LAST LOVE : 04
พอถูกปฏิเสธบ่อยครั้งเข้า เรื่องความเสี่ยงที่น้องสาวคนเดียวของกลุ่มร้องขอก็เริ่มเงียบหายไปโดยปริยาย มิเชลไม่เคยพูดถึงสนามแข่งรถของพี่ชาย รวมถึงไม่รบเร้าให้ผมสอนขับรถด้วย จนการศึกษาในช่วงมัธยมปลายของเธอใกล้สิ้นสุดลงเต็มที และดูเหมือนนี่จะเป็นเหตุผลที่ช่วงหลังๆ มานี่สาวน้อยเงียบหายไป คงจะกำลังเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
และตอนนี้ผมเองกำลังเสียเวลาในการตามหาตัวสมาชิกในกลุ่ม ไม่รู้หายหัวไปไหนกันหมด ไลน์เงียบกริบ ที่ผับก็ไม่มี จนมาถึงห้องรวมตัว ณ สนามแข่งรถของเพื่อนรักก็ไม่เจอแม้แต่เงา ห้องทำงานมันก็ไร้วี่แวว
สุดท้ายผมพาตัวเองลงมายังขอบสนาม สมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือซึ่งแสดงหน้ารายชื่อถูกกดล็อกและเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม เมื่อเห็นสมาชิกในกลุ่มยืนออกันเกือบครบองค์ประชุม น่าแปลกที่มีนัดสำคัญแต่ผมไม่รู้เรื่อง
“ไอ้วา…”
“เชี่ย!!” เจ้าของสถานที่สะดุ้งโหย่ง หันมาพร้อมกับใบหน้าตกใจสุดขีด หลังจากที่ผมแค่แตะไหล่เรียกเบาๆ ทำเอาผมสะดุ้งไปด้วยเลย
“ตกใจเหี้ยอะไรขนาดนี้” ผมว่า พลางหรี่ตาไล่มองไอ้ยูตะ ไอ้แม็กซ์ ไอ้ดินและไอ้ธาม ตามลำดับ ที่หันมาโดยพร้อมเพรียงด้วยสีหน้าไม่แตกต่างกัน
ทำไมต้องตกใจกับการปรากฏตัวของผมวะ…?
ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกที่เหลือก็พากันแสร้งหันไปจดจ่อในสนามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งเพิ่มความน่าสงสัยเข้าไปอีก
“แล้ววันนี้มีแข่ง ไม่เห็นบอกกู” ผมเหลือบมองรถที่แล่นด้วยความเร็วสูงในสนามสองคัน ไล่ตามกันอย่างสูสี แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นรถในสังกัดของไอ้วาโย
“ไหนมึงบอกว่าไม่ว่างไง”
“ก็ตอนนี้ว่างแล้ว”
“งั้นขึ้นไปแดกเหล้าข้างบนกันดีกว่า” ไอ้วาโย ยกแขนขึ้นพาดต้นคอผมอย่างอุกอาจ ก่อนจะออกแรงรั้งให้หมุนตัวกลับ เพื่อจะไปยังจุดหมายที่มันกล่าวไว้
“แล้วไม่ดูให้จบก่อนละ” มีความคาใจเกิดขึ้น เมื่อปริศนายังไม่ถูกแก้
“ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก แค่ลองสนามเล่นๆ เอง”
“เดี๋ยวนะ” ผมขืนแรงมัน เพื่อหยุด ปัดแขนไอ้เพื่อนรักออก แล้วหันกลับไปที่สนามอีกครั้ง เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าไอ้ฟิวส์ไปต่างจังหวัดยังไม่กลับ แล้วที่เหลือก็อยู่ข้างสนามกันครบ “ใครขับวะ…”
“ละ…ลูกน้องกูเองแหละ” น้ำเสียงตะกุกตะกัก แถมสายตาล่อกแล่ก ไอ้เวรนี่กำลังโกหก
“กูถามว่าใคร!” ผมถามย้ำอีกครั้งด้วยโทนเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมหลายระดับ จนไอ้พวกที่เหลือรีบวิ่งมาสมทบ
“...” แต่ไม่มีการตอบกลับ มีแต่ลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงจากการลอบกลืนน้ำลายของมัน และผมไม่สามารถหาคำตอบได้จากใครเลย สีหน้าและท่าทางแม่งเหมือนกันหมดทุกตัว
…มีบางอย่างผิดปกติ
จังหวะนั้น การแข่งขันในสนามจบลงพอดี แน่นอนว่าซูเปอร์คาร์ที่เหยียบเข้าเส้นชัยไม่พ้นคันที่อยู่ในสังกัดของมัน
เสียงกองเชียร์ดังกึกก้องเป็นบริเวณกว้าง ผู้คนพร้อมใจพากันกรูเข้าไปรุมอยู่กลางสนาม จนผมไม่สามารถมองเห็นคนขับที่เปิดประตูก้าวลงมาจากรถในจุดนี้
“กูไปดูเองก็ได้” พูดจบ ผมตรงปรี่ฝ่าวงล้อมเพื่อจะเข้าไป ณ จุดกึ่งกลาง โดยที่พวกมันไล่ตามหลังมาติดๆ ไม่วายที่จะมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากไอ้ยูตะและไอ้ดิน
“ฉิบหายแล้วไง”
“จะพูดทำเหี้ยอะไร”
ขออย่างเดียว อย่าให้เป็นคนในความคิด แต่สุดท้าย…
“มิรินดา!...?”
“อุ้ย!...” ร่างเล็กที่อยู่ในชุดเซฟตี้สีดำหันมาเห็นผม ถึงกับสะดุ้งสุดตัว พลางส่งยิ้มแหย่ๆ ด้วยใบหน้าถอดสีซีดเผือดในชั่วพริบตา ผิดกับผมที่เลือดสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว ก่อนจะเลือกหันไประบายกับไอ้พี่ชายคนโต สุดจะเฮงซวยของบ้านเหมบดินทร์แทน
“ไอ้เหี้ยวา!!”
“จะ…ใจเย็นก่อนเพื่อน” คนถูกคาดโทษยกมือดันไหล่ผมไว้ทั้งสองข้าง ในตอนที่ผมกระชากคอเสื้อมันมาประจันหน้า
“เฮียไวน์ อย่าค่ะ” และถ้าไม่ติดว่าน้องสาวมันวิ่งมารั้งแขนอีกข้างที่ง้างขึ้นได้ทันเวลานะ
เลือดกบปากไอ้เหี้ยนี่แน่…
ผมสะบัดแขนออกจากน้องเล็ก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นผลักแผงอกไอ้เพื่อนเวรอย่างแรง จนมันเซถอยไปหลายก้าว พลางชี้หน้าด่ากราด “ไอ้ฉิบหาย! พวกมึงเป็นพี่ประสาส้นตีนอะไร!”
“...”
“กล้าปล่อยให้น้องมาทำอะไรเสี่ยงแบบนี้ได้ไงวะ!”
ผลัวะ! ผลัวะ!
ฝ่ามือผมฟาดลงกลางกระบาลไอ้พี่คนโตที่เป็นเจ้าของสนามก่อนเลย และตามด้วยน้องชายคนกลางของบ้านซึ่งอยู่ถัดไป
“กูไม่เกี่ยว” ไอ้แม็กซ์รีบเอี้ยวหลบ พร้อมออกปากปัดให้พ้นตัว แต่ฝันไปเหอะ…ไม่รอด
ผลัวะ!
“แต่ไม่ห้าม” ผมว่า ในขณะที่ไอ้ธามกับไอ้ดินรีบพาตัวเองออกไปจัดการรถที่จอดคาในสนามแทน ความจริงสมควรโดนแม่งทุกตัว แต่ผมเลือกที่จะปล่อยไอ้ตัวเล็กๆ ไปก่อน เพราะพี่ชายสองตัวเนี่ยน่าโดนหนักสุด
“ถ้าน้องเป็นอะไรขึ้นมา พวกมึงรับผิดชอบกันยังไงฮะ!!!” ผมตวาดถามเสียงดังลั่น
“...” ไม่มีใครกล้าปริปากสักคน รวมถึงคนก่อคดีด้วย ได้แต่ยืนก้มหน้างุด พลางเหลือกตามองผมเล็กน้อย
ลมหายใจถูกพ่นออกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อระบายความร้อนที่ลุกโชนอยู่ภายใน
ถึงว่า…ทำไมช่วงนี้เงียบหายไปแปลก มาขลุกอยู่นี่เองสินะ ไอ้เราก็นึกว่าอ่านหนังสือเตรียมสอบ เด็กอะไรดื้อชะมัด!
แต่ก็ทำได้แค่โครงศีรษะไปมาด้วยความเอือมระอา จะดุด่าหรือตีน้องก็ใช่เรื่อง
“ใครเป็นคนหัดให้” ผมหันไปหาไอ้สามตัวที่ยืนหน้าจ๋อยอีกครั้ง ไอ้วาโยและไอ้แม็กซ์พร้อมใจกันดันไอ้ยูตะที่ยืนระหว่างกลางออกมาอย่างไว
“ไอ้เหี้ยนี่เลย”
“เอ้า…!” ไอ้ตัวที่ถูกดันออกมา ทำหน้าเลิ่กลั่กทันที ก่อนจะโดนฝ่ามือผมไปอีกเน้นๆ
ผลัวะ!
“เชี่ยเอ๊ย! มึนตึ้บเลย” มันบ่นอุบ พลางยกมือลูบหัวตัวเองที่โดนซ้ำที่เดิม
“กูเคยบอกมึงว่าไง ฮะ!”
“ผมขอโทษ ก็…” ไอ้ยูตะพยายามจะพูดอธิบาย แต่ผมไม่อยากฟัง
“กูไม่ปล่อยผ่านแน่ คุณยูริต้องรู้เรื่องนี้”
“ไม่ได้นะ!.../ไม่ได้!” สองพี่ชายโพล่งออกมาแทบจะพร้อมกัน พลางยกมือโบกเป็นพัลวัน และตามด้วยน้องเล็กที่ถือวิสาสะมาเกาะแขนผม
“ไม่นะเฮีย อย่าบอกคุณยูรินะ”
“ไปเปลี่ยนชุด” คำสั่งเด็ดขาดเสียงเข็ม ส่งผลให้ผู้หญิงคนเดียวในที่นี้เดินคอตกไปทางโรงเก็บอุปกรณ์ความจำยอม แต่ยังลอบหันมองตลอดระยะทาง
หลังจากนั้นผมจึงกลับมาที่จำเลยทั้งสามต่อ
“กี่ครั้งแล้ว”
“สะ…สาม” ไอ้ยูตะตอบ
“ระยำจริงๆ” ผมด่า พร้อมพ่นลมหายใจอย่างหมดความอดทน ถ้าลงสนามแค่สามครั้งแล้วได้ชัยชนะแบบนี้ แสดงว่ายัยตัวเล็กต้องฝึกมาในระดับหนึ่ง ซึ่งไม่น่าต่ำกว่าครึ่งปีแน่ๆ
น่าโมโหฉิบ…อยากกระทืบแม่งเรียงตัวจริงๆ
“แต่น้องมันชอบนะ เก่งมากด้วย…” ยังเป็นคนเดิมที่กล้าพูดในเรื่องที่ไม่สมควร มีหน้ามาเอ่ยชม และพอมือผมง้างขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง เสียงพูดจึงเงียบไป พร้อมกับขยับร่างกายถอยไปหลบหลังพี่ชายตัวเอง
“กูจะทำยังไงกับพี่ชายจังไรแบบพวกมึงดีวะ” ความสำนึกไม่มีเกิดขึ้นในสมองอันน้อยนิดของพวกแม่งนี่เลย
“มึงก็ปล่อยๆ บ้างเหอะ มิเชลมันโตแล้ว” ไอ้แม็กซ์ว่า
“นั้นดิ ห่วงยิ่งว่ากูที่เป็นพี่ชายโดยชอบธรรมซะอีก” ไอ้วาโยเสริมทันควัน
“ก็เพราะว่ามีพี่เหี้ยๆ แบบพวกมึงนี่ไง กูเลยต้องห่วง” พูดจบ ผมก็กระแทกเท้าไปยังโรงเก็บอุปกรณ์ เพื่อจะพายัยน้องตัวแสบกลับบ้าน
ฝีเท้าชะลอลงทั้งที่ยังไม่ทันถึงปลายทาง เนื่องจากตัวแปรสำคัญของเรื่องเดินคอตกออกมาหยุดตรงหน้าผมซะก่อน
“เฮีย เราขอโทษ” น้ำเสียงอ่อยถูกเปล่งออกมา ไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นสบตา
“...” ผมถอนหายใจแรงหนึ่งครั้ง ก่อนเบี่ยงไปอีกทางเพื่อจะเดินไปที่จอดรถ แต่ถูกดึงรั้งไว้ หลุบมองชายเสื้อยืดตัวเองที่ถูกมือเล็กกำแน่น
“อย่าโกรธเลยนะ” ร่างบางขยับย้ายมายืนตรงหน้า
“ก็รู้ว่าเฮียจะโกรธ แล้วยังทำ…?”
“แต่มันเป็นสิ่งที่เราชอบนะ”
“แต่มันอันตราย” ทำไมผู้หญิงหน้าตาแสนจะอ่อนหวานถึงต้องมาชอบอะไรแบบนี้วะ ไม่เข้าใจจริงๆ
“เราสัญญาจะดูแลตัวเองอย่างดี นะ…เฮียไวน์ อนุญาตให้เราทำเถอะนะ” เธอยังไม่ลดละความพยายามให้การอ้อนวอน
“ทำมาขนาดนี้แล้ว เพิ่งจะขอ”
“...” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง เมื่อเจอความจริงที่ทำให้เถียงไม่ออก
“ช่างเหอะ เฮียไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอยู่แล้ว ชีวิตของน้อง เฮียจะไปยุ่งได้ไงละ” ความรู้สึกน้อยใจ ผิดหวัง เสียใจ ไหนจะห่วงอีก ห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ ประดังเข้ามาไม่หยุด
“ไม่ใช่แบบนั้น เฮียยุ่งได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่เราแค่อยากทำอะไรที่ชอบ แค่นั้นเอง…” เธอหยุดไว้แค่นั้น เม้มริมฝีปากแน่นเหมือนกำลังชั่งใจ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งนาที เธอก็พูดต่อ “แต่ถ้าเฮียไม่สบายใจ เราไม่ทำแล้วก็ได้”
น้ำเสียงอ่อนลงจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนจะก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองแบบหมดอาลัยตายอยาก แววตาสดใสหม่นแสงลงไปในทันที นี่ทำให้ผมรู้ว่าคนตัวเล็กตรงหน้า ชอบสิ่งนี้มากแค่ไหน
แล้วมีเหรอ…ที่ผมจะกล้าทำลายความสุขของเธอ
“ถ้าชอบขนาดนั้นก็ทำไปเหอะ”
“จริงนะคะ” ฉับพลันดวงตาคู่สวยก็เปลี่ยนเป็นประกายวาว ริมฝีปากผลิบานราวกับดอกไม้
แต่ผมก็ยังอดห่วงเธอไม่ได้ ยกฝ่ามือขึ้นวางบนศีรษะเล็ก แล้วโน้มตัวลงมาให้เท่าเทียม “แต่ทุกครั้งที่จะมาสนาม ต้องมีเฮียอยู่ด้วย ถ้าเฮียไม่ว่าง ห้ามมาเด็ดขาด”
“ได้ค่ะ เราสัญญา”