LAST LOVE : 05
ปัจจุบัน…
@บ้านสมุทรวาธรณ์
หลังจากที่วนรถเล่นรอบเมืองอยู่หลายชั่วโมง สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่บ้าน สถานที่เดียวที่คิดออกและน่าจะโอเคสุดในตอนนี้ โดยในสมองแม่งโล่งจัด ไม่ได้คำตอบ ไม่ได้วิธีแก้สมการข้อใหญ่ที่ตัดสินใจผิดพลาดไป ไม่ได้อะไรสักอย่าง รู้แค่ว่าสิ่งที่สร้างมาตลอดหลายปีกำลังพังทลายลงด้วยน้ำมือตัวเอง
ผมก้มหน้าก้มตาเดินเข้าบ้าน แสร้งทำเป็นไม่เห็นใครทั้งนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ก็เท่านั้นแหละ…
“ไอ้หมอ!”
เสียงทรงพลังดังก้องกังวาน ในตอนที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นบันได ความจริงจะไม่หยุดและหันกลับไปก็ได้ แต่ติดตรงผู้นำของบ้าน ท่านศาสตราจารย์วัชรธร ถือหนังสือเล่มหนาเตอะไว้ในมือ
“ครับ” เริ่มรู้สึกว่าคิดผิดขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว
“เมื่อไหร่จะเลิกเอาผู้หญิงไปเรื่อย แล้วหาเป็นตัวเป็นตนสักทีวะ”
ผมเหลือกตาขึ้นมองบน พลางถอนหายใจแรงกับประโยคเดิมๆ ได้ยินผ่านหูซ้ายทะลุออกหูขวาจนชิน จากชายวัยเกษียณที่ยังแข็งแรงและทะมัดทะแมง มิหนำซ้ำยังมีสกิลการปาแม่นยำติดอันดับต้น เทียบเท่าทีมชาติ
“ก็มันไม่ง่ายขนาดนั้นไง” ผมตอบปัด ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแบบไม่สามารถควบคุมได้ คล้ายกับโดนสะกิดปากแผลที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ให้เหวอะหวะกว่าเดิม
“ทีเมียฉันหามาให้ แกก็ไม่เอา” ผู้เป็นพ่อพูดพลางยันตัวลุกขึ้นจากโซฟาสุดหรูสไตล์ฝรั่งเศสกลางโถงใหญ่ พร้อมขยับเดินเข้ามาอย่างใจเย็น
“ไม่ชอบ” การต่อปากต่อคำ สำหรับเราสองคนเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทุกวัน และสายตาผมยังจับจ้องไปที่นวนิยายปกแข็งเล่มนั้น เพราะคิดว่าไม่ช้าไม่นานมันน่าจะลอยมาอยู่บนหัวผมเป็นแน่
“ฉันก็แก่ขึ้นทุกวัน จะอยู่จนได้อุ้มหลานไหมล่ะ”
“ก็อยู่รอก่อน จะรีบ…ไปไหนละ” สิ้นเสียงผม อาวุธในมือบิดาบังเกิดเกล้าลอยขึ้นกลางอากาศทันที เพราะคนฟังรู้ดีว่าคำที่หายไปคืออะไร
ฟิ้ว…ตุบ!
แรกๆ ก็มีหัวปูดบ้าง แต่ผ่านมารวบสามสิบกว่า ผมสามารถเรียนรู้สกิลการหลบหลีกได้ดีเยี่ยมยิ่งกว่า ลมหายใจพ่นออกปากอย่างโล่งอกที่เห็นหนังสือไปกองอยู่บนขั้นบันได
“ไอ้หมอ! ไอ้ลูกเวร”
และเมื่อพลาดเป้าหมายแรก ฝีเท้าถูกเร่งเร็วขึ้นในพริบตา พร้อมกับฝ่ามือที่เตรียมง้างมาแต่ไกล
ไม่เคยลดละความพยายามจริงๆ สมแล้วที่เป็นพ่อของผม
“คุณ ใจเย็นๆ” คุณหญิงวรญา ผู้ห้ามศึกประจำบ้านปรี่ออกมาจากห้องครัว ตรงเข้าแทรกกลางได้ทัน ก่อนที่ฝ่ามือพิฆาตจะลงมาถึงกระบาล ขณะที่ผมขยับย้ายไปอยู่ด้านหลังแม่ทันที
“ก็ดูลูกคุณสิ เคยทำอะไรได้ดั่งใจที่ไหน”
“เดี๋ยวๆ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ อยากให้เรียนหมอ ก็เรียนให้แล้ว อยากให้สานต่อโรงพยาบาลก็ทำให้แล้ว” ผมเถียงทันควัน ข้อกล่าวหาที่ท่านศาสตราจารย์โยนมาให้ไม่ถูกต้องเลยสักนิด “หรืออยากให้เผาทิ้ง เอาไหมล่ะ ทำได้นะ”
ส่วนประโยคนี้มาจากความอยากกวนประสาทล้วนๆ
“ไอ้...” ในตอนที่สรรพสัตว์ทั้งหลายแหล่เกือบจะได้ออกมาเพ่นพ่านเต็มบ้าน คุณหญิงผู้เลอโฉมรีบดักไว้ได้ทันท่วงที
“พอๆ ทั้งพ่อ ทั้งลูกนั่นแหละ มันเป็นยังไง เวลาเหล้าไม่เข้าปากนี่คุยกันดีๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม ปวดหัวจริง” หญิงสูงวัยผู้กุมอำนาจของบ้าน บ่นอุบ พลางยกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเอง เพื่อแสดงท่าทางตามที่บอกไว้ในประโยค
“ก็พ่อว่าผมก่อน” เรื่องอะไรผมจะยอมเป็นคนผิด แต่อีกฝ่ายก็ไม่น้อยหน้า
“ก็ลูกคุณมันปากหมา”
ส่งผลให้ผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ระหว่างกลาง ถอนหายใจทิ้งด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันไปเตือนสติสามีตัวเอง “เขาเรียกเชื้อไม่ทิ้งแถวค่ะ ลูกคุณ เหมือนคุณ ท่องไว้”
“จิ๊…” คนถูกหลอกด่าตวัดตามองนิ่ง พลางส่งเสียงจิจ๊ะในลำคอแบบไม่สบอารมณ์ เพราะทำอะไรมากกว่านี้ไปได้ ความจริงก็เก่งแต่กับลูกนั่นแหละ กับเมียก็ใช่ว่าจะกล้า
ก่อนท่านจะกระตุกมุมปากใส่ผม พร้อมกับยกมะเหงกขึ้นขู่ แล้วกระแทกเท้าขึ้นบันไดไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ราวเด็กน้อยถูกขัดใจ
ผมไหวไหล่ขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไล่ตามหลังผู้เป็นพ่อไปอย่างผู้ชนะ แน่นอนว่าถ้าแม่อยู่ ผมจะปลอดภัยที่สุด…
แต่ก็ไม่เสมอไป
“ไวน์ ทำไมเดี๋ยวนี้แม่ไม่เห็นหนูมิเชลมาบ้านเราเลย” ประโยคของผู้กุมอำนาจสูงสุด ทำผมสตั้นไปหลายวินาที จะต้องตอบว่ายังไง ถึงจะไม่โดนด่า
“ไม่รู้ครับ แม่ก็โทรไปถามเองสิ” ผมเลือกโยนสิทธิ์การตอบไปให้ยัยน้องเล็กแทน อย่างน้อยก็ยังยืดเวลาออกไปได้อีกสักหน่อย จากนั้นผมก็หมุนตัวไปตามจุดหมายที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก แต่ยังไม่ทันได้หมุนลูกบิดเข้าห้องตัวเอง
“งั้นพรุ่งนี้เย็นบัวเตรียมของโปรดหนูมิเชลไว้หน่อยละกัน”
“ได้ค่ะ”
บทสนทนาระหว่างผู้เป็นแม่กับเด็กรับใช้คนสนิท ดึงความสนใจจากผมได้อีกครั้ง
ผมหยุดชะงักและหันไปเกาะราวบันได ชะโงกหน้าไปตำแหน่งเดิม ปรากฏว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสามารถมองเห็นได้แล้ว
“แม่!”
ไม่นานผู้ถูกเรียกก็เดินออกมา แหงนหน้ามองผมด้วยความสงสัย
“บอกว่าผมไม่อยู่นะ”
“ทำไม ลูกไปทำอะไรน้อง” คิ้วคนถามย่นหนักกว่าเดิม
“เปล่า”
“แน่ใจ?”
“ก็...ไม่ค่อย”
“หมอไวน์!” เสียงเคร่งเครียดเริ่มขึ้นแล้ว
“เหอะน่า ผมจัดการเองได้” ยังไม่ทันจบประโยคดี ผมรีบหนีเข้าห้องด้วยความรีบร้อนทันที ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะทันได้อ้าปากซักไซ้ต่อ มีแต่เสียงไล่ตามหลังมาเท่านั้น
“เฮ้อ…จริงๆ เลย”
ผมใช้เวลาในการจัดการธุระส่วนตัวนานเกือบสองชั่วโมง ก่อนจะเดินลงมาหาเครื่องดื่มที่พอจะทำให้หลับไปอย่างง่ายดายโดยไม่คิดอะไร
ฝีเท้าชะลอลงเล็กน้อยหลังจากมาถึงกลางทางแล้วเห็นโจทย์ที่เพิ่งบวกกันไป ยังนั่งจ้องไอแพด คิ้วขมวดยุ่ง อยู่บนโซฟา เกิดความลังเลว่าจะกลับขึ้นไปดีไหม แต่ขวดน้ำสีอำพันบนโต๊ะตรงหน้าท่านมันดึงดูดให้ผมเข้าไปหา แถมยังมีแก้วเปล่าหนึ่งใบวางอยู่คู่กัน ราวกับถูกเตรียมการมาอย่างดี
เป็นอย่างที่แม่บอก เราสองพ่อลูกจะคุยกันดีมากจนถึงขั้นกอดคอ ก็คือตอนที่มีสิ่งมอมเมาอยู่ด้วย และไม่ต้องสงสัยเลยนะว่าทำไมผมถึงดื่มเก่ง ถูกเลี้ยงมาแบบนี้ โตมาเป็นผู้เป็นคนได้ ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว…
“ฉันได้ข่าวว่าแก สอบเข้าร่วมโครงการวิจัย RVS เหรอ” คำถามแรกเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ผมก้าวถึงบันไดขั้นสุดท้าย
“ครับ”
“แล้วแกรู้อะไรเกี่ยวกับโครงการนี้บ้าง” สายตาผู้เป็นพ่อยังโฟกัสอยู่หน้าจอ
“ไม่เลย” ผมตอบขณะ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พลางหยิบขวดเครื่องดื่มมารินใส่แก้ว จะรู้ได้ยังไง ในเมื่อโครงการไม่เปิดเผยข้อมูล มีแต่ชื่อผู้ริเริ่มเท่านั้น
“เอ้า ไอ้นี่ แล้วแกไปสอบเข้าได้ยังไง” น้ำเสียงเริ่มเปลี่ยนเป็นขึงขัง พร้อมตวัดตามอง
“ก็น้องอยากไป ผมก็เลยจะตามไปดูแลเธอ” ผมตอบไปตามความจริง
ซึ่งตอนที่มีประกาศเกี่ยวกับการรับสมัครทีมวิจัยเข้าร่วม RVS สถานการณ์ยังปกติดีอยู่ มิเชล ยืนยันหนักแน่นว่ายังไงก็จะเข้าร่วมให้ได้ แล้วมีเหรอที่พี่ชายอย่างผมจะปล่อยให้เธอไปอยู่ไกลหูไกลตาคนเดียวแบบนั้น สุดท้ายผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ผมกับมิเชล และเพื่อนเธออีกคน ติดหนึ่งในสิบของผู้สมัครกว่าพันคน
ผมทิ้งแผ่นหลังพิงโซฟาอย่างสบายใจ เพราะนี่ดูจะเป็นทางเดียวที่ผมจะได้ใกล้ชิดเธอ
“เวรจริงๆ ฉันที่เป็นพ่อแท้ๆ บอกให้ไปเข้าร่วมไม่รู้กี่โครงการ ไม่ไป พอเป็นผู้หญิง ได้ทันทีเลย” ผู้เป็นพ่อโครงศีรษะอย่างเอือมระอา พลางยกแก้วขึ้นดื่ม แล้วหันกลับไปจดจ่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือ
“มันไม่เหมือนกันอยู่แล้วปะ”
หลังจากนั้น บรรยากาศโดยรอบก็เงียบไปหลายนาที หน้าจอไอแพดแสดงข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับโครงการที่ถูกพูดถึง โดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ท่านศาสตราจารย์ที่บอกว่าจะวางมือ ถึงมาสนใจเรื่องแบบนี้อีก
“งั้นก็ดูแลน้องดีๆ หน่อยแล้วกัน” ประโยคทำร้ายความเงียบของพ่อ ที่คนอื่นฟังอาจจะดูว่าแค่ความเป็นห่วงปกติ แต่สำหรับลูกชายที่รู้จักท่านเป็นอย่างดี ไม่ใช่…
“พ่อเจอสิ่งผิดปกติ?” หัวคิ้วผมเริ่มย่นเข้าหากัน ดีดตัวขึ้นนั่งตรงอัตโนมัติ
“ฉันแค่รู้สึกแปลกใจ ที่โครงการดำเนินไปกว่าค่อนทางแล้ว จะย้ายเครื่องย้ายทุกอย่างมาทำการทดลองในอีกประเทศ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ความจริงแค่เป็นรับสมัครผู้เข้าร่วม แล้วไปทำที่ประเทศตัวเองก็ได้…”
“พ่อกำลังจะบอกว่ามันมีบางอย่างที่ประเทศเขาอาจจะห้ามทำ ใช่ไหม” ผมแทรกขึ้นในตอนที่ท่านเว้นช่วงหายใจ…
“แกว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ”
“...” ผมพยักหน้ารับ ขณะคิดตามสิ่งที่ถูกวิเคราะห์ออกมาจากสมองอันชาญฉลาดของผู้เป็นพ่อ
ทำไมผมถึงไม่ได้เอะใจเรื่องนี้เลยนะ แถมข้อมูลทุกอย่างยังเป็นความลับ จนกว่าผู้เข้าร่วมจะเซ็นสัญญาแล้วเข้าไปอยู่ในศูนย์วิจัยอย่างเป็นทางการ แล้วยัยน้องน้อยสนใจอะไรในโครงการนี้...