LAST LOVE : 02
สิบกว่าปีก่อน…
@บ้านเหมบดินทร์
“เฮ้ย! ไอ้เฮียมึงละ” ผมร้องถามลูกชายคนกลางของบ้าน กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดในชุดแสนสบายสำหรับการเล่นน้ำด้วยความเร่งรีบ หลังจากผมเพิ่งก้าวผ่านวงกบประตูบ้านเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่
“ข้างบน” มันตอบแบบปัดๆ โดยไม่หันมอง
“รีบห่าอะไรขนาดนั้นวะ” เสียงบ่นพึมพำไล่ตามหลังมัน ก่อนจะพาตัวเองขึ้นบันไดไปยังจุดหมายที่รู้จักเป็นอย่างดี
ประตูห้องเพื่อนรักถูกดันเข้าไปด้วยความมั่นใจ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำผมชะงักนิ่ง คนที่อยู่บนเตียงไม่ใช่คนในความคิด แต่เป็นเด็กหญิงที่เพิ่งถูกรับเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเหมบดินทร์หมาดๆ วันนี้เลย
ดูเหมือนผมจะทำให้เธอตกใจจากการพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณ ร่างเล็กขยับถอยไปชิดหัวเตียง หน้าตาตื่นตระหนก คว้าตุ๊กตาหมีขาวตัวใหญ่เข้าสู่อ้อมกอดแน่น ราวกับเธออยากใช้มันเพื่อเป็นเกราะกำบังตัวเองจากภัยอันตราย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ เด็กที่มาจากบ้านเด็กกำพร้าล้วนแต่ไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าใครจะเจอในรูปแบบไหน
อีกอย่างอาจเป็นเพราะเธอยังไม่คุ้นชินสถานที่ และเรายังไม่เคยเจอกันสักครั้ง เพราะฉะนั้นตอนนี้เท่ากับผมเป็นคนแปลกหน้า
“โทษทีสาวน้อย” ผมค่อยๆ ก้าวเข้าไปในห้องและดึงประตูปิดอย่างใจเย็น ก่อนจะหยุดยืนทิ้งระยะห่างจากปลายเตียงพอสมควร “ฉันไม่ได้จะทำอะไร แค่จะมาหาพี่ชายเธอน่ะ คิดว่ามันอยู่ในห้องนี้”
หลังจากที่ผมอธิบายจบ สีหน้าคนตัวเล็กเริ่มปรับเป็นปกติ ก่อนจะขยับริมฝีปากพูด
“เฮียวาโย ย้ายไปห้องตรงกลางแล้วค่ะ”
“อือ” ผมครางรับ แต่ยังไม่มีการเคลื่อนย้าย เพราะแววตาเด็กน้อยยังมีความวิตกกังวลปะปนอยู่หลายส่วน ไม่แน่ใจว่าผมเป็นต้นเหตุ หรือเธอยังตื่นสถานที่
พอถูกจับจ้องนานเกินความจำเป็น เกราะป้องกันไอ้หมีขาวก็เริ่มขยับทำงานอีกครั้ง เธอใช้มันเพื่อบังตัวเองให้พ้นจากสายตาผม
“มิเชล ใช่ไหม” ปลายเท้าขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ ขณะเอ่ยถาม
“...” เจ้าของห้องคนใหม่ เลื่อนตุ๊กตาออกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า นั่นเป็นตอนที่ผมย่อตัวลงนั่งหย่องข้างเตียง
“เรามาทำความรู้จักกันหน่อยไหม” ผมเอื้อมไปจับแขนตุ๊กตาในอ้อมกอดของเธอ ออกแรงดึงเบาๆ เพื่อเผยให้เห็นใบหน้าหวานชัดเจนขึ้น
น่าแปลกที่ผมรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ หรืออาจเพราะการมีน้องสาวเป็นสิ่งที่ผมปรารถนามาตลอด
“...” เธอเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง พลางสั่นหน้าปฏิเสธ
“ทำไมละ กลัวฉันเหรอ”
“...” แต่คราวนี้ดันพยักหน้ารับอย่างไวซะงั้น
“เฮียไวน์” ผมเอ่ยชื่อตัวเอง
“...” คิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อย ยังดีที่เธอมีการตอบสนองกลับมาบ้าง
“เรียกฉันว่าเฮียไวน์” สิ้นเสียงผม คนตัวเล็กนิ่งไป ความเงียบเข้าปกคลุมโดยรอบฉับพลัน เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าสาวน้อยขี้กลัวคนนี้กล้าจ้องตาผมนานเกินหนึ่งนาที แต่แปลกที่ผมไม่สามารถอ่านความรู้สึกของเธอผ่านแววตาได้เลย
เด็กอะไร…คาดเดาอารมณ์ยากชะมัด
“เฮียไวน์” เสียงเล็กเปล่งออกมาหลังจากเวลาถูกปล่อยทิ้งเกือบสามนาที
ผมคลี่ยิ้มบาง “อือ ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้วนะ”
“...” คนตัวเล็กอมยิ้มเล็กน้อย แทนคำตอบ แต่ยังนั่งกอดตุ๊กตาอยู่ท่าเดิม
“ทำไมไม่ลงไปเล่นกับพวกพี่ๆ ข้างล่าง” ผมเริ่มชวนคุยในประเด็นใหม่ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและสัมพันธไมตรีอันดี แต่ยังไม่ปล่อยมือจากแขนไอ้หมีขาวตัวยักษ์
“ไม่ชอบคนเยอะ” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ซึ่งมันผิดวิสัยของเด็กในวัยนี้ เธอไม่ควรเริ่มเก็บตัวตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะมันจะส่งผลไปถึงอนาคตข้างหน้า
“งั้นให้เฮียอยู่เป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ค่ะ” ข้อเสนอของผมถูกปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ใจร้ายจัง” ผมว่า ก่อนจะเหลือบไปเห็นกระดาษหลายใบวางเรียงอยู่บนที่ จึงถือวิสาสะเอื้อมหยิบมาดู
“วาดเองเหรอ ใช้ได้เลยนะเนี่ย” ภาพวาดที่ปรากฏบนกระดาษจากฝีมือเด็กน้อยวัยเพียงสิบขวบเศษโดยปราศจากการฝึกสอน ถือว่ามีพรสวรรค์ แม้ลายเส้นจะไม่ได้สวยมากแต่ถ้าได้เรียนรู้สักหน่อย คิดว่าไปได้ไกลกว่านี้แน่
“นี่ใคร” ผมชี้ไปที่ผู้หญิงในรูปวาด
“พี่มิณ”
“งั้นนี้ก็คงเป็นเฮียยูตะ?” ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ก็คงเป็นใครไปไม่ได้
“ค่ะ”
ผมก็พอรู้เรื่องราวคร่าวๆ มาจากไอ้วาโยบ้างแล้ว ว่าเด็กหญิงที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ มีความแตกต่างจากเด็กทั่วไปค่อนข้างมาก แต่ด้วยเหตุผลอะไร ไม่มีใครรู้ได้
มีเพียงคนเดียวที่เธอรักและไว้ใจ นั่นก็คือ มิณ มิณาริน หญิงสาวที่อยู่ในรูปวาด ด้วยความที่มิณได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านเหมบดินทร์ ฐานะคู่หมั้นของไอ้ยูตะ นั่นเลยทำให้ทุกคนลงความเห็นว่าจะรับอุปการะมิเชลเป็นบุตรคนเล็ก และเธอจะถูกเลี้ยงดูอย่างดีจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุด
อีกใบที่อยู่ไม่ไกลถูกผมหยิบขึ้นมาซ้อนทับใบเดิม
“ซิสเตอร์เหรอ”
“...” เธอพยักหน้ารับ แววตาเริ่มหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
แต่ผมเข้าใจเธอนะ อยู่ๆ ก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่บ้านคนที่เพิ่งรู้จักเพียงวันเดียว คงจะรู้สึกกดดันไม่น้อย
ไหนจะต้องปรับตัว
ไหนจะต้องทำความรู้จักใครต่อใคร
“คิดถึงพวกเขาใช่ไหม”
“ค่ะ” เด็กน้อยตอบรับ พลางเลื่อนสายตามองรูปวาดของตัวเองในมือผม
มีแวบหนึ่งที่ผมคิดอยากปลอบโยนสาวน้อยด้วยการลูบหัว แต่ไม่รู้ว่าทำได้ไหม ผมกังวลว่าเธอจะตกใจ
“เดี๋ยวไปโรงเรียน ก็เจอเพื่อนใหม่ เดี๋ยวก็ไม่เหงาแล้ว”
“ไม่อยากมีเพื่อน” เธอสวนกลับด้วยประโยคที่เหนือความคาดหมาย
“ทำไมละ” หัวคิ้วผมย่นเข้าหากันจนแนบชิด
“เพื่อนไม่ชอบเรา…อุ๊บ”
“เป็นอะไร” ผมตกใจ เอียงคอมองเด็กน้อยที่อยู่ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง
เธอเลื่อนมือออกแล้วอธิบาย “ขอโทษค่ะ พี่มิณบอกไม่ให้แทนตัวเองแบบนี้กับผู้ใหญ่ มันไม่น่ารัก”
ผมหลุดยิ้ม “น่ารักดีออก ใช้กับเฮียได้ คิดซะว่าเฮียเป็นเพื่อนก็ได้”
“ได้ไงคะ เฮียอายุมากกว่าตั้งเยอะ”
อึก! รู้สึกเหมือนถูกทุบกลางหลังอย่างแรง จุกอยู่นะ นี่ผมไม่ได้กำลังโดนหลอกด่าอยู่ใช่ไหม เด็กน้อยไร้เดียงสาตรงหน้ากะพริบตามองผมปริบๆ
“เหอะ…” ผมทำได้แค่ยิ้มแห้ง “เป็นเพื่อน ไม่ได้จำกัดอายุสักหน่อย”
“จริงเหรอคะ” นี่เป็นประโยคแรกที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของน้ำเสียง
“อือ”
“เฮียอยากเป็นเพื่อนกับเราเหรอ” เสียงสดใสและตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
“ใช่ เฮียอยากเป็นเพื่อนกับน้อง”
“แล้วทำไมเรียกเราว่าน้องละ” ตุ๊กตาในอ้อมกอดเริ่มไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอคลายมันออกโดยที่ไม่รู้ตัว
“ก็น้องยังเรียกเราว่าเฮียเลย” ผมตอบ
ริมฝีปากบางฉีกยิ้มหวานให้ผมเป็นครั้งแรก นี่สิถึงเหมาะสมกับใบหน้าอ่อนหวานของเธอ
“นั่งข้างบนด้วยได้ไหม เมื่อยแล้ว”
“ได้ค่ะ”
หลังจากได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ ผมก็ย้ายร่างกายขึ้นไปนั่งบนเตียงในท่าห้อยขาทั้งสองลง แต่เบี่ยงตัวไปทางสาวน้อยที่ตอนนี้กำลังจัดแจงกระดาษที่มีรูปวาดฝีมือตัวเอง
ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะไม่กลัวผมแล้ว เพราะเจ้าหมียักษ์ถูกย้ายออกไปนอนไว้ข้างๆ แทน
และเรายังคุยกันไปเรื่อยๆ เวลาล่วงเลยผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้เลย รู้แต่ว่ากิริยาของเด็กหญิงเปลี่ยนไป ศีรษะเล็กเริ่มโงนเงนไปมา ขณะที่เจ้าตัวนอนคว่ำ มือขวายังจับดินสอจ่ออยู่บนกระดาษ
แน่นอนว่าอาการมันชัดเจนว่าง่วง แต่เธอกำลังฝืน...
“ง่วงก็นอน” ผมบอก
“ไม่เอา ไม่ชิน” เธอส่ายหัวปฏิเสธทั้งที่เปลือกตาปิดลงไปหลายส่วน ผมรู้ได้ในทันทีว่าเธอกลัว เธอยังปรับตัวกับสถานที่ใหม่ไม่ได้
ผมย้ายตัวเองไปนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะเอื้อมไปแตะไหล่เล็กเบาๆ และออกแรงรั้งให้เธอนอนลง โดยที่อาศัยตักของผมเป็นที่รองหัวแทนหมอน
“นอนเหอะ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเฮียอยู่เป็นเพื่อน”
“ถ้าเฮียจะออกไป ปลุกเราด้วยนะ เราไม่อยากนอนคนเดียว”
พอได้รับการตกปากรับคำผ่านรอยยิ้มบางของผม เด็กน้อยไร้เดียงสาก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที
ผมอดไม่ได้ที่จะลูบหัวเธอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ถ้าพ่อแม่ทำน้องสาวน่ารักแบบนี้ให้นะ ผมหลงตายแน่ๆ
จากที่เข้าผิดห้องในตอนแรก และคิดว่าจะแค่ทักทายนิดหน่อย กลายเป็นอยู่ยาวเป็นชั่วโมงเลยทีนี้
“เฮียหมอมาทำอะไรในห้องนี่ค่ะ” เสียงจากพี่สาวของเด็กหญิงบนตัก ส่งผลให้ร่างกายผมเกิดการกระตุกเล็กน้อย ละสายตาจากมิเชล โฟกัสผู้มาเยือนใหม่ที่จ้องหน้าผมเขม็ง พร้อมดึงมือกลับมาวางบนฟูกด้วยสัญชาตญาณ
“พอดี...เฮียแวะมาทักทายน้องอะ แล้วอยู่เล่นด้วยแป๊บหนึ่ง น้องก็ผล็อยหลับไป” ผมตอบเสียงเรียบ ความจริงผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ แต่ใจสั่นทำไมวะ…
เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กน้อยรู้สึกตัวตื่น บิดไปมา พลางครางเรียกชื่อผม
“อื้ออ เฮียไวน์”
“เฮียไวน์?” มิณทวนสิ่งที่น้องสาวตัวน้อยเรียกอีกครั้ง เลิกคิ้วมองหน้าผมด้วยความสงสัย แน่นอนว่าไม่มีใครเรียกผมแบบนี้ ส่วนมากก็เรียกหมอแทนชื่อกันทั้งนั้น แต่มันแปลกยังไง ก่อนผมเป็นหมอ ผมก็มีชื่อไหมล่ะ
คนบนตักยันตัวลุกทันทีที่ได้ยินเสียงคุ้นหู “พี่มิณ”
เธอโดดลงจากเตียงและวิ่งไปกอดขาคนที่ถูกกล่าวถึงแน่น เชื่อแล้วว่าเขารักกันมากจริงๆ ในขณะที่ผมดีดตัวลงมายืนข้างเตียง
“ไปหาทุกคนข้างล่างกัน” มิณย่อตัวลงนั่งหย่องเพื่อให้เท่าเทียมน้องสาว
“ค่ะ” เด็กหญิงตอบรับ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมาจูงมือผม เพื่อไปยังจุดหมายที่ถูกระบุจากพี่สาว
“สนิทกันเร็วจังนะคะ” เสียงแซะดังขึ้นในตอนที่ผมกำลังเดินผ่านมิณออกจากห้อง ไหล่กว้างถูกยกขึ้นพร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก
และตั้งแต่นั้นมาผมกลายเป็นพี่ชายคนโปรดและเพื่อนคนแรกของสาวน้อยไปโดยปริยาย ด้วยความที่มิเชลค่อนข้างเข้ากับคนยากด้วยนั่นแหละ จัดอยู่ในประเภทที่ว่าไม่อยากเปิดใจทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ ถ้าไม่จำเป็น
ทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อน สุดท้ายก็ผมนี่แหละที่เป็นให้แทบจะทุกอย่าง...