บท
ตั้งค่า

LAST LOVE : 06

วันต่อมา…

@บ้านเหมบดินทร์

เสื้อผ้าหลากหลายชุดถูกรื้อออกจากตู้มากองทับถมกันบริเวณปลายเตียงขนาดคิงไซซ์ ภายในห้องนอนซึ่งเฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดล้วนมีสีโทนขาวครีมสไตล์มินิมอล ก่อนฉันจะเดินไปเลื่อนกระจกระเบียงให้กว้างขึ้นเพื่อรับสายลมเอื่อยๆ ยามสาย ที่พัดผ่าน ส่งผลให้ชายผ้าม่านกันแดดพลิ้วไหวเล็กน้อย

เปลือกตาบางปิดลง ในขณะที่เชิดใบหน้าขึ้นพร้อมสูดลมหายใจรับอาการบริสุทธิ์เข้าปอด มีแวบหนึ่งที่คิดว่า เด็กหญิงกำพร้าคนนั้นจะโตขึ้นมาเป็นยังไง ถ้าเมื่อสิบปีก่อนไม่ได้ถูกเลือกให้เข้ามาอยู่ในครอบครัวที่แสนอบอุ่นเช่นนี้

แต่ถึงผลลัพธ์จะเป็นแบบไหน มันก็ไม่ได้ทำให้เป้าหมายของฉันเปลี่ยนไปเลยสักนิด…

ผู้ริเริ่มโครงการวิจัยลับนั่น…ฉันขอแค่ได้เจอเขาสักครั้งก็พอ

ก๊อก…ก๊อก

สัญญาณที่ดังขึ้นจากผู้มาเยือนใหม่ เรียกให้ฉันตื่นจากภวังค์ และหันไปมองประตูห้องที่กำลังแง้มเปิด ปรากฏร่างหญิงสูงวัยชาวญี่ปุ่นโดยแท้ก้าวเข้ามาด้านในพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า ถึงจะมีร่องรอยเหยี่ยวย่นแซมขึ้นมาบ้างตามกาลเวลา แต่ท่านยังคงงดงามในสายฉันไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่วันแรกที่เจอ จนถึงวันนี้ เธอคือคุณยูริ แม่บุญธรรม ที่ฉันรักและเคารพไม่ต่างจากแม่ผู้ให้กำเนิด

“จัดของอยู่เหรอลูก” ดวงตาคู่สวยกวาดมองข้าวของที่กองอีเหละเขละขละทั่วห้อง ขณะเอ่ยถามด้วยภาษาไทยแบบชัดถ้อยชัดคำ

“ใช่ค่ะ” ฉันเดินไปทิ้งตัวนั่งลงปลายเตียง จัดการหยิบเสื้อขึ้นมาพับลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วยความพิถีพิถัน ได้แค่ชิ้นเดียวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจแรงจากแม่บุญธรรม พลางเงยหน้าขึ้นมองในตอนที่ท่านเดินมาหยุดยืนลูบหัวฉันเบาๆ

“ไม่เปลี่ยนใจจริงเหรอ คุณยูริว่ามันยังมีอีกตั้งหลายโครงการ ที่ลูกไม่จำเป็นต้องไปอยู่ถาวรแบบนั้นนะ”

“แต่หนูตั้งใจกับโครงการนี้มากๆ เลยนะคะ” ฉันตอบ พร้อมเลื่อนแขนโอบกอดรอบเอวท่านแน่น

“ยังไงก็ต้องไปให้ได้สินะ” ประโยคที่ดูเหมือนจะยอมรับได้แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงหาอาวรณ์ นั้นก็เพราะฉันเป็นลูกสาวคนเล็กและคนเดียว ตลอดเวลาที่อยู่ใต้ร่มเงาเหมบดินทร์ ฉันถูกรักและดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เรียกได้ว่าแทบจะประเคนให้ทุกอย่าง ไม่เคยได้มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตคนเดียวสักครั้ง นี่เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะคุณยูริ คนนี้เนี่ยแหละ…

“มันก็ไม่ได้ถาวรขนาดนั้นซะหน่อย หนูจะพยายามกลับมาทุกๆ สามเดือนเลยดีไหมคะ” ฉันพยายามอธิบาย แน่นอนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก ประโยคนี้ออกจากปากฉันเกินสิบรอบได้แล้ว และก็จะจบลงด้วยความเข้าใจ พอวันรุ่งขึ้น ท่านก็หยิบยกขึ้นมาพูดอีกตามประสาคนมีอายุที่ห่วงลูกหลานเข้าสายเลือด วนลูปแบบนี้ตั้งแต่วันที่รู้ว่าฉันได้รับคัดเลือก

“งั้น โทรหาคุณยูริทุกวันได้ไหม”

“ได้อยู่แล้วค่ะ” สิ้นเสียงตอบรับจากฉัน คุณยูริก็โน้มตัวลงมาสูดดมความหอมจากผมฉันหนึ่งที ก่อนจะผละออกแล้วตรงไปยังตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ พร้อมขยับริมฝีปากพูด

“ดีหน่อย ที่ยังมีหมอไวน์ไปด้วย อย่างน้อยก็ไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ คุณยูริเชื่อว่าหมอจะดูแลมิเชลได้ดีมากๆ”

รอยยิ้มฉันหุบลงทันที ก้มหน้าก้มตาจัดของต่อโดยไม่พูดอะไร แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ท่านพูด แม้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้และเป็นความจริงก็เหอะ

ใจมันกระตุกทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ เหตุการณ์วันนั้นวนกลับเข้ามาฉายซ้ำทันควัน ส่งผลให้ฉันเผลอเม้มริมฝีปากแน่น จากสัมผัสของเขา ก่อนจะสะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ภาพเหล่านั้นออกไปจากหัว

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนตั้งตัวไม่ติด ทั้งตกใจ สับสน มึนงง และอาจรวมไปถึงผิดหวัง เพราะในบรรดาเฮียๆ เขาเป็นคนที่ฉันไว้ใจมากที่สุด พอมาเจอแบบนี้มันก็เลยไม่รู้จะไปต่อยังไง ฉันไม่รู้วิธีรับมือกับความรู้สึกแบบนี้ด้วย

แต่มีเรื่องหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ พอมีระยะห่างเกิดขึ้น มันก็เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง แต่จะให้กลับมาสนิทกันในฐานะพี่น้องแบบเดิม มันก็ไม่ได้

ฉันมองเขาเปลี่ยนไปแล้ว…เขาไม่ใช่พี่ชายคนโปรดอีกต่อไปแล้ว

“ว่าแต่ ช่วงนี้ ไม่ค่อยเห็นลูกไปไหนมาไหนกับหมอไวน์เลย” ประโยคนี้ส่งผลให้การกระทำตรงหน้า ชะงักไปเล็กน้อย ถึงฉันจะโกรธเขามากแค่ไหน แต่ก็ยังเลือกจะเซฟเขา ไม่อยากให้ใครมองเขาเปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่รักและเอ็นดูเขามาตลอด ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นความลับที่โคตรอึดอัด เวลามีคนพูดถึง

ฉันเหลือบตามองแผ่นหลังเจ้าของคำถามที่ยืนสำรวจข้าวของในตู้เสื้อผ้า และพอไม่ได้คำตอบ ท่านก็หันกลับมาทันที “หมองานเยอะเหรอจ๊ะ”

“ก็…น่าจะประมาณนั้นแหละค่ะ” ฉันตอบปัด พลางหลุบตามองมือที่กำลังพับเสื้อของตัวเอง ไม่กล้าแม้จะสบตาผู้เป็นแม่ ที่ผ่านมาฉันไม่เคยโกหกท่านสักครั้ง…

เป็นเพราะเขาคนเดียวเลย ที่ทำให้ฉันนิสัยเสียแบบนี้

ลมหายใจถูกพ่นออกผ่านปลายจมูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความหงุดหงิด และกลายเป็นว่าฉันใส่อารมณ์ทั้งหมดไปที่ข้าวของที่กำลังจัดอยู่

“ไหนดูซิ ลูกลืมอะไรรึเปล่า” คุณยูริพึมพำ หลังจากที่ทิ้งเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เกือบนาที

“เอ๊ะ!” น้ำเสียงแสดงความสงสัยหลุดออกมาพร้อมกับเสื้อยืดแขนยาวสีขาวเรียบเนื้อผ้าชั้นดีถูกหยิบขึ้นชูสูงต่อหน้าคนถาม “เสื้อตัวโปรดลูกนี่ ไม่เอาไปด้วยเหรอ”

“อ้อ…” ฉันยังไม่ทันปฏิเสธ แม่บุญธรรมก็แทรกขึ้นก่อน

“ลืมแล้วเห็นไหม” ท่านเดินเอาเสื้อในมือมาวางให้ฉัน

“ขอบคุณค่ะ”

สุดท้ายฉันต้องพับมันใส่กระเป๋าทั้งที่ไม่อยากเอาไปด้วย เพราะมันตัวจากการเป็นตัวโปรดแล้ว เช่นเดียวกับคนที่ซื้อให้นั่นแหละ

“เย็นนี้ลูกจะไปทานข้าวที่บ้านหมอใช่ไหม”

“ค่ะ คุณยูริมีอะไรฝากไปให้คุณป้าไหมคะ” ถึงจะหนักใจแค่ไหน ก็ไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญชวนจากผู้ใหญ่อันเป็นที่รักได้

“อือ…” คนถูกถามกลอกตาไปมาขณะคิด “ลูกจะไปกี่โมงจ๊ะ”

“จัดของเสร็จก็จะไปแล้วค่ะ”

“โอเค งั้นคุณยูริไปเตรียมขนมให้ดีกว่า”

_____________

ช่วงเย็นของวัน...

@บ้านสมุทรวาธรณ์

ทันทีที่เปิดประตูลงจากรถ สิ่งที่เรียกความสนใจจากฉันเป็นอันดับแรก คือเหล่ายานพาหนะสุดหรูหลายคันที่จอดใต้หลังคาโรงเก็บรถ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่หนึ่งในนั้นไม่มีซูเปอร์คาร์สีเทา ซึ่งเป็นรถคู่ใจของนายแพทย์วายุพัฒน์ บุตรชายคนเดียวของบ้านสมุทรวาธรณ์ และยังเป็นบุคคลที่ฉันไม่พร้อมสำหรับการเผชิญหน้าที่สุดในตอนนี้

ช่วงเวลาแค่สามเดือนที่ไม่ได้ย่างกรายเข้ามา ทุกอย่างภายในบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปหรอก แต่ถึงจะเปลี่ยนไป ฉันก็ยังรู้จักทุกซอกมุมเป็นอย่างดี ด้วยความที่เข้าออกยังกับบ้านตัวเองมามากกว่าสิบปี รวมไปถึงยังรู้ด้วยว่าถ้าเข้ามาแล้วไม่เจอคุณหญิงของบ้านจะไปหาท่านได้ที่ไหน

ฉันตรงไปโผล่ในห้องครัวทันที

“อ้าว มาแล้วเหรอลูก” เสียงแหบแห้งของคุณหญิงวรญาที่อยู่ที่ผ้ากันเปื้อนขาดเอวเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มดีใจ หลังจากหันมาเห็นฉัน ท่านรีบวางทุกอย่างในมือ ก่อนจะปรี่เข้าหา

“สวัสดีค่ะคุณป้า” ฉันยกมือไหว้อย่างนอบน้อม จากนั้นร่างกายก็ถูกดึงเข้าสู้อ้อมกอดอบอุ่นชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความเอ็นดู

“คิดถึง ช่วงนี้หนูไม่มาหาป้าเลยนะ” น้ำเสียงและแววตาแสดงออกตามที่พูดอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันบ้านนี้ก็ไม่มีลูกสาว พอมีฉันเข้ามา เลยกลายเป็นหลานรักไปโดยปริยาย

“คุณยูริฝากขนมมาให้ค่ะ” ฉันพูด พลางยื่นของฝากในมือให้พี่บัว ซึ่งเป็นคนสนิทของท่าน

“ขอบคุณจ๊ะ คุณยูรินี่น่ารักตลอดเลยนะ”

“...” ฉันยิ้มรับ

“ว่าแต่ หนูไม่ได้ทะเลาะอะไรกับเฮียไวน์ใช่ไหม”

ทุกอย่างหยุดชะงัก ความอึดอัดถาโถมเข้าเป็นครั้งที่สองของวัน ด้วยความที่เราสองคนค่อนข้างสนิทกันมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่แปลกหรอก ถ้าจะมีคนรอบตัวสังเกตเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปฉับพลัน

แต่จะให้พูดความจริงออกไปก็คงไม่ได้…

“เปล่าหรอกค่ะ พอใกล้จบหนูก็เรียนหนัก แล้วก็ไหนจะเรื่องเข้าทีมวิจัยอีก”

เขาทำให้ฉันต้องกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ น่าโมโหชะมัด!

“อ๋อ เฮียไวน์บอกป้าแล้วละ” ท่านว่า ขณะเดินกลับไปดูอาหารหน้าเตา แต่ยังไม่หยุดพูดคุย “เดินทางวันไหนนะจ๊ะ”

“วันศุกร์นี้แล้วค่ะ” ฉันชะโงกดูสิ่งที่คุณป้ากำลังปรุงอยู่ ถึงจะมีคนคอยทำให้ แต่ท่านก็ยังเลือกที่จะเข้าครัวด้วยตัวเองตลอด

“แล้วจะกลับมาบ่อยๆ ได้รึเปล่า”

“ต้องเข้าไปดูก่อนค่ะ ว่างานมันยุ่งแค่ไหน หรือที่ศูนย์เขาเคร่งแค่ไหน” ฉันตอบแต่ยังไม่ได้ละความสนใจจากส่วนผสมหลากหลายบนโต๊ะ ถึงฉันจะไม่ได้เก่งเรื่องเสน่ห์ปลายจวักมากนัก แต่ก็พอหยิบจับช่วยได้ และก็พอจะทำได้บ้าง สำหรับเมนูง่ายๆ

ส่วนที่ท่านกำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นฉู่ฉี่ปลา ซึ่งเป็นของโปรดของฉัน และของ…

มุมปากถูกดึงเป็นเส้นตรงทันทีที่เผลอ นึกถึงเขา

“จ๊ะ ยังดีนะที่มีเฮียไปด้วย ป้าก็จะได้วางใจ อย่างน้อยยังมีคนคอยดูแลหนู” ต่อด้วยประโยคของคุณหญิงวรญา ที่เป็นการตอกย้ำหนักมากขึ้น ว่าฉันไม่มีทางหนีเขาพ้น

นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่ยังหาทางแก้ไม่ได้

“เออ…คุณลุงไม่อยู่เหรอคะ” ฉันเบี่ยงประเด็นไปหาท่านศาสตราจารย์ ผู้ที่เป็นพ่อของคนที่ถูกเอ่ยถึงแทน พลางไล่สายตามองหา เพราะตั้งแต่เข้ามายังไม่เห็นท่านเลย

“ไปสังสรรค์อีกตามเคย”

“...” หัวคิ้วฉันย่นเข้าหากันทันที สังสรรค์เหรอ คุณลุงเอารถคันไหนไปนะ…ดูเหมือนรถที่บ้านนี้จะหายไปแค่คันเดียว คงไม่ใช่…

“งั้น มิเชลไปอ่านหนังสือรอก่อนนะลูก เดี๋ยวมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ป้าจะขึ้นไปตามนะ”

และความคิดฉันถูกขัดด้วยคำบอกของคุณป้า

“ก็ได้ค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel