บทที่ยี่สิบแปด
พิมพ์พรรณและแพรววาพากันเดินลงจากรถแท็กซี่ซึ่งพามาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มีคนสองคนยืนรออยู่และส่งยิ้มให้สองสาวอย่างดีใจ แพรววาวิ่งตรงเข้ามาสวมกอดชไมพรผู้เป็นย่าด้วยความดีใจ เช่นเดียวกับพิมพ์พรรณที่เดินมาสวมกอดพงศ์ภรณ์แต่ต้องระวังเล็กน้อย สืบเนื่องจากสุขภาพของปู่ยังไม่ดีมากนัก อย่างไรก็ตามการได้เห็นหลานรักสองคนเดินทางมาเยี่ยม มันก็เปรียบได้เหมือนน้ำยาอมฤตที่คอยบรรเทาอาการเจ็บไข้ป่วย ย้อนกลับไปก่อนที่สองพี่น้องจะเดินทางมาเมืองหลวง พิมพ์พรรณกับแพรววาเลือกที่จะบอกพจนวีร์และปราญชลีแทน เพราะพวกเธอรู้ดีว่าพศพัชร์กับพงศ์กิตติ์มีนิสัยเหมือนกันคือ ต่างคนต่างเคารพภรรยามากจนไม่อาจคัดค้านประกาศิตที่ได้อนุญาต ให้สองพี่น้องเดินทางไปเมืองหลวงกันเองทว่ามีข้อแม้แค่อย่างเดียวคือ แพรววากับพิมพ์พรรณต้องส่งข่าวให้ทางบ้านรู้ว่าได้เดินทางมาถึงแล้ว ชไมพรและพงศ์ภรณ์พาสองสาวเข้าไปในบ้านทันที ห้องพักที่สองปู่ย่าเตรียมไว้ให้ทั้งสองจะอยู่ชั้นสอง โดยห้องตรงใกล้ ๆ ริมบันไดจะเป็นห้องของพิมพ์พรรณ ส่วนห้องที่ใกล้ริมหน้าต่างเป็นของแพรววา
แต่เดิมนั้นสองห้องนี้เคยเป็นห้องนอนของพศพัชร์กับพงศ์กิตติ์ในอดีต หลังจากที่เอาข้าวของไปไว้ในห้องพักแล้วแพรววาก็รีบส่งข้อความบอกกับกลุ่มมณีอร แล้วรีบเดินตามมาสมทบที่ห้องรับประทานอาหาร ชไมพรจัดเตรียมอาหารวางบนโต๊ะต้อนรับหลานสาวไว้แล้ว พิมพ์พรรณกับแพรววาจึงพากันมานั่งข้างปู่กับย่าด้วยความคิดถึง การสนทนาบนโต๊ะอาหารส่วนมากจะเป็นคำถามโดยทั่วไป ทำให้สองสาวรู้ว่านับตั้งแต่การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่มาคุณภาพชีวิตในเมืองหลวงก็ดีขึ้นตามลำดับ ชไมพรเล่าเรื่องราวในอดีตให้หลานทั้งสองฟังว่าช่วงเวลาที่อาชญากรรมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มันทำให้ชไมพรไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียวโดยเฉพาะยามวิกาล ส่วนพงศ์ภรณ์ในอดีตก็ถึงกับต้องยอมซื้อปืนมาไว้ป้องกันตัว เพราะกลัวจะมีกลุ่มโจรบุกขึ้นบ้านเนื่องจากเพื่อนบ้านโดนไปแล้ว ถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว
พิมพ์พรรณที่ได้ฟังก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมพงศ์กิตติ์ถึงไม่พาเธอมาเมืองหลวง เพราะช่วงเวลานั้นมันไม่ค่อยปลอดภัยนั้นเองทว่าถึงกระนั้นแพรววาก็ยังมีคำถาม "ทำไมคุณปู่กับคุณย่าถึงไม่ย้ายไปอยู่กับเราด้วยกันละคะ" ชไมพรกับพงศ์ภรณ์เลือกที่จะยิ้มให้ก่อนที่จะตอบคำถามของเด็กสาว "ก็ตอนนั้นหลานทั้งคู่ยังเล็กมาก แถมประกอบกับสถานะการเงินของพ่อหลานเองไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้" พงศ์ภรณ์ยกแก้วชาขึ้นมาดื่ม "ปู่กับย่าเลยไม่อยากเป็นภาระน่ะ" แพรววากับพิมพ์พรรณจึงไม่ถามอะไรต่อต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อ ครู่ต่อมาเกิดเสียงดังขึ้นจากด้านนอกทำเอาสองสาวถึงกับสะดุ้ง ซึ่งตรงข้ามกับชไมพรกับพงศ์ภรณ์ที่ยังคงรับประทานอาหารตามปกติ พร้อมกับอธิบายให้กับหลานทั้งสองฟังว่าเนื่องจากบ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับถนนสายหลักที่กองทัพฟรอนเทียร์มักจะใช้เคลื่อนย้ายรถหุ้มเกราะ หรือแม้กระทั่งรถถังซึ่งหากฟังจากเสียงแล้วคาดว่าน่าจะเป็นรถถัง พิมพ์พรรณที่ได้รู้คำตอบแล้วก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกได้
"ปู่คะ ถ้าบ้านหลังนี้ติดกับถนนที่กองทัพเขาใช้ก็แปลว่าค่ายทหารก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ใช่ไหมค่ะ" พิมพ์พรรณถามและตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก
พงศ์ภรณ์ครุ่นคิดสองนาทีก่อนจะตอบคำถาม "ไม่เชิงเรียกว่าค่ายหรอก ห่างจากบ้านปู่ไปก็จะเป็นที่พักของทหารน่ะ" จากนั้นชายชราก็เงียบไปและพูดต่อว่า "รู้สึกว่าจะมีทหารกลุ่มใหม่ย้ายเข้ามาอยู่นี่ ถ้าจำไม่ผิด"
เสียงข้อความดังขึ้นจากกระเป๋าเสื้อของพิมพ์พรรณ มันเป็นข้อความที่ส่งมาจากมงคลพัสซึ่งได้ส่งพิกัดที่พักมาให้ และพอพิมพ์พรรณกดดูพิกัดของบ้านพักก็ต้องพบกับความแปลกใจ เพราะบ้านพักของพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากบ้านของปู่กับย่าเธอเลย จากนั้นมงคลพัสก็ส่งข้อความใหม่มาอีกรอบว่า หากจะมาพบเจอคงต้องรอช่วงตอนเย็น ๆ เนื่องจากเวลานี้ ทั้งมงคลพัสกับจิตติพัฒน์ยังอยู่ที่ค่ายทหารอีกทั้งยังบอกให้สองสาวอย่าลืมพกร่มด้วย เพราะคาดว่าฝนอาจตกได้แพรววาที่แอบอ่านข้อความ ก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบข้างหูอีกฝ่ายไม่ได้ "แหม โชลเมทของพี่พิมเนี่ย ใส่ใจพี่มากเลยนะ" พิมพ์พรรณที่ได้ยินก็รู้สึกหน้าร้อนผาวเล็กน้อย และหันมาหยิกเนื้อแขนเบา ๆ ใส่แพรววา
++++++++++++++
"ไอ้บ้าเอ้ย ทำไมฝนต้องมาตกตอนนี้ด้วยว่ะ" พงศ์ดนัยพูดด้วยเสียงไม่พอใจขณะกำลังเดินฝ่าฝนเพื่อกลับที่พัก "จะแห้งทันก่อนไปทำภารกิจเนี่ย"
"เอาน่า เอาน่า เอาน่า" บุญทรัพย์ตบบ่าพงศ์ดนัยเบา ๆ "ที่ห้องนายยังมีเครื่องอบแห้งอยู่ไม่ใช่หรือ จะกังวลไปทำไม"
"อย่ามัวแต่คุยกันเลยรีบกลับที่พักได้แล้ว" สุพิศาลหันมาพูด
ทั้งแปดคนพากันวิ่งฝ่าฝนตรงไปยังหอพักท่ามกลางสายฝน ที่ถาโถมกระหน่ำสาดลงมาไม่มีท่าทีจะหยุดลงแม้แต่น้อย จิตติพัฒน์รู้สึกได้ว่าน้ำฝนซึมเข้ามาในรองเท้าจนตลอดก้าวเท้าเดิน เขาได้ยินเสียง แฉะ แฉะ ดังมาจากรองเท้าผ้าใบ หลังวิ่งฝ่าฝนมาได้สี่นาทีในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่พักแล้วทว่าสายตาของศรศิลป์ก็จะสังเกตเห็นว่า ตรงทางเข้ามีเงาของคนสองคนที่กางร่มยืนอยู่ "เฮ้ย สองคนนั่นใครอ่ะ" ทั้งหมดพร้อมกันมองไปทางที่ศรศิลป์ชี้ให้ดู ไม่นานพวกเขาก็ได้คำตอบแล้วว่าสองคนปริศนาคือใคร "มะยม !" พิมพ์พรรณโบกมือส่งยิ้มให้ เล่นเอามงคลพัสทำตัวไม่ถูกแถมยังโดนเพื่อนมองอีกทว่าตรงข้ามกับจิตติพัฒน์ ที่ดูจะตกใจและวิตกกังวลเมื่อรู้ว่าพิมพ์พรรณพาแพรววามาด้วย เด็กหนุ่มรีบหลบสายตาไม่ยอมมองหน้าแพรววาแม้แต่น้อย ซึ่งมันทำให้เด็กสาวฉงนใจกับพฤติกรรมของจิตติพัฒน์เป็นอย่างมาก
หกนาทีต่อมาจู่ ๆ ฝนที่สาดลงมาก็เริ่มอ่อนกำลังลงราวกับมีคนค่อย ๆ มาปิดก๊อกน้ำ อย่างไรก็ตามรพีธรรมก็ได้เชิญแขกผู้มาเยือนทั้งสองเข้ามายังด้านในหอพักได้ รอให้ฝนหยุดลงเสียก่อนแล้วค่อยกลับก็ยังไม่สาย จิตติพัฒน์ตัดสินใจที่จะเดินพรวดพราดตรงไปยังทางเข้า แต่แพรววาเข้ามาขัดขวางไว้เสียก่อนตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่า จิตติพัฒน์มีเจตนาต้องการหลบหน้าเธอและตอนนี้เขาไม่มีทางหนีเธอพ้น "เจต เราต้องคุยกัน" ไม่ว่าเปล่าแพรววาก็จับมือจิตติพัฒน์และตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหอพัก กลุ่มสุพิศาลต่างพากันทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองตามคนทั้งสองเดินหายเข้าไปในสวน ด้านพิมพ์พรรณหันมาถามมงคลพัส "เราควรตามไปดูหน่อยดีไหม" มงคลพัสพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันมาบอกให้คนอื่น ๆ เข้าหอพักกันไปก่อนจากนั้นก็เดินเข้าสวนพร้อมกับพิมพ์พรรณ
ฝั่งแพรววาที่ลากตัวจิตติพัฒน์เข้ามายังข้างในสวนแล้ว เธอจึงยอมปล่อยมือจิตติพัฒน์และหมุนตัวหันมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม "เธอหลบหน้าฉันทำไม เจต" ฝ่ายจิตติพัฒน์ถึงกับชะงักเพราะไม่คิดว่าแพรววาจะถามตรง ๆ แบบนี้
"เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี้" จิตติพัฒน์ถามกลับเพื่อหลีกเลี่ยงคำถามแรกของแพรววา "มะยมเป็นคนบอกใช่ไหม"
แพรววาไม่ตกหลุมพรางของเด็กหนุ่ม
"มันไม่สำคัญว่าใครบอกฉัน แต่เธอต้องตอบคำถามนี้ไม่งั้นอย่าหวังว่าฉันหรือเธอจะออกจากตรงนี้" แพรววาพูดเสียงจริงจัง
"เธอกลับไปเถอะ แพรว" จิตติพัฒน์พูดเสียงหนักแน่น "มันไม่มีประโยชน์หรอก"
"หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่มีประโยชน์.... ที่ผ่านมาฉันคือใครในสายตาของเธอกันแน่ เป็นของเล่นที่พอเล่นจนเบื่อแล้วก็ทิ้งลงถังขยะอย่างนั้นสินะ"
จิตติพัฒน์หันขวับมาทางเด็กสาวอย่างลืมตัว "ของเล่นงั้นหรือ"
"ใช่ ! ที่โรงเรียนฉันชอบเล่าลือกันว่าพวกชาวฟรอนเทียร์น่ะ ไม่มีใครจริงใจด้วยหรอกเพราะส่วนใหญ่แค่อยากได้แม่พันธุ์หรือพ่อพันธุ์เพื่อขยายคนในชาติของตัวเองเท่านั้นแหละ"
เรื่องเล่าลือดังกล่าวจิตติพัฒน์พอได้ยินมาบ้างแต่ไม่ใช่กับคนในกองพันฟีนิกซ์แน่ บางอย่างบอกกับเขาว่าแพรววากำลังเหมาว่าเขามีสันดานเลวทรามเหมือนพวกนั่น "บ้าไปกันใหญ่แล้ว ถ้าเธอเชื่อเรื่องเล่าแบบนั้น"
"ทีแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกจนกระทั่งการกระทำของเธอในตอนนี้ มันเริ่มทำให้ฉันต้องคิดทบทวนเรื่องเล่าลือนั้นแล้วล่ะ"
"ฉันไม่เคยเห็นเธอเป็นของเล่น แพรว.... แต่..."
จิตติพัฒน์เกิดอาการพูดอะไรไม่ออกไม่รู้ว่าเพราะอะไร เด็กหนุ่มเกิดคำถามขึ้นในใจว่าทำไมเขาไม่บอกเธอไปละว่า แค่เพราะการที่เขากับเธอเป็นโชลเมทกันมันย่อมไม่ได้หมายความว่า ทั้งสองจะสามารถครองรักกันได้เสียหน่อย... ใช่ เหมือนอย่างพ่อกับแม่ของเขายังไงล่ะ นาทีนั้นเองที่ภาพของพ่อเอาปืนจ่อหัวลั่นไกก็ปรากฏบนความทรงจำอีกครั้ง แต่ทำไมเขาถึงพูดไม่ออกได้ล่ะเมื่อนึกถึงสีหน้าของแพรววา รวมไปถึงความเสียใจที่เธอต้องมีมากแน่ ๆ เพราะแค่นี้เขาก็ทำร้ายเธอมากแล้ว ทว่าเหตุผลมันมีแค่นี้จริงหรือไม่ใช่เพราะจริง ๆ แล้วเขากำลังหนีอะไรบางอย่าง ความสับสนมากมายบนใบหน้าและท่าทางของจิตติพัฒน์ มันทำให้แพรววาเริ่มฉงนใจและเธอสัมผัสได้ว่าจิตติพัฒน์มีเรื่องที่ปิดบังเธอ แถมดูจะเป็นเรื่องที่กำลังทรมานเขาจากด้านใน นาทีนั้นเองที่จากความไม่พอใจในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความห่วงใย เด็กสาวยื่นมาจับมือของจิตติพัฒน์อย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา มันได้ผลเพราะเหมือนเป็นการเรียกสติของจิตติพัฒน์เองด้วย
"ฉันคือใครในสายตาของเธอกันแน่ เจต... ขอร้องบอกความจริงกับฉัน"
สายตาของจิตติพัฒน์ยังไม่ยอมสบตากับแพรววาอยู่ดี แม้จะตั้งสติได้แล้วก็ตามเขารู้ดีว่าหากสบตาเข้าไปละก็ มีหวังเขาคงได้กลายเป็นน้ำแข็งที่ถูกความร้อนละลายกลายเป็นน้ำแน่ ๆ แต่แล้วสิ่งที่จิตติพัฒน์ไม่คาดคิดก็คือ แพรววาเอาสองมือจับใบหน้าของเด็กหนุ่มให้หันมามองตรง ๆ กับเธอ ในเสี้ยววินาทีที่เขาและเธอสบตากันจิตติพัฒน์ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงและเร็ว จนมันแทบจะทะลักออกมาจากกลางอกแล้วดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายของแพรววา ทำให้จิตติพัฒน์ถึงกับชะงักราวกับต้องมนสะกดและเหมือนกาลเวลารอบตัวหยุดหมุนไป ด้านฝั่งของแพรววาเองก็ใจเต้นไม่แพ้กันกอปรกับไม่คาดคิดว่าตนเองจะกล้าทำอะไรแบบนี้ "ได้โปรดเถอะเจต..." ยังไม่ทันจะเอ่ยประโยคจบ จู่ ๆ จิตติพัฒน์ก็เอาสองมือสวมกอดแพรววาแล้วก็โน้มหน้าลงมาพร้อมประกบริมฝีปากของแพรววา เด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่นาทีต่อมาเธอจะเอาสองมือโอบกอดคอของจิตติพัฒน์คล้ายกับว่าเธอตอบสนองต่อรสจูบของเขา ทว่า.... มีใครบางคนฉุดตัวจิตติพัฒน์ให้ออกห่างจากแพรววาด้วยความแรงสุดเหวี่ยง ตามมาด้วยน้ำเสียงของโกรธเกรี้ยวอันคุ้นเคยที่ทำให้แพรววาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
และเจ้าของเสียงนั้นคือ พศพัชร์ พ่อของเธอเอง
++++++++++++++