บทที่ยี่สิบหก
เบลล่าเดินลงจากรถด้วยความประหม่าเลยเงยหน้ามองคฤหาสน์อันใหญ่โต และหรูหราที่บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของมีฐานะร่ำรวยมากแค่ไหน แม้ภายนอกจะหรูหราและสง่างามแต่สำหรับเบลล่า กลับไม่สามารถที่จะเรียกมันว่า "บ้าน" ได้อย่างเต็มปาก เหตุเป็นเพราะมันไม่ใช่สถานที่ที่เธอผูกพันมาตั้งแต่แรกแล้ว ระหว่างที่เดินเข้ามาในเขตสวนหน้าคฤหาสน์ดังกล่าว ภาพในอดีตของเด็กสาวก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายลมที่พัดมาสัมผัสผิวกายอย่างแผ่วเบา ทว่ากลับให้ความรู้สึกเย็นเฉียบแทรกซึมเข้าไปถึงขั้วหัวใจของเด็กสาว สำหรับคนนอกโดยเฉพาะเพื่อนในรั้วโรงเรียนต่างก็ต้องอิจฉาที่เธอเกิดอยู่ในวงศ์ตระกูลไฮโชและร่ำรวยมากครอบครัวหนึ่ง แต่ใครจะล่วงรู้ล่ะว่าแท้จริงแล้วเบลล่าคือเด็กที่เศรษฐีนาม "เจนเซ่น พริดเดิล" ผู้เป็นพ่อไม่ได้ต้องการให้เธอเกิดมาตั้งแต่แรก ! เมื่อนึกถึงพ่อภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังถักไหมพรมสีชมพูซึ่งเป็นสีที่เบลล่าชอบมาก สองมือที่เต็มไปด้วยความหยาบกระด้างอันเกิดจากการทำงานหนัก เพื่อดูแลแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียวที่กำลังนั่งมองไหมพรมสีชมพูด้วยความไร้เดียงสา ในไม่ช้าน้ำตาของเบลล่าก็ไหลอาบแก้มทั้งสองด้วยความอาลัยอาวรณ์
"แม่คะ.... หนูคิดถึงแม่เหลือเกิน" เบลล่าพึมพำออกมาก่อนจะเช็คน้ำตา
เมื่อครั้งในอดีตนั้นเดิมทีเบลล่าไม่ได้เติบโตที่ฟรอนเทียร์ หากแต่เป็นประเทศห่างไกลอย่างฟิลาเฟลซึ่งตอนนั้นเธออาศัยอยู่กับ "เลสลีย์" ตามลำพังสองแม่ลูก เนื่องจากเลสลีย์ตั้งท้องในช่วงกำลังใกล้เรียนจบทำให้ถูกเชิญออกจากมหาวิทยาลัย จึงถูกพ่อแม่ขับไล่ออกมาจากบ้านและแฟนหนุ่มผู้มาจากครอบครัวร่ำรวย ทว่ากลับไร้ความรับผิดชอบและเก็บเสื้อผ้าหนีกลับบ้านเกิด ทิ้งให้เลสลีย์ต้องเลี้ยงดูลูกน้อยตามลำพังแต่เธอก็เลี้ยงดูด้วยความรัก ทำให้เบลล่าในวัยเด็กค่อนข้างสดใสช่างแตกต่างจากปัจจุบันที่เป็นตอนนี้มาก เหตุการณ์ที่เบลล่าไม่เคยลืมเลือนเลยคือตอนที่เลสลีย์ผู้เป็นแม่ที่กำลังป่วยหนักและต้องใช้เงินจำนวนมาก ทว่าเลสลีย์ก็ยังกัดฟันทนทำงานเพื่อดูแลเบลล่าจนในที่สุดร่างกายก็ทนไม่ไหว จนพ่อแม่ของเธอซึ่งมีศักดิ์เป็นตายายต้องรีบมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล เบลล่าจดจำแววตาอันเย็นชาที่ "เอเมอรี" มองมาที่ตนเองได้ไม่ลืม ซ้ำร้ายเพื่อหาเงินมารักษาลูกสาวจนถึงกับยอมทำสิ่งที่เรียกได้ว่าร้ายกาจกับเด็กตัวเล็ก ๆ ได้ นั้นคือการกลับไปติดต่อหาครอบครัวของพ่อเบลล่าที่ไม่เคยเหลียวแลเธอกับแม่เลย เจนเซ่นที่ทราบเรื่องก็เดินทางมาเยี่ยมอดีตคนรักและมาเพื่อดูหน้าเบลล่า
แน่นอนว่าเจนเซ่นยอมที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับเลสลีย์ แลกกับการที่เขาจะต้องได้เป็นผู้เลี้ยงดูเบลล่าแต่เพียงผู้เดียว เอเมอรีตอบตกลงทันทีโดยไม่สนใจคำคัดค้านจาก "โอลีฟ" ผู้เป็นภรรยาของตน แน่นอนว่าการกระทำของเอเมอรีย่อมทำให้เกิดผลเสียอันใหญ่หลวงคือ เมื่อเลสลีย์รู้ว่าพ่อแท้ ๆ นำลูกสาวไปขายให้กับเจนเซ่น ก็เสียใจและด่าทออีกฝ่ายด้วยถ้วยคำที่สองสามี-ภรรยาคาดไม่ถึง ก่อนที่อีกเจ็ดวันให้หลังเลสลีย์ก็เสียชีวิตลงเนื่องจากตรอมใจที่ต้องเสียเบลล่าไป กลายเป็นแผลใจที่ใหญ่มาก ๆ ในหัวใจของเบลล่าที่รู้ข่าว แต่แม้จะรู้ว่าแม่เสียเบลล่ากลับไม่สามารถไปเยี่ยมหลุมศพของแม่ ถึงจะได้อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่โตเหมือนที่เคยจินตนาการไว้ ทว่าสำหรับเธอแล้วมันคือคุกขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถหนีออกมาได้ ในเสี้ยววินาทีที่เธอก้าวเท้าเข้ามาก็ต้องเผชิญหน้ากับสายตาอันรังเกียจจาก "คริสติน" และพี่ต่างมารดาอย่าง "แองเจลีค" "แซมมวล" และ "โคลิน" แถมยังถูกกลั่นแกล้งจากทั้งสามโดยที่ไม่มีใครสนใจเธอเลย
จนงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบแต่งงานของเจนเซ่นกับคริสติน เบลล่าได้พบกับสองพี่น้องอย่างคริสเตียนและคริสติน่าเนื่องจากพ่อของทั้งคู่ เป็นเพื่อนสมัยเรียนของเจนเซ่นที่เบลล่ารู้สึกได้ว่าพ่อของเธอจะไม่ชอบหน้า "อูเธอร์" เท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยเบลล่าก็ยังมีเพื่อนที่ห่วงใยเธอเสมอมาแม้กระทั่งตอนนี้ คำถามที่เด็กสาวไม่อาจหาคำตอบมาได้คือตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอผลักไสไล่ส่งเพื่อนที่ดีที่สุดแบบนี้ และคำถามที่ว่าแค่เพราะผู้ชายคนหนึ่งไม่รับรักเธอถึงกับต้องทำอะไรแบบที่แม้แต่ตัวเบลล่ายังคาดไม่ถึง หลังจากที่เดินเหม่อมาได้พักหนึ่งในที่สุดเธอก็ได้มาถึงประตูทางเข้าบ้านที่มีคนรับใช้เปิดรอให้เธอเดินเข้าไปข้างใน "คุณเจนเช่นรอคุณหนูอยู่ที่ห้องนั่งเล่นครับ" พ่อบ้านกระซิบบอกแก่เบลล่า ฉับพลันร่างกายของเด็กสาวก็เกิดสั่นเทาจนควบคุมไม่ได้ ยิ่งต้องมาเผชิญหน้ากับเจนเซ่นและคนอื่น ๆ อีกมากมายที่เบลล่าไม่คุ้นหน้า ทุกสายตาที่ว่างเปล่าเหล่านั้นตัวเบลล่าชินชาเสียแล้วแต่ถึงกระนั้นเธอเลือกที่จะแสดงสีหน้าเรียบเฉย
"กลับมาแล้วคะ คุณพ่อ" เธอกล่าว
ทันทีที่กล่าวจบเจนเซ่นลุกจากโซฟาเดินตรงมาหาเด็กสาวอย่างรวดเร็ว จนเบลล่าตั้งตัวไม่ทัน
เพียะ !
เสียงดังสนั่นกลางห้องนั่งเล่นรวมพร้อมกับใบหน้าของเบลล่าหันไปทางซ้ายเล็กน้อย อันเกิดจากแรงตบของเจนเซ่นที่ใบหน้าแสดงถึงความไม่พอใจและเดือดดาลอย่างมาก แวบหนึ่งสายตาของเบลล่าก็เห็นสีหน้าของแองเจลีคที่นั่งตรงมุมซ้ายโซฟา แสดงสีหน้าเหมือนพึงพอใจที่ได้เห็นเธอถูกพ่อตบหน้าแบบนี้ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเธอเพราะในสายตาแองเจลีคแล้ว เบลล่าคือลูกนอกสายเลือดที่ไม่ควรจะอยู่ในบ้านหลังนี้เสียด้วยซ้ำ เบลล่าหันมามองหน้าเจนเซ่นด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา ต่างจากเจนเซ่นที่โกรธมากจนหน้าเขาแดงยิ่งกว่ามะเขือแดงที่สุกง่อมแล้วเสียอีก "ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ! ว่าอย่าได้สร้างปัญหาระหว่างที่ฉันกำลังจะผูกมิตรกับรัฐบาลฟรอนเทียร์" เจนเซ่นหันไปพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกด้วยความโกรธ ฝั่งคริสตินก็พูดแทนสามีว่า "แกรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้ตำรวจเขามาถึงบ้านของเรา เพราะปัญหาที่แกก่อเอาไว้" จากนั้นนางก็ลุกจากโซฟาเดินมาเผชิญหน้ากับเด็กสาวจ้องหน้าด้วยความนึกรังเกียจ "พวกเราเสียเงินเสียทองเลี้ยงดูแกมา แต่แกตอบแทนพวกเราแบบนี้งั้นเรอะ ยัยเด็กเลว"
เบลล่าชินชากับคำว่า "เด็กเลว" เป็นชื่อเล่นที่คริสตินมอบให้เธอตั้งแต่เด็ก ทว่าเจนเซ่นก็หันขวับมาทางคริสตินด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก "ฉันกำลังสั่งสอนลูกอยู่ อย่าเข้ามายุ่งได้ไหม" คริสตินที่ได้ยินก็มองหน้าสามีอย่างไม่พอใจนัก "แล้วใครใช้ให้คุณนำเด็กนี้เข้ามาในบ้านล่ะ เราก็อยู่ดีมีสุขกันแล้วแท้ ๆ แต่กลับต้องมาส่งเสียเลี้ยงดูมันแถมยังต้องแบ่งห้องนอนให้มันนอนด้วย" เจนเซ่นที่ได้ยินหันมาสวนกลับภรรยาทันที "เธอกล้าโต้เถียงฉันแล้วหรือคริสติน" เบลล่าสังเกตเห็นหน้าถอดสีที่ออกมาจากคริสติน ลึก ๆ แล้วคริสตินก็ค่อนข้างเกรงใจเจนเซ่นพอสมควร ทว่ามันไม่ใช่ความรักแบบสามี-ภรรยามีต่อกัน ไม่ใช่แค่คริสตินเท่านั้นเบลล่ายังเห็นสีหน้าซีดเผือกด้วยความหวาดกลัวจากสามพี่น้องด้วย ใช่ ทุกคนในบ้านหลังนี้ต้องเกรงใจเจนเซ่นทั้งนั้นถ้ายังอยากมีที่ซุกหัวนอน ครู่ต่อมาเจนเซ่นก็ทำการจัดเนกไทให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะหันมาทางเบลล่าอีกครั้ง
"ฉันจัดการเคลียร์กับตำรวจไปแล้ว ถือว่าแกยังโชคดีที่อีกฝ่ายไม่เอาเรื่องกับแก" เจนเซ่นกล่าว "ฉันขอสั่งกักบริเวณแกสิบวัน"
เบลล่าไม่ตอบโต้ได้แต่นั่งนิ่งน้อมรับการลงโทษ ทว่าไม่ใช่สำหรับคริสติน
"ว่าไงนะ ! แค่กักบริเวณ คุณเสียสติไปแล้วหรือไง นังเด็กนี้พึ่งทำให้ตำรวจเข้ามาในบ้านและ..."
"เมื่อกี้เรียกฉันว่าอะไรนะ"
คริสตินชะงักเมื่อได้ยินเสียงเย็นจากเจนเซ่น ไม่นานฝ่ามือของเขาก็พุ่งเข้าไปกระทบใบหน้าของคริสตินทันที สร้างความตกใจให้กับทุกคนมากโดยเฉพาะเบลล่า เพราะมันคือครั้งแรกที่เธอเห็นพ่อตบคนอื่นที่ไม่ใช่เธอส่วนฝั่งลูกทั้งสามของคริสติน ก็พากันนั่งแข็งทื่อเป็นหินไม่มีใครมีสีหน้าสะใจเหมือนกับตอนแรก
"ถ้ายังอยากมีพื้นที่ให้ตัวได้ยืนอยู่ อย่าได้มาพูดจาแบบนี้กับฉัน"
ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้เจนเซ่นไล่ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง เช่นเดียวกับเบลล่าที่รีบก้าวเท้าเข้าห้องนอนของตัวเองหากแต่ยังช้ากว่าแองเจลีคเนื่องจากห้องเบลล่า อยู่ติดกับห้องนอนของแองเจลีคนั่นเองและสิ่งที่เบลล่าโดนคือฝ่ามือที่เข้ามากระทบใบหน้าอีกครั้ง "เพราะแกคนเดียว !" แต่เบลล่าไม่ตอบโต้และเดินเข้าห้องพร้อมปิดประตูใส่หน้าแองเจลีค เสียงโวยวายยังดังต่อเนื่องหน้าห้องแต่เบลล่าก็ไม่แยแส เธอรีบไปคว้าหูฟังมาเสียบฟังไว้และวิ่งไปที่เตียง พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนเพื่อที่จะขอหนีจากสิ่งที่เผชิญอยู่ ยามนี้เธอคิดถึงผู้เป็นแม่เหลือเกิน
++++++++++++++++++++++
เสมอแมนนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่ห้องนอนของเขา วันนี้ทั้งวันเด็กหนุ่มแทบไม่มีสมาธิเลยเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับอาลแบร์ เขารู้สึกกลัวขึ้นมาว่าเหตุการณ์ที่สวนสนุกจะรู้ไปถึงหูของพรนภา ทว่าอีกใจหนึ่งเสมอแมนก็ไม่คิดว่าแม่จะส่งคนมารุมทำร้ายเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง อย่างมากก็แค่ส่งคนไปข่มขู่ครอบครัวของอาลแบร์ ดังนั้นอีกคนที่เสมอแมนสงสัยว่าอาจเป็นคนกระทำก็คือเบลล่า ซึ่งเสมอแมนยอมรับว่าหากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าเบลล่าเป็นคนที่น่ากลัวพอสมควร ระหว่างที่เขากำลังคิดอะไรไปเรื่อยก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น "ใครน่ะ" เขาหันไปทางประตูโดยเสียงที่ตอบรับมาทำให้เกิดรอยยิ้มปรากฏบนหน้าเขาครั้งแรก "หนูเอง พี่เปรม" จากนั้นประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นเด็กสาวที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องของพี่ชาย สิริเพ็ญเป็นเด็กสาวร่างบางสมส่วนแข็งแรงเพราะเป็นนักกีฬาของโรงเรียน และด้วยความที่เธอไม่เคยออกแดดถ้าไม่ทาครีมกันแดด ทำให้ผิวของเธอยังคงสวยและเปล่งปลั่งดุจดั่งไข่มุกในทะเล ที่สำคัญสิริเพ็ญเป็นคนแรกที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาลแบร์ในอดีต และไม่เคยรังเกียจหรือขัดขวางความรักของเขาเลยตรงข้ามกับพรนภาโดยสิ้นเชิง
"มีอะไรเหรอ น้ำใส" เสมอแมนถาม
สิริเพ็ญทำหน้ามุ้ยใส่อีกฝ่าย "โห่ แค่หนูจะมาหาพี่ต้องมีเรื่องด้วยเหรอ"
"พี่แค่ถามเองอย่าพึ่งงอนพี่สิ" เสมอแมนพูดและหัวเราะออกมาเบา ๆ เขาเดินมาหาน้องสาวสุดที่รัก "จะมาตามพี่ไปกินข้าวด้วยละสิ"
"อืม" สิริเพ็ญพยักหน้าตอบ "รีบลงไปที่ห้องอาหารก่อนที่แม่จะบ่นดีกว่า"
สองพี่น้องพากันเดินไปยังห้องรับประทานอาหารซึ่งมันถูกตกแต่งอย่างหรูหรา บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมายซึ่งแม้มันน่ายั่วยุกระเพาะมากแค่ไหน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพรนภาที่กำลังหั่นชิ้นเนื้ออยู่ มันก็ทำให้เสมอแมนอิ่มทิพย์ภายในพริบตาและรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา เด็กหนุ่มเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ในอดีตสมัยเด็กเขามักจะวิ่งเข้ามากอดแม่เสมอด้วยความคิดถึง บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความมืดครึ้มเหมือมีเมฆหนาทึบเข้ามาบดบังแสงสว่างของห้อง เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องที่สกนธ์ก่อเอาไว้มันจะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่เคยมีความสุขถึงกับต้องพังทลายลงได้ขนาดนี้ แถมแม่ที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ส่งผลให้ทั้งเสมอแมนกับสิริเพ็ญต่างรู้สึกเหมือนอาศัยอยู่กับคนแปลกหน้าในบ้านหลังนี้ ด้านพรนภาที่หันมาเห็นลูกทั้งสองก็พูดด้วยเสียงราบเรียบ "มากินข้าวเถอะลูก" สองพี่น้องจึงมานั่งกินอาหารฝั่งตรงข้ามกับพรนภา
"น้ำใส" พรนภาหันไปทางสิริเพ็ญ "ตอนนี้พี่เขาก็เตรียมตัวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ลูกเองก็เตรียมตัวอ่านหนังสือซะบ้างจะเอาแต่ฝึกแข่งขันว่ายน้ำอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ"
เสมอแมนเห็นแววตาอันเบื่อหน่ายโผล่ออกมาบนหน้าสิริเพ็ญ "แม่คะ หนูบอกแม่ไปแล้วไงว่าหนูอยากเข้ามหาวิทยาลัยการกีฬา วิชาการส่วนใหญ่เขาไม่เน้นสอบเสียหน่อย"
"เข้าทำไมมหาวิทยาลัยกีฬาเนี่ย" พรนภาเงยหน้ามองลูกสาว "มันใช้หากินไม่ได้เป็นหน้าตาให้วงศ์ตระกูลก็ไม่ได้ ลูกควรมองหาอาชีพที่มั่งคงมากกว่า"
"ครูสอนว่ายน้ำไง ถ้ามันถึงวันที่หนูไม่ได้เป็นนักกีฬาแล้วก็สามารถเอาประสบการณ์ที่หนูแข่งขันมาทำอาชีพเป็นครูก็ได้นี่"
ตึง !
พรนภาเอาฝ่ามือทุบกับโต๊ะเสียงดังสนั่นจนทำให้เสมอแมนกับสิริเพ็ญสะดุ้ง และสิ่งที่สองพี่น้องคาดไม่ถึงคือแม่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามลุกจากเก้าอี้ พลางชี้หน้าใส่สิริเพ็ญด้วยอารมณ์โกรธจนน่ากลัว เด็กหนุ่มมองหน้าแม่ผู้ให้กำเนิดในความรู้สึกมากมายท่วมท้น อะไรทำให้แม่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ด้านสิริเพ็ญก็คิดแบบเดียวกับพี่ชาย "แก ! นังลูกไม่รักดี ! ตกลงแกจะเลือกทำอาชีพห่วยแตกเพื่อแหกหน้าฉันเหมือนอย่างที่พ่อแกทำใช่ไหม" พรนภาพูดเสียงกราดเกรี้ยวและเดือดดาล ความโกรธแค้นที่มีต่ออดีตสามีมันช่างรุนแรงจนพรนภาไม่อาจเก็บมันเอาไว้ "ดูสิ แทนที่มันจะมาทำหน้าที่พ่อของพวกแก.... มันกลับเลือกไปเสพสังวาลกับสารเลวนั่น ไอ้พวกวิตถาร" สิริเพ็ญเริ่มหมดความอดทนเธอลุกพรวดขึ้นมาเผชิญหน้ากับแม่ทันที เสมอแมนตกใจไม่ใช่น้อยเพราะนี้ไม่ใช่นิสัยของน้องสาว เว้นเสียแต่ว่ามันมากเกินไปจนสิริเพ็ญไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป
"พอสักที ! แม่ว่าพ่อแบบนั้นได้ยังไง สิ่งที่พ่อทำอาจไม่ดีก็จริงแต่การที่..."
ยังไม่ทันที่สิริเพ็ญจะพูดจบพรนภาได้ขว้างกล่องเทียนหอมมาทางเธอ เสมอแมนที่เห็นก็ลุกขึ้นมาเอาตัวบังน้องสาวเอาไว้ทันทีโชคดีที่มันกระทบแค่กลางหลังเด็กหนุ่ม เขาจึงไม่รู้สึกเจ็บมากนักแต่หากเขาช้าไปคนที่เจ็บหนักที่สุดก็คือน้องสาวของเขา ฝั่งพรนภาที่เหมือนจะได้สติว่าเมื่อครู่ตนกระทำอะไรลงไป ทว่าก็ยังวางมาดและทำเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรง "เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นเสียงกับฉันแล้วเรอะ !.... ถ้าพ่อสารเลวนั่นมันดีกว่าฉันมากนักละก็ แกเก็บเสื้อผ้าแล้วไปอยู่กับมันซะ !" พูดจบพรนภาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร โดยไม่คิดจะเหลียวหลังหันมามองสองพี่น้องที่สวมกอดปลอบโยนกันและกันตามลำพัง
++++++++++++++++++++++++