บทที่ยี่สิบสาม
ถึงแม้จะบอกว่าเรื่องยาวแต่เท่าที่จิตติพัฒน์ฟังจากมงคลพัส มันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากแต่ทั้งสองกำลังเดินมาที่สวนน้ำ แล้วบังเอิญเห็นคนทะเลาะกันซึ่งก็คือคริสเตียนพี่ชายฝาแฝดของคริสติน่า แม้จะไม่ค่อยสนิทกันแต่แพรววาจำได้ว่าคริสเตียนเคยเป็นนักกีฬาของชมรมมาก่อน แต่ภายหลังก็ลาออกไปอยู่ชมรมชกมวยแทน ส่วนอีกคนชื่ออาลแบร์เป็นเพื่อนในร่วมห้องของพิมพ์พรรณ โดยส่วนตัวแล้วพิมพ์พรรณเองก็ไม่ได้สนิทกับอีกฝ่ายเช่นกัน แต่เท่าที่จำได้เธอมักเห็นอาลแบร์อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดไม่ค่อยสูงสิงกับใคร ทั้งที่นิสัยส่วนตัวก็ไม่ใช่คนนิสัยแย่ขนาดนั้นนับว่าเป็นเรื่องน่าตกใจที่อาลแบร์กับคริสเตียนมีเรื่องกัน ภาพที่เบลล่ายืนแข็งตัวสั่นเทาเหมือนคนช็อคตกใจกับอะไรบางอย่าง แม้เธอจะไม่ชอบพฤติกรรมของเบลล่าแต่ก็ยอมรับว่าเธอก็รู้สึกสงสารเด็กสาวไม่น้อย เธอนึกถึงเรื่องที่ยุวดีเล่าว่าเห็นเสมอแมนขอเบลล่าเป็นแฟน ไม่แน่ใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามแพรววาตัดสินใจว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้กลุ่มเพื่อน ๆ ฟัง ทว่าสุดท้ายแล้วเรื่องที่คริสเตียนมีเรื่องชกต่อยกับอาลแบร์ มันก็ลอยเข้าหูกลุ่มมณีอรจนได้
แพรววาต้องการคุยเรื่องนี้ตอนขากลับมากกว่า ทำให้บทสนทนานี้จำต้องยุติลงอย่างช่วยไม่ได้ ด้านจิตติพัฒน์และมงคลพัสตัดสินใจเดินมาส่งกลุ่มเด็กสาวมาที่หน้าประตูทางเข้า-ออก เนื่องจากทั้งสองต้องไปจัดเตรียมกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง นับว่าเป็นเรื่องที่น่าใจหายสำหรับแพรววาและพิมพ์พรรณซึ่งในนาทีก่อนจะขึ้นรถกลับ แพรววาได้กระซิบข้างหูจิตติพัฒน์ว่าวันเดินทางเธอจะไปส่งด้วย น่าแปลกแค่เพียงเสียงกระซิบกลับทำให้จิตติพัฒน์ใจเต้นทันที หลังจากที่กลุ่มสาว ๆ กลับกันหมดแล้วจึงเหลือแค่สองหนุ่ม ที่ยังยืนอยู่หน้าทางเข้าทางออกของสวนสนุกซึ่งมงคลพัสบ่นขึ้นมาว่าหิวมากจึงชักชวนจิตติพัฒน์ไปหาอะไรกินกัน โดยจิตติพัฒน์ตัดสินใจติดต่อหาพวกสุพิศาลให้มาเจอกันที่ร้านอาหารไม่ไกลจากโรงแรมที่พักอยู่ ระหว่างที่กำลังรอรถประจำทางเด็กหนุ่มกลับรู้สึกใจคอไม่ดีนัก อาจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าคือคนที่แพรววารู้จักทั้งสิ้นซึ่งเด็กหนุ่มได้แต่หวังว่าเขาจะคิดไปเอง
++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่สามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายมาได้ คริสติน่าพาทั้งคริสเตียนและเบลล่ามายังสวนสาธารณะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนักและโชคดีหน่อยที่วันนี้ไม่ค่อยมีคน ประกอบกับคริสติน่าเลือกจุดที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก ตอนนี้คริสเตียนเริ่มสงบลงมากแล้วจึงเหลือแค่เพียงเบลล่าที่ยังไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม ถึงแม้จะโดนขับไล่ออกจากกลุ่มแต่สำหรับคริสติน่าแล้ว อย่างไรเบลล่าก็ยังคงเป็นเพื่อนที่เธอห่วงใยเสมออยู่ดี และอาการของเบลล่าเรียกได้ว่าสภาพจิตใจย่ำแย่มาก ๆ เด็กสาวเลือกมานั่งข้างเบลล่า พร้อมกับจับไหล่อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาทั้งสามปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง "จากนี้ไปเธอจะทำยังไงต่อล่ะ เบลล่า" คริสติน่าเป็นฝ่ายหันมาถามเพื่อนสนิท ฝั่งคริสเตียนก็มองมาทางเบลล่าด้วยสายตาห่วงใยมาก "ฉันคิดว่าถ้าเป็นไปได้ ตัดขาดกับหมอนี้ได้ก็ยิ่งต่อตัวเธอเท่านั้น เบลล่า" คำพูดของเด็กหนุ่มได้ทำให้เบลล่าเงยหน้าจ้องมองทันที แถมสายตาที่มองมันเหมือนคนแค้นฝังหุ่นสร้างความตกใจปนวิตกกังวลให้กับคริสติน่า
เพราะมันแสดงให้เธอเห็นว่าเบลล่า "คลั่งรัก" เสมอแมนมากกว่าที่คาดคิดไว้ และคำว่า "ตัดขาด" ดูจะเป็นคำต้องห้ามสำหรับเบลล่าอีกต่างหาก ไม่กี่อึดใจต่อมาเบลล่าก็ลุกพรวดพราดตรงไปคว้าคอเสื้อของคริสเตียน
"พูดใหม่สิ !" เบลล่าพูดเสียงเดือดดาล "นายกล้าดียังไงมาสั่งให้ฉันตัดขาดจากพี่เขา"
คริสติน่าที่เห็นก็ตกใจมากและรีบวิ่งเข้ามาห้ามปรามก่อนที่จะปานปลายมากไปกว่านี้ "หยุดนะเบลล่า ! ตั้งสติหน่อยสิเธอจะมาเป็นยักษ์เป็นมารตอนนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากสวนกันหมดหรอก !"
เบลล่ายอมปล่อยมือจากคอเสื้อของคริสเตียนแล้วกลับมานั่งตรงเก้าอี้เหมือนเดิม "พี่เสมอแมนไม่ได้ตั้งใจหรอก ทั้งหมดเป็นเพราะหมอนั่นต่างหากที่เข้ามาวุ่นวายกับพี่เขา เพราะท่าทีของพี่เสมอแมนยังขัดขืนอยู่เลย"
"เบลล่า ! ตั้งสติหน่อยได้ไหม" คริสติน่าเริ่มหมดความอดทน "ฉันเข้าใจเธอนะว่าชอบพี่เสมอแมนมากแค่ไหน แต่เธอจะมาหน้ามืดตามัวหลอกตัวเองแบบนี้ไม่ไหวหรอกนะ จริงอยู่ว่าพี่เสมอแมนขัดขืนหมอนั่นแต่สุดท้ายก็ตอบสนองกันอยู่ดี ฉันว่าลึก ๆ พี่เสมอแมนเขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคือใครแต่แค่พยายามต่อต้านเท่านั้นเอง"
"หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ !" เบลล่าหันมาตวาดใส่และชี้หน้าใส่คริสติน่า "เธอมันไม่ใช่เพื่อนฉันแล้ว ยิ่งไม่มีสิทธิ์.... และอย่าเข้ามายุ่งอีกทั้งเธอและก็นายด้วยคริสเตียน"
พูดจบเบลล่าก็เดินหนีจากไปปล่อยให้คริสติน่าและคริสเตียนยืนมองด้วยความสังเวชอยู่ด้านหลัง เด็กสาวเอามือปาดน้ำตาออกและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อกดเบอร์โทรคนขับ ให้มารับเธอกลับบ้านและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสวนน้ำต้องไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด โดยเฉพาะกับคนในบ้านของเธอเอง ตอนนี้เด็กสาวคิดอยู่อย่างเดียวคือต้องจัดการสองเสี้ยมหนามเสียก่อน คนแรกคือเจ้าคนที่บังอาจมาทำให้ชายที่เธอรักต้องแปดเปื้อน และคนที่สองคือคนที่เธออยากจัดการมาตั้งนานแล้ว แพรววา นั่นเอง หลังจากที่คนขับได้มารับเธอตรงหน้าทางเข้าสวนสาธารณะ เมื่อเดินขึ้นรถแล้วสิ่งแรกที่เบลล่ากระทำต่อจากนี้คือ กดเบอร์โทรหาใครสักคนเพื่อจัดการบัญชีแค้นของเธอ
++++++++++++++++++++++++++
แพรววานั่งถอนหายใจในห้องนอนส่วนตัวโดยมีพิมพ์พรรณนั่งเป็นเพื่อน วันนี้จะเป็นวันที่พศพัชร์เดินทางกลับมาบ้านมันย่อมแปลได้ว่า อิสรภาพของเธอได้หมดลงแล้ว และเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาผ่านมาพศพัชร์จะต้องไม่รู้เรื่องนี้ รวมทั้งพงศ์กิตติ์พ่อของพิมพ์พรรณด้วยเช่นกัน ดังนั้นการที่สองพ่อจอมหวงกลับมาบ้านจึงกลายเป็นเรื่องไม่น่ายินดี และส่งผลให้สองสาวต้องพากันมานั่งถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ครู่ต่อมาพจนวีร์ขึ้นมาบนห้องเพื่อมาตามทั้งสองลงไปชั้นล่าง เมื่อเห็นสีหน้าของแพรววาเธอจึงเข้ามาหาแพรววาที่นั่งเบื่ออยู่ "อย่าทำหน้าแบบนั้นสิลูก พ่อเขาอุตส่าห์รีบกลับมาหาลูกเลยน่า พ่อคิดถึงลูกมากเลย" พจนวีร์หันไปทางพิมพ์พรรณ "พ่อของพิมด้วยนะ" แต่คำพูดของแม่มันกลับยิ่งทำให้ใจของแพรววาห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม "ถ้าพ่อลดความหวงที่มีต่อหนูบ้าง หนูคงอยากลุกไปกอดพ่อ" พูดจบเด็กสาวก็ลุกและเดินไปที่ประตูห้องก่อนที่แม่จะพูดอะไรต่อ ซึ่งพจนวีร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าและเริ่มเกิดความสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมสามีของเธอจึงได้แสดงท่าทางวิตกกังวลเกินเหตุยามที่รู้ว่าลูกสาวมีเพื่อนเป็นผู้ชาย การกระทำครั้งนั้นของพศพัชร์เกือบทำเด็กคนหนึ่งหมดอนาคต โชคดีที่พจนวีร์เข้ามาห้ามปรามและเตือนสติไว้ทำให้สถานการณ์ไม่ย่ำแย่กว่านี้
ทว่าราคาที่สามีต้องจ่ายมันก็แสนแพงยิ่งนักเพราะมันได้ก่อเกิด ความห่างเหินระหว่างพ่อกับลูกไปแล้วซึ่งพจนวีร์รู้ดีว่าสามีของเธอไม่ใช่คนโง่ พศพัชร์คงรับรู้ได้ถึงความห่างเหินระหว่างตนกับลูกสาว แต่พศพัชร์เลือกที่จะมองข้ามและไม่เคยเปิดใจที่จะคุยกับพจนวีร์หรือกับแพรววา ซึ่งเธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยกับการกระทำไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวของอีกฝ่าย และคิดว่าเธอคงต้องเป็นคนเปิดเรื่องคุยในเรื่องนี้ให้ได้ พร้อมทั้งถือว่าช่วงนี้พศพัชร์อาจต้องการที่จะพักผ่อนด้วย หลังจากที่ทั้งสามพากันเดินลงมายังชั้นล่างโดยมีป้าเอมและปราญชลีนั่งรออยู่ ด้านปราญชลีเองก็สังเกเห็นสีหน้าของพิมพ์พรรณก็รู้ในทันทีว่าลูกสาวกำลังคิดอะไรอยู่
"พิมอย่าทำหน้าแบบนี้สิ" ปราญชลีหันมากล่าวกับลูกสาว "ถ้าพ่อเห็นสีหน้าของลูก อาจน้อยใจได้นะ"
พิมพ์พรรณผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ "จะพยายามนะคะแม่"
ปราญชลีมองหน้าสบตากับพจนวีร์อย่างเหนื่อยหน่าย จากนั้นไม่นานเสียงของรถยนตร์ก็แล่นเข้ามาภายในบ้าน สักพักเสียงประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับสองหนุ่มใหญ่เดินเข้ามาในบ้าน พศพัชร์และพงศ์กิตติ์ที่มีสีหน้าดีใจอย่างมากที่เห็นครอบครัวนั่งรอทั้งสองอยู่ ด้านพิมพ์พรรณและแพรววาต่างพยายามที่จะแสดงสีหน้าปกติที่สุด ซึ่งดูจะทำลำบากพอสมควรสุดท้ายสองสาวจึงใช้วิธีดั่งเดิม คือการเข้าไปโผกอดผู้เป็นพ่อให้ดูเหมือนดีใจที่พ่อกลับมา และดูจะได้ผลด้วยเพราะมันทำให้ทั้งพศพัชร์กับพงศ์กิตติ์ ไม่ได้สังเกตสีหน้าจริง ๆ ของลูกสาวทั้งสอง จะมีแค่พจนวีร์กับปราญชลีและป้าเอมที่รู้ลูกไม้ของสองสาว แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีกทั้งยังชวนให้มารับประทานอาหารร่วมกัน โดยพศพัชร์กับพงศ์กิตติ์ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าตั้งใจจะลาพักร้อนเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ประกอบกับว่าทั้งสองได้รับข่าวมาจาก ชไมพร ย่าของแพรววากับพิมพ์พรรณว่า ตอนนี้ พงศ์ภรณ์ กำลังไม่สบายและอาการยังไม่ดีขึ้น สองพี่น้องจึงตั้งใจจะพาครอบครัวไปเยี่ยมเสียหน่อย
โดยปู่กับย่าของแพรววาอาศัยอยู่ที่เขต A-01 อยู่ใกล้ ๆ กับเมืองหลวงของฟรอนเทียร์มาก ส่งผลให้เด็กสาวจำได้ว่าบ้านของจิตติพัฒน์เองก็อยู่ในเมืองหลวงแถมตัวเธอเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่นั้นนานแล้ว ที่สำคัญพศพัชร์ค่อนข้างมีความเกรงใจในตัวพงศ์ภรณ์ไม่น้อย เนื่องจากปู่ค่อนข้างตามใจหลานสาวทั้งสองมาก หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้วพงศ์กิตติ์ก็พาภรรยากับลูกเดินทางกลับบ้าน และเพื่อเตรียมตัวในการเดินทางไปเยี่ยมปู่กับย่าด้วย คืนนั้นแพรววาตื่นเต้นมากจนรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนพร้อมกับล็อคประตูห้อง เพื่อกันไม่ให้พศพัชร์แอบเข้ามาดักฟังได้ จากนั้นเด็กสาวก็ไปคว้าโทรศัพท์มือถือและส่งข้อความกลับไปหาจิตติพัฒน์ว่า
....... แล้วเจอกันที่เมืองหลวงนะ ......
++++++++++++++++++++++++