บท
ตั้งค่า

บทที่สอง

ค่ายยุวชนทหาร หน่วยรบพิเศษ

วันนี้ในช่วงเช้าของทุกวันที่บรรดาเหล่ายุวชนทหาร ที่ได้ผ่านการทดสอบคัดเลือก และรับบรรจุมาอยู่หน่วยรบพิเศษสามหน่วย พวกเขาต้องฝึกวิ่งจากค่ายไปขึ้นเขาที่อยู่ด้านหลังค่าย ระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควร การวิ่งไม่มีจัดขบวนเพราะหน้าที่ของพวกเขาคือต้องไปให้ถึงจุดหมาย นั้นคือยอดเขาที่อยู่ตรงหน้าซึ่งครูฝึกกำลังรอพวกเขาอยู่ และเมื่อวิ่งมาถึงพวกเขาก็ต้องวิ่งกลับลงไปที่ค่ายทหารเพื่อรายงานตัวกับผู้บังคับบัญชา ฯ นี่เป็นกิจวัตรประจำวันของ "จิตติพัฒน์ พรหมรักษ์" หรือ "เจต" กับเพื่อน ๆ ของเขาที่ต้องฝึกออกกำลังกาย และรวมไปถึงฝึกการควบคุมพลังที่ได้รับพรมาจาก "ลูกแก้วฟีนิกซ์" ของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศฟรอนเทียร์ มันมีทั้งหมดสิบสามลูกได้แก่ สีน้ำเงิน สีแดง สีฟ้า สีเขียวมรกต สีเทา สีเงิน สีทอง สีแสด สีม่วง และสีดำ อีกสามลูกเป็นลูกชนิดพิเศษคือ ลูกแก้วมนตรา ลูกแก้วจันทราและลูกแก้วสุริยัน ผู้ที่ได้รับพรจากลูกแก้วทั้งสิบสามลูกจะถูกเรียกขานว่า "นักรบฟีนิกซ์" ซึ่งจิตติพัฒน์เป็นผู้ได้รับพรเหมือนกับพี่ชายสองคนอย่างจิตรเทพและจิตราวุธ 

หลังจากที่วิ่งออกกำลังกายกันเสร็จแล้วหมวดที่จิตติพัฒน์อยู่ ครูฝึกได้สั่งให้ทุกคนไปรับประทานอาหารเช้าและเก็บแรงไว้สิบนาที ทุกคนต่างเลิกแถวและแยกย้ายกันไปที่โรงอาหาร ส่วนจิตติพัฒน์กำลังผูกเชือกรองเท้าใหม่อีกครั้ง เด็กหนุ่มจำได้ว่าวันแรกที่ต้องวิ่งขึ้นและลงเขาด้านหลังค่าย ขาทั้งสองแทบไร้ความรู้สึกไปเกือบสองเดือนกว่า แต่ตอนนี้เขาแทบไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดแต่อย่างใด บางทีจิตติพัฒน์อาจเริ่มคุ้นชินกับการฝึกนี้แล้วก็ได้ ไม่นานมีเสียงทักจากด้านซ้ายมือของเด็กหนุ่ม "เจต ไปหาอะไรกินกันเถอะ" มันเป็นเสียงของ "มงคลพัส สิงอุไร" หรือ" มะตู"  เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่วัยเด็กสืบเนื่องจาก" พันโทมนต์ธนัท" พ่อของมงคลพัศก็เป็นเพื่อนกับ "ร้อยเอกจตุพักต์" พ่อผู้เสียชีวิตไปแล้วของจิตติพัฒน์ หลังงานศพของพ่อก็ได้ครอบครัวมงคลพัสช่วยเหลือมาตลอด จิตติพัฒน์และมงคลพัสพากันเดินมายังโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหาร ทั้งสองเห็นคนโบกมือให้คล้ายกับกำลังเรียกพวกเขาอยู่

จิตติพัฒน์กับมงคลพัสพากันเดินมาสมทบกับ "สุพิศาล จงสุทธนามณี" หรือ "หิน" ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะอาหารตรงมุมขวาของโรงอาหาร มียุวชนทหารอีกหกคนนั่งอยู่แต่ก็มีที่ว่างให้สองที่ ใช่แล้วนี่คือกลุ่มเพื่อนที่จิตติพัฒน์กับมงคลพัสสนิทมากที่สุดในหมวด D ทุกคนรู้จักพวกเขาในฐานะ "แก๊งภูเขาไฟ" หัวหน้าแก๊งก็คงไม่พ้นสุพิศาลเพราะเขาคือคนก่อตั้ง เมื่อมีหัวหน้าย่อมต้องมีรองหัวหน้าและผู้ที่โดนยัดเยียดแบบไม่เต็มใจก็คือ "ภานุวัชร์ สภานุชาติ" หรือ "ภาพฟ้า" แม้จะเป็นยุวชนทหารที่ถูกฝึกเพื่อไปรบแต่ลักษณะของภานุวัชร์ ดูจะออกไปทางสกิลสายบุ๋นมากกว่าบู๊เสียด้วยซ้ำ ถัดจากภานุวัชร์คือเด็กหนุ่มน่าตาทะเล้นหน่อย ๆ และกำลังมีความสุขกับอาหารบนโต๊ะ "คชสีห์ ธนสารทรัพย์" หรือ "ค้ำจุน" ถือเป็นตัวเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างดี แถมยังเคยช่วยภานุวัชร์แก้ปัญหาตอนที่สุพิศาลทะเลาะกับจิตติพัฒน์ "ศรศิลป์ เบญจะปัก" หรือ "ศิลป์" ผู้มีหน้าที่หา "งาน" มาให้กลุ่มเสมอ ส่วนมากก็คงไม่พ้นการผิดระเบียบการแต่งกาย ส่งผลให้แก๊งภูเขาไฟถูกลงโทษหมู่เป็นประจำ

คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับศรศิลป์อาจไม่เลวร้ายแต่ก็อย่าไปยั่วยุอารมณ์ดีกว่า "พงศ์ดนัย เทศทะวงศ์" หรือ "พลับ" ครั้งแรกที่เจอหน้ากันจิตติพัฒน์ยอมรับว่าไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่ายเลย เนื่องจากบุคลิกที่เหมือนคนขวางโลกของพงศ์ดนัย และเพราะมงคลพัสที่บอกให้ลองเปิดใจพูดคุยกับอีกฝ่ายดู มันก็ทำให้จิตติพัฒน์ได้เห็นตัวตนจริง ๆ ของพงศ์ดนัยว่า เขาไม่ใช่คนเลวร้ายแต่แค่ไม่รู้วิธีการแสดงออกเท่านั้นเอง ซึ่งระยะหลังมานี้เหมือนพงศ์ดนัยจะพยายามปรับตัวอยู่ สองคนสุดท้ายคือ "บุญทรัพย์ ยุติธรรมธร" หรือ "บุญ" ตัวสูงที่สุดในแก๊งภูเขาไฟและยังสูงเทียบเท่ากับ "รุตชการญ์ หอมชาติ" หรือ "สุกี้" รุ่นพี่ที่มีหน้าที่คอยฝึกฝนพวกเขาแก๊งภูเขาไฟโดยเฉพาะ ทว่าถึงกระนั้นบุญทรัพย์ก็ยังแสดงความเคารพต่อรุ่นพี่เสมอ เพื่อนที่บุญทรัพย์สนิทด้วยมาก ๆ คือ "รพีธรรม นิเวศวัตร" หรือ "เรือใบ" หากบุญทรัพย์คือคนที่ตัวสูงที่สุด รพีธรรมคือคนที่มีร่างกายกำยำมากกว่าเพื่อน ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ทำให้เขาได้รับฉายาว่า "หมัดปืนใหญ่" 

"นี่ พวกนายได้ยินข่าวกันบ้างไหม ได้ยินมาว่าพวกรุ่นพี่จะมีด่านฝึกใหม่ให้กับพวกเราด้วย" คชสีห์พูดขึ้นขณะกำลังเช็ดคราบซอสบนปาก "เห็นบอกว่าได้รับการอนุมัติจากผบ.แล้วด้วย"

"ได้ยินมาเหมือนกัน พี่จั๊กจั่นบอกกับฉันมาว่าอยากเปลี่ยนจากการวิ่งขึ้นเขาเป็นอย่างอื่นนะ" จิตติพัฒน์เสริม

"แต่พี่นายก็ไม่ได้บอกรายละเอียดเลยใช่ไหม" สุพิศาลถาม

"ไม่ พี่บอกมาแค่นั้น" จิตติพัฒน์ตอบ

"อย่าว่าแต่พี่นายเลย เจต ขนาดพี่นับเงินก็ไม่ยอมบอกอะไรฉันเหมือนกัน" รพีธรรมบ่นอุบ 

ไม่นานก็มีทหารยศจ่าเดินตรงมาที่แก๊งภูเขาไฟอยู่ ส่งผลให้ทุกคนพร้อมใจกันยืนตรงเพื่อทำความเคารพ "จ่าสิบโทสตีฟ" ครูฝึกของพวกเขานั้นเอง สิ้นคำว่า "ตามสบาย ยุวชนทหาร" ทั้งหมดจึงอยู่ในท่าทีสบาย ๆ มากขึ้น จ่าสิบโทสตีฟดึงเก้าอี้จากโต๊ะที่ว่างอยู่มาร่วมโต๊ะด้วย ศรศิลป์มีท่าทางที่ร้อนรนแบบแปลก ๆ แต่สำหรับพวกจิตติพัฒน์อาการแบบนี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะศรศิลป์มักถูกจ่าสิบโทสตีฟลงโทษทุกครั้งที่เขาผิดวินัยระหว่างการฝึก ด้านจ่าสิบโทสตีฟที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย

"ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น ยุวชนทหารศรศิลป์ ฉันไม่ได้มาเพื่อจับผิดนาย เจ้าหนู" จ่าสิบโทสตีฟว่า

"ครับ..." ศรศิลป์ขานรับ

"งั้นจ่ามาหาพวกผม มีเรื่องอะไรหรือครับ" ภานุวัชร์ถาม

"ออ ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากบอกว่า ไหน ๆ ทางค่ายก็อนุมัติให้พวกนายลาพักได้สี่วัน ฉันอยากให้พวกนายทุกคนไปพักผ่อนเอาแรงที่บ้านนะ" จ่าสิบโทสตีฟพูด

"ทำไมต้องกลับไปพักที่บ้านด้วยละครับ ในเมื่อพวกผมพักเอาแรงที่นี่ก็ได้" จิตติพัฒน์ถามพร้อมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

"เอาเป็นว่าทำตามที่ฉันสั่งเถอะน่า แค่กลับบ้านมันก็ไม่น่ามีปัญหานี่จริงไหม" 

จ่าสิบโทสตีฟเดินจากไปปล่อยให้แก๊งภูเขาไฟจัดการกับอาหารบนโต๊ะก่อน แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายว่า

"นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง" 

++++++++++++++

"บ้าน" เป็นสถานที่ที่จิตติพัฒน์ยอมรับว่าพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด เขายอมรับว่าแทบจะไม่เคยกลับมาเหยียบที่นี่มาเป็นปี ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาถ้าไม่อยู่ในค่ายก็จะเป็นบ้านของมงคลพัส ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของจิตติพัฒน์เท่าไหร่นัก แต่วันนี้ที่จิตติพัฒน์ไม่อยากไปนอนค้างบ้านของอีกฝ่าย เนื่องจากว่าอยากให้มงคลพัสมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่า แทนที่จะมาเสียเวลาอยู่กับเขาแม้ว่ามงคลพัสจะชักชวนแล้วก็ตาม ทว่าสุดท้ายจิตติพัฒน์เลือกที่จะกลับบ้านตัวเองดีกว่า ที่สำคัญพี่ชายสองคนอย่างจิตรเทพกับจิตราวุธก็จะกลับมาบ้านด้วย เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของสามพี่น้องที่นานมากกว่าจะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตอนนี้ทั้งคู่พ้นสภาพยุวชนทหารกลายเป็นทหารอาชีพเต็มตัว เลยกลายเป็นสาเหตุที่จิตติพัฒน์แทบไม่ได้เจอพี่ ๆ เลย เขาจึงมักใช้เหตุผลนี้อ้างในการขออยู่ค่ายยุวชนทหร เพราะไม่อยากรบกวน "ปรรณรัก" แม่ของมงคลพัสมากไปกว่านี้ และตอนนี้เขาก็ยืนอยู่หน้าทางเข้าบ้านอันแสนจะเงียบเหงา

จิตติพัฒน์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปด้านในตัวบ้าน ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกแวบหนึ่งภาพบางอย่าง มันได้ผุดขึ้นมาในสมองมันเป็นภาพในอดีตที่เลือนลางมาก เขาจ้องมองไปยังห้องรับแขกที่อยู่เบื้องหน้ามันว่างเปล่าไม่มีใคร ดูเหมือนพี่ชายทั้งสองคนยังไม่ถึงบ้านคงกำลังอยู่ระหว่างเดินทาง ไม่นานเขาก็เห็น "รอนนี่" หุ่นยนตร์พ่อบ้านที่ยังคงทำหน้าที่ดูแลบ้านที่ไม่มีใครอยู่มาแรมปี มันกล่าวทักทายจิตติพัฒน์ว่า "ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ คุณจิตติพัฒน์ วันนี้จะให้ผมนำอาหารมาวางบนโต๊ะไหมครับ" แน่นอนว่าจิตติพัฒน์ปฏิเสธเพราะเขาอยากขึ้นห้องเต็มทีแล้ว รอนนี่ก็ยังคงทำหน้าที่เดินนำทางเด็กหนุ่มไปที่ชั้นสอง ห้องนอนของจิตติพัฒน์อยู่ใกล้ ๆ กับห้องเก่าห้องหนึ่ง มีป้ายเขียนกำกับว่า "ห้องทำงานของคุณนาย" ใช่ มันคือห้องที่ "จิดารันต์" ใช้เป็นห้องเย็บผ้าทำเสื้อผ้า สืบเนื่องจากแม่เขาทำงานเกี่ยวกับออกแบบ ห้องนี้อยู่กั้นกลางระหว่างห้องนอนของเขากับของพ่อแม่ หลังโศกนาฎกรรมครั้งนั้นห้องนี้ก็ไม่เคยถูกเปิดอีกเลย

"รอนนี่ ถ้าพี่ไจแอนท์กับพี่จั้กจั่นกลับมาแล้ว ค่อยมาเรียกฉันนะ" จิตติพัฒน์หันมาสั่งกับหุ่นพ่อบ้าน

"ได้ครับ" 

พูดจบรอนนี่ก็เดินบันไดลงไปอย่างว่าง่ายส่วนจิตติพัฒน์ก็กลับมายังห้องนอนของเขา สภาพของห้องก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนักมันก็ยังเหมือนเดิมแค่มีการต่อเติมเล็กน้อย ซึ่งจิตติพัฒน์ใช้มันฆ่าเวลาในช่วงวันหยุดที่นาน ๆ ครั้งจะกลับบ้าน แต่ยามนี้เขาไม่มีอารมณ์อยากเล่นเกมหรืออยากทำอะไรเลย เด็กหนุ่มยังนึกสงสัยตัวเองไม่หายเหมือนกันว่านึกบ้าอะไรอยู่ ถึงได้บ้าจี้ไปทำตามที่จ่าสิบโทสตีฟสั่งแบบนั้น แถมยังตรงจังหวะที่พี่ชายของเขาส่งข้อความกลับมาว่า "วันนี้พี่สองคนจะกลับบ้านกัน มาเจอกันหน่อยสิ น้องชาย" เลยทำให้จิตติพัฒน์จำต้องกลับมาบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นาทีต่อมาจู่ ๆ ก็มีเสียงประทัดดังขึ้นใกล้กับบ้านของเขา พริบตานั้นภาพความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง รอบนี้มันทำให้เด็กหนุ่มเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาทันที ภาพในหัวสลับไปมาจับใจความไม่ค่อยได้ มันเป็นภาพของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในบ้าน ด้วยท่าทางที่สิ้นหวังและเดินโซซัดโซเซเข้ามาอย่างไร้เรี่ยวแรง ชายคนนั้นทรุดลงกับพื้นพร้อมกับขวดเหล้าตกจากมือ ใช่... จิตติพัฒน์จำได้แล้วว่าชายคนนั้นคือ ร้อยเอกจตุพักต์ พ่อของเขาเอง

จิตติพัฒน์ในตอนนั้นยังเด็กมากเกินกว่าจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาในตอนนั้นรู้แค่ว่าพ่อกลับมาบ้านแล้วและดีใจมาก เลยรีบเข้าไปกอดพ่อด้วยความดีใจและพ่อเองก็กอดเขาตอบ ทว่ามันเป็นอ้อมกอดที่มีความหมายบางอย่าง ที่ตัวจิตติพัฒน์ในวัยเพียงหกขวบไม่เข้าใจ แต่ถ้าเป็นตอนนี้เขารู้ความหมายของการกอดที่พ่อมอบให้ในวันนั้น มันคืออ้อมกอดแห่งความเสียใจและสิ้นหวัง ตอนที่พ่อกอดเขาแล้วก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุดเหมือนกับพ่อได้ย้อนเวลากลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง อนิจจา... เด็กชายจิตติพัฒน์ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงร้องไห้ เลยถามด้วยความไร้เดียงสาของเด็กคนหนึ่ง "พ่อครับ... พ่อร้องไห้ทำไมครับ.." นาทีนั้นเองที่ร้อยเอกจตุพักต์มองหน้าสบตากับลูกชายคนเล็ก มันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเด็กชายที่ได้เห็นแววตาของพ่อในตอนนั้น แววตาคู่นั้นช่างเต็มไปด้วยความหลากหลายทางอารมณ์ 

เสียงของพ่อที่เต็มไปด้วยความเสียใจเกินจะบรรยายได้ มันยังคงดังก้องอยู่ในหัวของจิตติพัฒน์เสมอ

"เจต.... แม่ทิ้งพวกเราไปแล้ว แม่หักหลังพ่อ.... พ่อไม่เคยรู้มาก่อนเลย... พ่อมันโง่มากที่เชื่อในเส้นผูกวิญญาณ" ร้อยเอกจตุพักต์พูดไม่ได้ศัพท์เพราะเสียงสะอื้นที่ปนมาด้วย

"พ่อครับ..." เด็กชายยังไม่เข้าใจความหมายของพ่อเท่าไหร่

ตอนนั้นเองมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแต่พ่อกลับไม่แม้แต่จะขยับตัว เอาแต่นั่งเหม่อลอยเหมือนคนเสียสติไปโดยสิ้นเชิง เด็กชายก็หลงคิดไปเองว่าพ่อคงเหนื่อยเลยคิดอาสาจะรับสายแทน จึงลุกไปรับโทรศัพท์ที่ดังไม่ขาดสายและเมื่อเด็กชายกดรับสาย "ฮัลโหล หวัดดีครับ" เสียงปลายสายดูร้อนรนอย่างมาก "ไอ้พัก แกอยู่ไหน ! อยู่บ้านหรือเปล่า ฉันกำลังไปหา อย่าทำอะไรบ้า ๆ เด็ดขาด...." คู่สนทนายังไม่ทันจะตัดสายทิ้ง ปัง !.... มันดังเพียงครั้งเดียว... แค่ครั้งเดียว จิตติพัฒน์ในวัยหกขวบหันกลับมาก็เห็นพ่อนอนจมกองเลือดต่อหน้า โดยที่มือขวาของพ่อถือปืนลูกโม่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เด็กชายยืนแข็งเป็นหินภายในพริบตา แทบไม่มีเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อยทั้งที่ความจริงเขาแทบอยากตะโกนก้องบ้านด้วยซ้ำ เพียงแค่มันร้องไม่ออกมันก็เท่านั้น ประมาณสองหรือสามนาทีละมั่งที่มีใครคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน พ่อของมงคลพัสคือคนแรกที่มาถึงและอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา จิตรเทพกับจิตราวุธก็ปั่นจักรยานมาถึงพอดีและต่างรีบวิ่งมากอดเขาแทบจะทันที

หลังงานศพของพ่อผ่านพ้นไปพร้อมคำถามมากมายในหัวของเด็กชาย คำถามที่ภายหลังจิตติพัฒน์เจอคำตอบในวันที่เขาโตพอที่จะรู้ความจริงแล้ว ว่าสาเหตุอะไรทำไมร้อยเอกจตุพักต์ถึงตัดสินใจยิงตัวตาย ทั้งหมดมันก็มาจากแม่ของเขานั้นเอง

"ทำไมเหรอครับแม่... ทำไม แม่ถึงทำแบบนี้กับผม.... กับพ่อ... กับพวกเรา..." จิตติพัฒน์พึมพำออกมาและมองไปยังกรอบรูปภาพหนึ่ง ซึ่งถูกคว่ำกับโต๊ะเอาไว้ "แม่เห็นผู้ชายคนนั้นมีค่ากว่าพวกเราได้ยังไงกัน" 

เหลืออีกคำถามเดียวในใจที่จิตติพัฒน์เชื่อว่าไม่มีทางหาเจอ เพราะคำตอบนั้นมันต้องออกมาจากปากของแม่เท่านั้น เวลามันก็ผ่านมาได้สิบเอ็ดปีแล้วข่าวคราวของแม่แทบไม่มีเลย และเขาคงไม่คิดจะตามหาผู้หญิงใจร้ายคนนั้นด้วย ครู่ต่อมาจิตติพัฒน์ก็ทิ้งตัวลงกับเตียงนอนของตัวเอง เขาเลือกที่จะคว่ำหน้าตัวเองเพื่อที่จะให้น้ำตามันไหลซึมกับผ้าปู ในห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้านั้นเองที่จู่ ๆ เสียงของใครบางคนก็แล่นเข้ามาในจิตใต้สำนึกของเขา

[เธอเป็นอะไรหรือเปล่า โอเคไหม] 

+++++++++++++

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel