LAST LOVE : 01
โถงใหญ่ภายในคฤหาสน์ประจำตระกูลเหมบดินทร์คือทางผ่านที่จะทะลุไปยังสระว่ายน้ำด้านหลัง ซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นลานปาร์ตี้ขนาดย่อม ประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีและโต๊ะยาวราวสองเมตร ที่นำมาใช้สำหรับวางอาหาร เครื่องดื่มและเหล่าของขวัญน้อยใหญ่
“อาหมอ!!!”
ผมหันไปตามเสียงประสาน คลี่ยิ้มบางและโบกมือให้สามแสบของไอ้ฟิวส์ ไอ้ธามและก็ไอ้ยูตะที่พร้อมใจกันตะโกนเรียกจากกลางสระขณะผมเดินผ่าน โดยที่มีผู้เป็นพ่อคอยประกบอยู่ข้างกายไม่ห่าง ไหนจะพี่โตสุดอย่างสองแฝดของไอ้ดินนั่นอีก ดูวุ่นวายดีจัง ถัดไปก็เป็นโซนหน้าเตาปิ้งย่างและก็มีแม่ครัวประจำกลุ่มคนเดิม เฌอณารีน แถมด้วยลูกมือคนสวยอย่างโรส ส่วนหนูดากับคุณหนูลลินก็เฝ้าดูลูกน้อยวิ่งเล่นอยู่ในสวน
ด้วยเวลาที่หมุนผ่านไป พวกเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นมาก มีสมาชิกตัวเล็กตัวน้อยเพิ่มมาอีกหลายชีวิต และคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพวกมันไม่หยุดผลิตกันสักที
แก้วแอลกอฮอล์ในมือพี่ชายคนโตของบ้าน ไอ้วาโย ยกขึ้นชูใส่ผมเพื่อเป็นการทักทาย ก่อนมันจะผละออกจากวงนักร้องมือสมัครเล่น ที่ประกอบไปด้วย ไอ้ดิน ไอ้แม็กซ์ เพลินตา และมิณ นั่งห้อมล้อมชุดโฮมเธียเตอร์สุดหรูพร้อมจอ LED ขนาดใหญ่และไมค์ลอยที่ต่างพากันจับจองไม่ยอมปล่อย เดินตรงมาหาผมที่กำลังรินบรั่นดีชั้นเลิศใส่แก้ว งานเลี้ยงจัดขึ้นท่ามกลางความเป็นส่วนตัว ทุกอย่างจึงต้องบริการตัวเอง
ดังนั้นผมเลยไม่ได้จัดเต็มแบบเป็นทางการ ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม เสื้อยืดสีพื้น กางเกงยีนบวกกับผ้าใบคู่โปรด เหตุผลเพราะมันง่ายและสบาย อีกทั้งยังรวบผมด้านบนขึ้นมัดไว้เล็กน้อย
ถึงจะเป็นหมอก็ใช่ว่าจะต้องแต่งเนี้ยบเสมอไป
“ทำไมช้าจังวะ” คำถามแรกจากเพื่อนรักดังขึ้นในตอนที่มันหยุดยืนขนาบข้าง
“ติดเควสด่วน” ผมตอบ หลังกลืนน้ำสีเหลืองอำพันลงลำคอ พร้อมก้าวเดินไปทิ้งตัวลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหล็ก หันหน้าตรงเข้าสระน้ำ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างในท่าประจำ โดยที่ไอ้วาโยก็เดินตามมานั่งร่วมโต๊ะด้วย
ถึงกาลเวลาจะไม่สามารถทำลายมิตรภาพของพวกเราได้ แต่ด้วยความที่ทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ในฐานะหัวหน้าครอบครัว การสังสรรค์จึงน้อยลงไปโดยปริยาย และดูเหมือนผมจะเป็นคนเดียวที่ยังใช้ชีวิตเหมือนตอนเป็นวัยรุ่น ถึงอายุกำลังจะย่างเข้าสามสิบเจ็ด ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นจากเดิมมากเท่าไหร่ หรืออาจเพราะผมยังตัวคนเดียวด้วยนั่นแหละ
ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดโฟกัสเจ้าภาพของงานเฉลิมฉลองจบการศึกษาอย่างเป็นทางการในวันนี้ เด็กน้อยของผม กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัว
โลกของเธอกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่โลกของผมถูกบีบให้แคบลง…
มิเชล มิรินดา หญิงสาวลูกครึ่งโซนเอเชียตะวันออก ที่ถูกรับเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของบ้านเมื่อหลายปีก่อน เธอเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากทุกคนรอบตัว ด้วยความที่เป็นน้องเล็กสุด
แน่นอนว่าผมคือหนึ่งในนั้น…
ร่างอรชรที่สูงไม่ถึงร้อยหกสิบเซนติเมตรในชุดแสนเรียบง่าย เสื้อกล้ามรัดรูปสีดำถูกสวมทับด้วยเชิ้ตขาวตัวโคร่ง พับแขนขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ติดกระดุมสักเม็ด และกางเกงยีนผ้าดิบตามสไตล์สาวสายลุย ผมลอนยาวที่ไม่ถึงกับดำสนิทถูกรวบขึ้นหลวมๆ แบบไม่ใส่ใจ เพราะปอยผมหลายส่วนยังหลุดลุ่ยจนเจ้าตัวเกิดความรำคาญ นิ้วเรียวเล็กเกลี่ยมันขึ้นทัดหูทีละข้างในตอนที่กำลังโน้มตัวลงไปเล่นกับหลานสาวคนเล็กในสระน้ำ
ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนมนต์สะกด สายตาผมไม่หลุดโฟกัสแม้แต่วินาทีเดียว
ยิ่งตอนได้มองใบหน้าหวานราวตุ๊กตาชัดเจนในรอบสามเดือน นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนธรรมชาติ บวกกับจมูกเล็กทรงหยดน้ำสูงโด่ง และริมฝีปากบางรูปหัวใจเปื้อนรอยยิ้มสดใส ถึงทุกอย่างมันจะขัดกับบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของคนตัวเล็ก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความสวยเธอดรอปลงเลย
นี่คือนิยามของคำว่ายิ่งโตยิ่งสวยของจริง
“มึงตกจากการเป็นพี่ชายคนโปรดแล้วเหรอวะ” เสียงจากไอ้วาโยปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ พลางหลุบมองน้ำในแก้วที่เริ่มเคลื่อนช้าลงจากการหยุดแกว่งกะทันหัน ด้วยความตกใจที่คำถามของไอ้เพื่อนรักจี้ตรงจุดก็ส่วนหนึ่ง แต่สำคัญกว่านั้นคือคนถูกจับจ้องรู้ตัวเสียแล้ว แวบหนึ่งเธอเหลือกตาขึ้นมองผม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่เกิดอาการประหม่าขนาดนี้
แต่ตอนนี้ ใช่…เป็นแบบนั้น สถานะผมถูกลดลง หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เธอพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอ ตัดการติดต่อทุกช่องทาง เรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นคนไม่รู้จักไปแล้ว
และที่ผมสามารถก้าวเข้ามาอยู่ในงานนี้ได้ก็เพราะคำเชิญจากพี่ชายเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ เนี่ยแหละ
“หรือมึงทำอะไรให้น้องกูโกรธ”
ผมชะงัก พยายามเก็บอาการเลิ่กลั่กอยู่ภายใน นี่คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่สามารถพูดออกไปตรงๆ ได้
“กูทั้งเรียน ทั้งทำงาน ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา” ดีที่ยังดึงข้ออ้างเรื่องเรียนต่อมาใช้ได้ แต่ใช่ว่าคนแสนฉลาดอย่างไอ้วาโยจะเชื่อ
“เรอะ? กูเห็นเมื่อก่อนถึงมึงจะยุ่งแค่ไหน ก็สละเวลาให้น้องสาวสุดที่รักได้อยู่ดี” ที่มันพูดก็ถูก…
“ก็ช่วงนี้กูยุ่งมากไง” ผมปรายตามองเพื่อนสนิทเล็กน้อย แค่จะดูรีแอคชั่น เพื่อจะได้รู้ว่าควรเลี่ยงไปทางไหนต่อ
“มึงมีหญิง?” จังหวะนี้มันเลื่อนหน้าเข้าใกล้พลางหรี่ตามองอย่างจับผิด
ถ้ามันรู้ว่า ‘หญิง’ ที่อยู่ในประโยคคือ น้องสาวคนเล็กของบ้าน จะเป็นยังไงนะ…
“เอาเวลาที่เสือกเรื่องของกู ไปดูลูกมึงนู่น” ผมใช้มือดันกลางหน้าผากให้ออกห่าง ก่อนจะชี้ไปที่ อชิ ลูกชายวัยห้าขวบหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังขวักมือเรียกผู้เป็นพ่ออยู่ฝั่งตรงข้าม
พอเห็นแบบนั้นมันก็ละความสนใจจากทุกอย่าง พุ่งตรงไปที่ยอดดวงใจของตัวเองทันที
ลมหายใจพ่นยาวผ่านปลายจมูกออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่ทุกคนมีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าการมานั่งซักไซ้เรื่องของชาวบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องตายคาที่แน่ๆ
ระหว่างที่กรอกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าสู่ร่างกาย ผมยังลอบมองแผ่นหลังบางที่หายเข้าไปในตัวบ้าน
เกิดคำถามเดิมๆ ที่ว่าเธอตั้งใจจะตัดผมออกจากชีวิตจริงๆ เลยใช่ไหม
ความอ่อนหวานบนใบหน้าไม่ได้ส่งต่อไปถึงหัวใจเลยสักนิด ใจแข็งฉิบ…
แก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะตัดสินใจตามผู้หญิงคนเดียวที่จะสามารถให้คำตอบผมได้ไป
ด้วยความที่ผมเข้าออกที่นี่ราวกับเป็นบ้านตัวเอง จึงไม่มีใครใส่ใจว่าผมจะไปไหนหรือทำอะไร แม้แต่การขึ้นมาถึงห้องหนังสือชั้นบนนี่ก็ด้วย
ประตูถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ย ซึ่งผมยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน เจ้าของห้องตัวน้อยหันกลับมา รอยยิ้มที่มีในตอนแรกหายวับไปกับตา หัวคิ้วบางย่นขึ้นเล็กน้อย
“เข้ามาทำไมคะ” คำถามที่เหมือนจะสุภาพ แต่น้ำเสียงแข็งกระด้าง ฟังไม่รื่นหูเลยสักนิด หนังสือที่กำลังจะหยิบออกมาถูกดันกลับเข้าที่เดิม จากจุดที่เธอยืนอยู่ตอนนี้ห่างจากผมประมาณสิบก้าว
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ผมเริ่มขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น
“เราไม่มีอะไรจะคุย” เจ้าของใบหน้าหงุดหงิดก้าวเดินเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพื่อล้นระยะทาง ในขณะที่ผมหยุด แต่เธอยังเดินต่อ ดูเหมือนจุดหมายจะเป็นประตูบานใหญ่ที่ผมเพิ่งทิ้งห่างออกมา
“แต่เฮียมี” ผมคว้าข้อมือเล็กในตอนที่กำลังจะผ่านผมไป หวังแค่จะให้เธอหยุดและรับฟัง
“อย่ามาโดนตัวเรา” คำสั่งเสียงเครียดดังขึ้นพร้อมกับการสะบัดมือออก ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อ
ผมอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่า ก้าวเพียงไม่เท่าไหร่ก็พาตัวเองไปขวางหน้าประตูไว้ได้สำเร็จ
“น้องฟังเฮียก่อนนะ” แน่นอนว่าผมพูดแต่ปาก ไม่มีการสัมผัสเกิดขึ้นหลังจากโดนประโยคนั้นเข้าไป
“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับทันควัน
เด็ดขาดชะมัด!
“เฮียขอโทษ คุยกับเฮียเหมือนเดิมได้ไหม” คำข้อร้องที่หนักไปทางวิงวอนซะมากกว่า อย่างน้อยสถานะพี่น้องยังดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าย้อนกลับไปได้ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้น ไม่แม้แต่จะพูดมันออกมา จะเหยียบไว้ให้มิดเลย
ประเด็นคือเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนคืนไม่ได้
“เหมือนเดิม?” คิ้วบางเลิกสูง “เฮียจุดไฟเผาบ้านจนวอดทั้งหลัง แล้วมาร้องขอให้มันเป็นเหมือนเดิม?”
มาแล้วประโยคเปรียบเปรยที่เห็นภาพชัดโคตร และนี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็น มิรินดา
แต่เธออาจจะลืมไปว่า ทุกอย่างมันไม่ได้ดับสูญหรือสลายหายไป
“แต่เฮียสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้”
“แต่มันไม่มีทางเหมือนเดิม” คำพูดที่สวนกลับโดยปราศจากการไตร่ตรอง ส่งผลให้ความมั่นใจที่มีในตอนแรกลดลงนิดหน่อย ทั้งที่ผมผ่านโลกมาเยอะกว่า แต่ทำไมเหมือนยังก้าวช้ากว่าเด็กสาวที่เพิ่งโตเต็มตัวตรงหน้า
“แต่มันอาจจะดีกว่าเดิม” ผมยังไม่ลดละความพยายาม
ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองหน้าผมนิ่งเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มขยับริมฝีปากพูด
“ค่ะ มันอาจจะดี แต่ไม่ได้แปลว่าจะชอบ” น้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นและชัดเจน จนผมรู้สึกว่าร่างกายถูกย่อให้เล็กลงเรื่อยๆ
“แล้วน้องจะรู้ได้ไงว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ให้โอกาสเฮียได้สร้างมันก่อน” และผมยังดันทุรัง
“รู้ค่ะ เพราะความดี กับความชอบ มันคนละเรื่องกัน”
“...” นิ่งสนิท พูดไม่ออก ทั้งที่ไม่มีมีดสักเล่ม แต่ทำไมรู้สึกเหมือนถูกจ้วงแทงจนแทบกระอักเลือด
ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะล้วงกล่องสี่เหลี่ยมเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้ววางมันลงบนโต๊ะไม้ทรงกลมข้างประตู เธอแอบมองตามแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
“สำหรับบัณฑิตคนเก่ง” มือผมยกขึ้นเล็กน้อยขณะพูด หวังจะลูบหัวน้องสาวตัวน้อย แต่ต้องหยุดและเปลี่ยนเป็นกำแน่นก่อนจะดึงลง จากสายตาพิฆาตของคนตรงหน้า
ผมตัดสินใจหันหลังเปิดประตู แล้วพาตัวเองออกมาจากห้องพร้อมความหงุดหงิดขั้นสุด...
ใช้ชีวิตมาแม่งไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มาแพ้อะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียววะ! ไม่เข้าใจ