่มวัยสิบสามถึงกับปาหมวกกันน็อคลงกับพื้น "โธ่เว้ย ! แม่คิดบ้าอะไรอยู่กันแน่... ทำไมว่ะพี่ไจแอนท์ ทำไมแม่ถึงทำกับพวกเราแบบนี้"
คำถามของจิตราวุธก็เป็นสิ่งที่จิตรเทพสงสัยเช่นกัน เขายอมรับว่าแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า ผู้ที่เป็นทั้งภรรยาของพ่อและเป็นแม่ของพวกเขา จะกล้าทรยศหักหลังครอบครัวกันได้แบบนี้ จิตรเทพกับจิตราวุธที่เป็นลูกยังช็อคขนาดนี้ แล้วกับร้อยเอกจตุพักต์ล่ะจะต้องใจสลายระดับไหน สิ่งที่สองพี่น้องกลัวที่สุดคือพ่อจะทำอะไรที่ไม่อาจแก้ไขได้อีก สองนาทีต่อมามีเสียงโทรเข้าก็ดังขึ้น จิตรเทพไม่รอรีบดูทันทีว่าใครคือปลายสาย ซึ่งเขาต้องพบกับความผิดหวังเพราะคนที่โทรมาไม่ใช่พ่อ
"ครับ ผู้กอง...."
เสี้ยววินาทีนั้นสีหน้าของจิตรเทพที่แสดงออกมา มันทำให้ใจคอของจิตราวุธใจคอไม่มีนัก และเมื่อพี่ชายเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้ว แต่เขาก็รวบรวมความกล้าเปิดปากถามขึ้น
"พี่ครับ... ผู้กองเขา..."
"เราต้องรีบกลับบ้าน จั๊กจั่น" จิตรเทพพูดขึ้นโดยไม่รอให้จิตราวุธพูดจบ
"ครับ ?"
"รีบกลับบ้านเถอะ พ่อกับเจตรอพวกเราอยู่"
++++++++++++++