บท
ตั้งค่า

LAST LOVE : 07

ถึงแม้โลกจะเปลี่ยนไป เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์เข้าถึงง่ายขึ้น แต่ฉันก็ยังชอบอ่านหนังสือเป็นรูปเล่มมากกว่าอยู่ดี ชอบการได้สัมผัส ชอบกลิ่นกระดาษ ชอบรูปแบบอักษรที่ถูกพิมพ์ลงในนั้น แล้วก็ชอบสะสมด้วย แต่ที่มีอยู่เทียบไม่ได้กับห้องหนังสือของท่านศาสตราจารย์วัชรธรเลยแม้แต่น้อย นี่ยังนึกว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องสมุดขนาดย่อยเลย

ห้องริมสุดด้านบนชั้นสองของบ้านที่ถูกบิ้วอินให้เป็นทรงกลมมีพื้นที่ประมาณสี่สิบตารางเมตรเห็นจะได้ ผนังโดยรอบเป็นชั้นหนังสือที่ทำจากไม้ชั้นดีทั้งหมด ซึ่งมันสูงเกือบสามเมตร ดังนั้นจึงมีบันไดแขวนที่สามารถลากไปตามราวได้รอบห้อง พื้นที่ว่างตรงกลางยังมีตู้หนังสือแซมอยู่อีกหลายหลัง แถมด้วยโต๊ะและโซฟาไว้นั่งหรือนอนอ่านตามสะดวก

เป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆ นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ฉันชอบมาบ้านหลังนี้

ปลายนิ้วเรียวกรีดไปตามสันหนังสือพร้อมสายตาที่จดจ้องบนชั้นวางไปเรื่อยๆ บางเล่มก็อ่านไปแล้ว บางเล่มก็ไม่เป็นที่น่าสนใจ

จนไปสะดุดเข้ากับ นวนิยายแฟนตาซีเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่ง ก่อนจะมีภาพวันวานปรากฏขึ้นมา

“น้อง…”

ฉันละสายตาจากตัวอักษรสีดำบนหน้ากระดาษ ขึ้นมองพี่ชายคนโปรดในวัยสามสิบสองที่ยืนทิ้งร่างกายฝั่งซ้ายพิงชั้นหนังสือ มือไขว้หลังทั้งสองข้าง เอียงคอจ้องหน้าฉันพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

“อะไรคะ” ฉันเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ที่เรียกแล้วก็เงียบไป

วินาทีต่อมือขวาของเขาถูกดึงออกมาจากด้านหลังพร้อมนวนิยายหายากชูขึ้นต่อหน้า “เฮียได้มาแล้ว”

ดวงตาฉันเปล่งประกายขึ้นมาทันที รีบเก็บหนังสือในมือเข้าที่เดิม แล้วคว้าเล่มที่อยู่ต่อหน้ามาเปิดดูแทน “ไปหามาได้ยังไงคะ”

“เฮียเก่งไง” เขาว่า พลางวางฝ่ามือหนาลงบนศีรษะฉัน “แต่มันเป็นมือสองนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันหันไปคลี่ยิ้มหวานให้ แล้วกลับมาโฟกัสสิ่งที่เฮียไวน์เสาะหามาให้จนได้ ด้วยความเป็นหนังสือเก่ามากจนเลิกตีพิมพ์ไปนานแล้ว ความจริงฉันเคยได้อ่านในห้องสมุดใหญ่ประจำจังหวัดและชอบมาก เลยอยากได้มาเก็บไว้ แต่ติดตรงที่หายากสุดๆ

“ทำไมถึงชอบแนวนี้”

“เราอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย อะไรพวกเนี่ย” ฉันตอบคำถามของนายแพทย์หนุ่ม ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือในมือ และด้วยเหตุผลนี้ฉันถึงเลือกสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ชีววิทยา ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

“เอาจริงดิ” น้ำเสียงเขาดูตกใจ ส่งผลให้ฉันต้องหันมอง ย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

“ทำไมละคะ ไม่เหมาะเหรอ”

คนตัวสูงโน้มลงมาให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับฉัน ขณะพูด “ไม่เกี่ยวว่าเหมาะ ไม่เหมาะ ถ้าน้องชอบ เฮียก็สนับสนุนเต็มทีอยู่แล้ว แต่…”

“...” คิ้วสองข้างขมวดหนักกว่าเดิม ในตอนที่ประโยคถูกทิ้งไว้แค่นั้น คล้ายกับคนพูดเกิดความลังเลอะไรสักอย่าง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งนาที ประโยคจึงถูกต่อโดยสมบูรณ์

“จุดประกายมาจากอะไร”

“ความลับค่ะ” ฉันอมยิ้ม แล้วเปลี่ยนมาสนใจของสะสมชิ้นใหม่ต่อ ในขณะที่เขาดึงตัวขึ้นตรงแต่ไม่ได้ดึงฝ่ามือกลับไปด้วย

“อะไร แม้แต่เฮียก็บอกไม่ได้เหรอ” คนอยากรู้ก็ยังคงติดยื้อ

“ค่ะ”

“หึ!” เสียงแสดงความแกล้งไม่พอใจดังขึ้นจากคนที่ไม่ได้คำตอบตามต้องการ

“คิดถึงเฮียอยู่เหรอ”

ฮึก!

ฉันสะดุ้งเฮือก พร้อมหุบยิ้มทันควัน สติสัมปชัญญะถูกต้อนกลับมาสู่ปัจจุบัน จากเสียงแผ่วเบาที่ดังเข้ากระทบโซนประสาทและสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดบริเวณหลังใบหูด้านซ้าย นั้นเป็นตอนที่ฉันรู้สึกถึงภัยคุกคามจากบุคคลอันตรายที่อยู่ในความคิด จนทำให้ฉันเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวก่อนหน้านี้

จังหวะหมุนตัวกลับหลังแล้วประสานเข้ากับสายตาคู่คม ทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งชั่วขณะ ฉันคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากที่สุด เกิดเอฟเฟคกับการหายใจเล็กน้อย มันติดขัดเพราะใบหน้าเราอยู่ใกล้กันเกินความจำเป็น และฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ส่อแววประหม่าอย่างชัดเจน

“หืม?” การเร่งรัดคำตอบจากเจ้าของคำถาม ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบกลับมาเคลื่อนที่อีกครั้ง มือเล็กสองข้างยกขึ้นผลักไปที่แผงอกแกร่งอย่างแรง หวังจะให้เขาถอยออก แต่มันไม่เป็นไปตามที่คิด ไม่เพียงแต่ร่างกายกำยำยังนิ่งอยู่ที่เดิม กลายเป็นร่างเล็กของฉันเองที่เสียหลักถอย แน่นอนอยู่แล้วว่าด้านหลังเป็นชั้นไม้ ถ้าเกิดการกระแทกมันต้องเจ็บมากแน่ๆ คิดได้แบบนั้นเปลือกตาบางปิดลงแน่นทันที ก่อนหลังศีรษะฉันชนเข้ากับอะไรที่นุ่มนิ่มกว่าไม้เยอะเลย และมันก็ไม่เจ็บด้วย…

“เจ็บรึเปล่า”

ฉันลืมตาขึ้นมองเจ้าของใบหน้าที่แสดงถึงความกังวลและเป็นห่วงอย่างชัดเจน พร้อมกับฝ่ามือหนาข้างหนึ่งของเขารองอยู่บริเวณหลังศีรษะฉันเพื่อป้องกันการกระแทก

“ไม่ค่ะ” ฉันตอบปัด พร้อมดันร่างเฮียไวน์ให้ออกห่าง และเขายอมทำตามอย่างง่ายดาย พอทรงตัวได้ฉันก็ตั้งท่าจะก้าวออกจากตรงนี้ทันที แต่ก็ถูกกันไว้ด้วยท่อนแขนแกร่งที่ยกขึ้นทาบไปบนชั้นหนังสือ

“เดี๋ยวสิ”

ลมหายใจพ่นออกยาวจ้องหน้านายแพทย์หนุ่มด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันไปออกอีกฝั่ง แต่ก็เป็นเช่นเดิม เท่ากับตอนนี้ร่างกายฉันถูกขังให้อยู่ตรงกลางระหว่างแขนสองข้าง และไม่ว่าจะก้มลงเพื่อหาทางรอดออกไปแค่ไหน เขาก็เลื่อนแขนไปดังไว้ได้อยู่ดี

“ปล่อยเราออกไปเดี๋ยวนี้”

“ไม่ปล่อย จนกว่าน้องจะยอมคุยกับเฮีย”

“แค่ยอมคุยใช่ไหม” ฉันถามย้ำ

“จนกว่าจะคุยจบ ถึงจะปล่อย”

“หมอเฒ่าเจ้าเล่ห์” ความจริงก็ตั้งใจจะบ่นในใจนั่นแหละ แต่มันคงจะอัดอั้นเกินไปเลยเผลอหลุดเปล่งเสียงออกมาเล็กน้อย

“หื้ม? ว่าอะไรนะ” ฝ่ายตรงข้ามหรี่ตาลงจ้องมองฉันอย่างจับผิด

“ถ้าเฮียไม่ปล่อย เราจะตะโกนให้แตกตื่นทั้งบ้านเลย” ฉันเบี่ยงประเด็นด้วยการขู่

“...” เขายกยิ้มขึ้นมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้น

“ระ...เราจะไปบอกคุณยูริด้วย” ถึงคำพูดจะดูเหนือกว่า แต่เท้ายังก้าวถอยจนแผ่นหลังแนบชิดกับชั้นหนังสือ การอยู่ใกล้เขาไม่ใช่สิ่งปลอดภัยอีกแล้วสินะ…

“...” คนตัวโตยังคงไม่หยุดขยับเท้า เขาไม่ได้สนใจคำขู่ของฉันแม้แต่น้อย ท่อนแขนแกร่งที่ค้ำตึงในตอนแรกเริ่มงอและเปลี่ยนเป็นตั้งฉากยันไว้แทน ทำให้ช่องว่างระหว่างเราแคบขึ้น จนฉันต้องยกมือขึ้นดันใต้ไหปลาร้าทั้งสองฝั่งของเขา เพื่อไม่ให้เข้ามาใกล้จนเกินไป

“จะบอกเฮียๆ ให้หมดเลยว่าเฮียไวน์คิดไม่ซื่อกับเรา” ฉันพูดออกไปอย่างคนหมดหนทาง คิดว่าเขาน่าจะกลัวเพื่อนๆ บ้าง แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้คนฟังเลยสักนิด แถมยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเองทางอ้อมอีกด้วย

“ดี บอกเลย ถ้าเฮียต้องเจ็บตัว เฮียจะต้องได้อะไรกลับมาที่คุ้มกว่า” หมอจอมเจ้าเล่ห์ไม่พูดเปล่า เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาจนริมฝีปากแทบจะชนกัน ฝ่ามือเล็กทั้งสองข้างของฉันเลื่อนดันปลายคางเขาให้แหงนขึ้น แล้วเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง

“เฮียบ้า! อย่ามารุ่มร่ามกับเรานะ” ไม่สงสัยเลยว่าไอ้สิ่งที่คุ้มกว่าของเขามันคืออะไร เพราะทั้งหมดอยู่ในการกระทำหื่นกามนี่

“จะยอมคุยกับเฮียได้รึยัง” เขาถามเสียงอู้อี้ เนื่องจากปากหลายส่วนยังถูกปลายนิ้วฉันปิดไว้

“ก็เราไม่อยากคุยกับเฮียไง” ยิ่งเขาทำแบบนี้ ฉันยิ่งอยากถอยหนี

“ทำไม” เขารวบมือทั้งสองข้างของฉันออกจากใบหน้าเขา และยกไปตรึงไว้กับสันหนังสือหลายเล่มเหนือศีรษะด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียวอย่างง่ายดาย และถ้าเขาคิดจะทำอะไรตอนนี้ ฉันคงไม่รอด…

“ยังจะถามอีกเหรอ” ฉันตอกกลับและจ้องมองเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง ทำกันขนาดนี้ ยังมีหน้ามาถามหาเหตุผลอีก…ความฉลาดที่สั่งสมมาหายไปไหนหมดแล้ว

“เฮียไม่ได้อยู่ในสถานะพี่ชายแล้วใช่ไหม” เขาเริ่มประเด็นใหม่ด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ แต่มันไม่ได้ทำให้ฉันใจอ่อน

“ค่ะ” คำตอบหนักแน่นโดยไร้ซึ่งการไตร่ตรอง

“งั้นเฮียจะจีบน้องนะ” เขาก็สวนกลับมาแบบไม่คิดเช่นกัน ส่งผลให้ฉันชะงักนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตั้งสติได้ว่าต้องปฏิเสธ

“ไม่ได้”

“ไม่เป็นไร เฮียถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก”

“โบราณมาก บ่งบอกถึงอายุเลย” ยุคสมัยนี้ยังมีคนคิดว่าคติแบบนี้มันยังใช้ได้ผลอยู่อีกเหรอ…ถามจริง?

“ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นเปล่าวะ” คนถูกด่าทางอ้อม ออกอาการไม่สบอารมณ์ทันที คิ้วเข้มขมวดยุ่ง ประมาณว่าด่าอะไรก็ได้ ยกเว้นเรื่องอายุ

สำหรับเขา ก็คงมีแต่หน้าตาแล้วก็การกระทำเนี่ยแหละ ที่ไม่ได้โตตามอายุ

“เราห่างกัน สิบห้าปี ถือว่าแก่ค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้ชอบคนแก่”

“รู้ได้ไงว่าไม่ชอบ เคยลองแล้วเหรอ” เขาเอ่ยถาม พร้อมรอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นมุมปากชัดเจน ไหนจะแววตาแทะโลมนั้นอีก ส่งผลให้คนฟังอย่างฉันถึงกับเสียอาการ ความร้อนวิ่งขึ้นมารวมกับอยู่บนใบหน้าอย่างรวดเร็ว

“เฮียไวน์!” ฉันตวาดเสียงแข็ง เขม็งตามอง เพื่อกลบเกลื่อน อยากจะตีปากคนแก่จริงๆ เลย

“หมายถึงลองคบ” เขารีบแก้ต่าง

“...” ฉันถึงกับไปไม่เป็น ทั้งที่ความจริงการแสดงออกของเขามันชัดเจนว่าไม่ใช่

“คิดไปถึงไหนเนี่ย” น้ำเสียงเย้าหยอก ยิ่งทำฉันเลิ่กลั่กหนักเข้าไปอีก ฉันจะไม่คิดเลยถ้าเขาไม่ใช้สายตาแบบนั้น

“เปล่าซะหน่อย ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ” ฉันเลื่อนมองไปที่ไหล่กว้าง ก่อนจะออกแรงดัน แต่ไม่มีวี่แววว่าร่างกายเขาจะขยับถอยไปเลยสักนิด

“น้องก็คุยกับเฮียดีๆ ก่อนสิ”

“ว่ามาค่ะ เร็วๆ ด้วย” ทั้งที่ไม่ได้อยากรับข้อเสนอ แต่ก็นั่นแหละ…ไม่มีทางเลือก

“วันศุกร์นี้ เฮียจะขับรถไป น้องต้องไปกับเฮีย”

ฉันเหลือกตาขึ้นมองเล็กน้อย หลังจากที่ได้ยินประโยคในลักษณะเป็นการสั่ง มากกว่าถาม แต่ก็ยังถูกฉันปฏิเสธอยู่ดี

“ไม่ค่ะ เราจองไฟลต์บินแล้ว”

“ยกเลิก” เขายังออกคำสั่งด้วยโทนเสียงเข้มเหมือนเดิม

“เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะคะ” ฉันต่อว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ คล้ายกับการปรามเด็กน้อยที่พูดไม่รู้ฟัง และมันเหมือนจะได้ผล

ไหล่กว้างลู่ลงเล็กน้อย พร้อมกับปล่อยแขนทิ้งลงข้างลำตัวราวกับคนหมดแรง

“ไปกับเฮียเถอะนะ เฮียไม่อยากขับรถคนเดียว” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นออดอ้อนแทน กะพริบตาปริบๆ แล้วทำท่าจะเอื้อมมาจับมือฉัน

แต่ฉันเบี่ยงหลบ “ผู้หญิงของเฮียมีตั้งเยอะ ก็เลือกไปด้วยสักคนสิคะ”

“มีที่ไหน ตอนนี้มีน้องคนเดียวแล้ว” เฮียไวน์เถียงทันควัน แต่มันกลับทะแม่งชอบกล ทำไมบทสนทนามันออกไปทางคู่รักที่กำลังงอนง้อกันอยู่เลยละ

“เราไม่ใช่ผู้หญิงของเฮียนะ” ฉันรีบแย้ง ท่าทางขึงขัง ไม่พอใจ แต่ถูกสวนกลับด้วยประโยคที่ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง

“แต่เฮียอยากให้เป็น”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel