LAST LOVE : 03
เด็กหญิงมิเชลเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากประถมเข้าสู่มัธยม ส่วนผมยังทำหน้าที่พี่ชายคนโปรดได้เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ในบรรดาเฮียๆ ทั้งหมด ผมเป็นคนที่เธอให้ความสนิทสนมและไว้ใจมากที่สุด นั่นคงเป็นเพราะผมตามใจและใช้เวลาอยู่กับเธอมากกว่าคนอื่นๆ ถึงงานจะรัดตัวแค่ไหน ก็สามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อมาหาเธอได้เสมอ
ครั้งนี้ก็ด้วย…
ฝีเท้าผมหยุดชะงักทันทีที่เห็นร่างเล็กในชุดพละโรงเรียนเอกชนชื่อดัง นั่งฟุบหน้าลงกอดเข่าตัวเองอยู่บริเวณบันไดหน้าศูนย์วิชาการใจกลางเมือง แล้วก้าวไปหยุดยืนต่อหน้าเธอบนขั้นบันไดที่ต่ำกว่า
หัวใจผมกระตุกวูบในตอนที่เด็กสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับคราบน้ำตาไหลอาบแก้มสองข้าง เธอยกหลังมือขึ้นปาดเช็ดแบบลวก ขณะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแต่ก็ยังเทียบไม่เท่าผม หน้าผากมนเอนมาแอบอิงบนแผงอกข้างซ้ายของผม คล้ายกับเธออยากหาที่พักพิงในตอนที่กำลังหมดแรง
“ฮะ…เฮีย เราทำไม่สำเร็จ ฮึก” น้ำเสียงสั่นปนสะอื้นที่พยายามเปล่งออกมาให้จับใจความได้นั้น ทำผมชาวาบไปทั้งตัว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาของเด็กหญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยแรกรุ่น
ไม่เข้าใจทำไมผมรู้สึกมีก้อนตีขึ้นจุกอยู่กลางอก บ้าฉิบ…
เหมือนความเจ็บปวดทั้งหมดถูกส่งต่อมาถึงผมผ่านไอร้อนจากกลางหน้าผากที่เป็นจุดเดียวที่สัมผัสได้ในตอนนี้
เธออุตส่าห์รวบรวมความกล้าก้าวข้ามความกลัวมาได้ เพื่อลงประกวดวาดภาพตามที่ผมเสนอ แต่ด้วยความที่ผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งใจหวัง เธอทำมันไม่สำเร็จ เด็กน้อยคงจัดการกับความผิดหวังในครั้งแรกไม่ได้ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอร้องไห้ฟูมฟาย ดูเหมือนเธอยังไม่โตพอที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ว่าชีวิตมันไม่ได้สวยงามขนาดถึงขั้นที่จะทำอะไรแล้วสำเร็จไปซะทุกอย่าง
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้ายังมี” ผมเลื่อนฝ่ามือขึ้นลูบผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน หลุบมองไหล่บางที่สั่นไหวเล็กน้อย พลางถอนหายใจทิ้ง แล้วแสร้งมองไปทางอื่นแทน นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุด
“แต่เราตั้งใจมากๆ” ถึงน้ำตาจะหยุดไหล แต่ยังติดอาการที่เรียกว่า สะอื้น ซึ่งเกิดจากการโหมร้องไห้อย่างหนัก
“อือ เฮียรู้” ผมเลื่อนมองมือเล็กข้างขวาที่ทิ้งแนบลำตัว ก่อนจะเอื้อมแตะสัมผัสเบาๆ บริเวณใจกลางฝ่ามือ “มือน้องก็ยังเจ็บอยู่ แค่นี้ก็เก่งมากแล้วนะ”
เนื่องจากหลายวันก่อนเธอบอกผมว่ารู้สึกขัดๆ เวลาขยับข้อมือ น่าจะเกิดจากตอนเล่นกีฬาที่โรงเรียน และผมคิดว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เธอพลาดรางวัลในการประกวดครั้งนี้ อีกทั้งยังมีการกำหนดเวลามาเป็นตัวกดดัน
“ไม่มีรางวัลไปฝากคุณยูริเลย” ความกังวลแรก คือแม่บุญธรรมที่เธอกำชับไม่ให้ผมบอกเด็ดขาด เพราะอยากเอารางวัลไปเซอร์ไพรส์ท่าน
“ท่านไม่ได้อยากได้รางวัลขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าน้องกลับไปสภาพนี้ คุณยูริต้องเสียใจมากกว่าแน่ๆ” ผมพูดไปตามความจริง แต่ดูเหมือนความกังวลจะยังไม่หมดไปจากสาวน้อย
“เฮียผิดหวังไหม”
คราวนี้เป็นผมแล้วซินะ…
ผมค่อยๆ ดันร่างเล็กออก โน้มตัวลงเล็กน้อยให้อยู่ในระดับเดียวกัน
“ไม่เลย ภูมิใจมากๆ ด้วย” หัวแม่มือทำหน้าที่ในการเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวคราวหน้าค่อยมาลงแข่งใหม่นะ”
“...” เจ้าของดวงตาบอบช้ำสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ไปกินไอติมกันดีกว่า เฮียเลี้ยงเอง” กระเป๋าสะพายหลังถูกผมหยิบออกมาถือไว้เอง
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม แต่ก็ยังไม่วายกังวลเกี่ยวกับงานของผม “เฮียไม่รีบไปเข้าเวรเหรอ”
“ยังมีเวลาอยู่” ผมว่า หลังจากที่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา แต่ถึงไม่มีเวลา ผมก็หาให้น้องสาวคนเดียวนี่ได้อยู่ดี…
@ร้านไอศกรีม
“เอาอันนี้ค่ะ” นิ้วเรียวเล็กจิ้มไปที่ไอศกรีมรสช็อกโกแลตมินต์สุดโปรดปรานในเมนู แต่ยังไล่มองบนแผ่นกระดาษเคลือบใส ก่อนจะปิดจบที่รสวานิลลา ซึ่งน่าจะเป็นของผม “แล้วก็นี่ด้วยค่ะ”
เธอยื่นเมนูคืนให้พนักงานหญิง ก่อนจะหันกลับมาหาผม
“เราสั่งให้เฮียแล้วนะ”
“อือ” ผมครางรับ หลังจากนั้นก็เอื้อมไปคว้ามือเล็กข้างขวาที่วางอยู่บนโต๊ะมาสำรวจ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดร่องรอยบาดเจ็บให้เห็นเด่นชัดจากภายนอก ผมจำเป็นจะต้องขยับข้อมือเธอเพื่อดูรีแอคชั่น แต่เธอยังเก็บอาการได้ดีเสมอเพราะไม่อยากให้ผมกังวล
“มันไม่ค่อยเจ็บแล้ว” คนตัวเล็กรีบออกปาก
“ได้ทายาที่เอาให้รึเปล่า”
“ทาค่ะ คุณยูริ…”
“มิเชล”
เจ้าของชื่อหยุดพูดกะทันหัน ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ผมเองก็เลื่อนสายตาไปโฟกัสผู้มาเยือนใหม่เช่นกัน ปรากฏร่างเด็กชายในชุดพละแบบเดียวกันกับคนตัวเล็กที่ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงข้ามผม
“...” ไม่มีสัญญาณตอบกลับจากคนที่ถูกทักทาย แม้แต่รอยยิ้ม มิหนำซ้ำยังเบือนหน้าหนี ส่งผลให้คนเอ่ยทักหน้าเจื่อนไปทันที ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการหันมายกมือไหว้ผมแทน
“สวัสดีครับคุณลุง”
ผมตวัดตาคาดโทษไอ้เด็กนรกที่ใช้สรรพนามไม่เข้าหูด้วยความหงุดหงิด ‘ลุงพ่อง ไอ้เด็กเวรนี่ ปากเสียจริง’ แต่จะลุกขึ้นไปตบกระบาลก็ไม่ได้
“...พี่!” เลือกใช้โทนเสียงต่ำ เพื่อย้ำสถานะที่ชัดเจน พลางเหลือบมองน้องสาวตัวน้อยที่แอบเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นยิ้ม
เหอะ…ถูกใจเขาแหละ
“อะ…อ๋อ ขอโทษครับ” เด็กนั่นทำท่าตกใจ พร้อมกับยกมือไหว้ผมอีกครั้ง จากนั้นจึงหันไปบอกลาคนที่ยังนั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เราไปก่อนนะ มิเชล”
แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากสาวน้อยอยู่ดี ผมเริ่มรู้สึกกังวลในความอินโทรเวิร์ตเกินไปของเธอ…
“ทำไมไม่ทักทายเพื่อนเลยละ” ผมเริ่มประเด็น หลังจากที่ไอ้เด็กนั่นเดินออกจากร้านไปแล้ว
“ไม่ใช่เพื่อนซะหน่อย ไม่ได้รู้จักด้วย” มิรินดา ก็ยังคงเป็นมิรินดาที่ไม่ชอบทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ
“สาวฮอตสินะ” ผมแซว ขณะที่พนักงานยกไอศกรีมมาเสิร์ฟที่โต๊ะ และผมหันยิ้มให้ตามมารยาท
“ใครอยากเป็นกัน วุ่นวาย” ไหล่เล็กไหวขึ้นเล็กน้อย บวกกับสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์ขั้นสุด แตกต่างจากเด็กขี้แหย่ที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งคนเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง
แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมสบายใจได้ คือเธอไม่ได้อ่อนแอหรืออ่อนต่อโลกมากเกินไป
และผมคงเป็นผู้ชายคนเดียวที่ได้เห็นเธอในทุกมุม ในทุกการเติบโต
“เฮียไวน์” ชื่อผมถูกขานเรียก หลังจากไอศกรีมในถ้วยลดไปเกินครึ่ง ผมเลิกคิ้วมองสาวน้อยตรงหน้าที่มีอาการแปลกๆ “เอ่อ…คือ”
“พูดมา”
“ขอไปสนามแข่งของเฮียวาได้ไหม” ดวงตากลมกะพริบปริบๆ บวกน้ำเสียงออดอ้อน ยิ่งเพิ่มความน่ารักให้สาวน้อยตรงหน้าเป็นเท่าตัว ซึ่งผมจะใจอ่อนทุกครั้งที่เธอทำแบบนี้ แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้…
“ไม่ได้” พอไม่ได้รับการอนุญาตจากผม หน้าหวานก็คว่ำง้อทันที “จะไปทำไม”
“ก็อยากเห็นแข่งรถของจริงอะ” เธอตอบเสียงอ่อย พลางเหลือกตามองผมเล็กน้อย
“ไม่” ผมยังยืนยันคำเดิม มิเชลยังเด็กเกินกว่าจะไปในสถานที่แบบนั้น และไอ้พี่ชายตัวดีที่เป็นเจ้าของสนามแข่งก็ชอบอวดความตื่นเต้นกรอกหูให้น้องเกิดความอยากไปอยู่นั้น ไม่รู้เป็นห่าอะไรกัน…
“งั้นเฮียสอนเราขับรถหน่อยสิ” คนตัวเล็กเริ่มประเด็นใหม่ แต่ยังวนเวียนอยู่ในความเสี่ยงเดิมๆ อยากขับรถ ทั้งที่ขายังเหยียบไม่ถึงคันเร่งเลยด้วยซ้ำ…เหอะ!
“ยังเด็กอยู่เลย รอให้โตกว่านี้ก่อน”