บทนำ 3
แต่แม่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณชายรูปงามท่านนี้เป็นใคร ตอนจีบกันใหม่ๆ คุณชายมอบของขวัญล้ำค่าให้ตามธรรมเนียม แม่จึงซื้อของขวัญราคาพอๆ กันส่งกลับไปเพื่อเป็นการบอกปฏิเสธทางอ้อมว่าไม่รับน้ำใจ เมื่อส่งมาก็ส่งกลับทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนแม่ทนไม่ไหว ต้องโทรไปด่าว่าให้หยุดส่งของขวัญมาสักที แม่ไม่มีเงินแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่จะเอาของขวัญท่านไปขายซื้อข้าวกิน คุณชายอรุณถึงกับหัวเราะแล้วก็เก็บเรื่องนี้ไปล้อตลอด
พาขวัญพิจารณาคุณชายอรุณอยู่เงียบๆ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเธอกับว่าที่คุณพ่อผู้สูงสง่า ตอนแรกก็นึกว่าคุณชายน่าจะวางตัวคุยโม้โอ้อวด ไม่ก็ซื้อของแพงๆ มาเพื่อเอาใจว่าที่ลูกสาว แต่ก็ไม่เลย ท่านมอบตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์ให้เป็นของขวัญ เดาว่าคงจะสืบถามจากแม่นั่นแหละว่างานอดิเรกของพาขวัญคือสะสมเท็ดดี้แบร์ แสดงว่าทำการบ้านมาดี
ร่างบางอุ้มของขวัญขนฟูตัวนั้นไว้ มันน่ารักมากเลยล่ะเพราะชุดกระโปรงสีพาสเทลที่มันใส่เหมือนเธอไม่มีผิด เมื่อพาขวัญยิ้มออกมาคุณชายอรุณถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
“ฉันตื่นเต้นจนกังวลแทบแย่ กลัวว่าหนูจะไม่ชอบฉัน”
“ไม่เลยค่ะ แม่บอกว่าคุณชายใจดีมาก และหนูก็เห็นด้วยนะคะ” พาขวัญยิ้ม ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “สำหรับเรื่องแต่งงานของท่านกับแม่... หนู... หนูขอเวลาคิดอีกสักนิดได้ไหมคะ”
“ทำไมล่ะจ๊ะขวัญ?” แม่นึกฉงนใจ แต่เธอไม่กล้าพูดเหตุผลที่แท้จริง แม่พยายามคาดคั้น แต่คุณชายอรุณห้ามไว้
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ เรื่องนี้ค่อนข้างกะทันหันจนหนูคงจะตั้งตัวไม่ทัน”
“หนูแค่เกรงว่าจะ...” พาขวัญสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างอึดอัด ไม่กล้าพอที่จะพูดความจริงว่าทำไมถึงไม่อยากให้แม่แต่งงานใหม่กับท่านชายผู้นี้ “เกรงว่าหนูคงจะไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกสาวของท่านค่ะ และบางทีลูกชายของท่านก็อาจจะไม่ต้องการให้...”
“ไม่เลย อย่าคิดว่าฉันเป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่างเลยนะ ฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาเหมือนคนอื่นทั่วไปนี่แหละ” คุณชายกล่าวอย่างถ่อมตัว “แต่หลังจากได้พบแม่ของหนู ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นซุปเปอร์แมน”
แม่หัวเราะคิก
พาขวัญบิขนมปังมาทานช้าๆ ใจล่องลอย ตั้งแต่รู้ว่าแม่จะแต่งงานใหม่และได้เห็นภาพถ่ายของว่าที่ครอบครัว เธอก็ตั้งใจแล้วทันทีว่าจะคัดค้านหัวชนฝา แต่พอได้พบว่าที่คุณพ่อ พาขวัญก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านการแต่งงานของทั้งสองได้เลย คุณชายอรุณเป็นชายรูปงามไร้ที่ติ นุ่มนวลอ่อนโยนและครองตัวเป็นโสดมาสิบกว่าปี ส่วนแม่ของเธอก็งดงามราวกับนางฟ้า แววตาเหงาเศร้าชวนให้สะดุดใจ พวกท่านพบกันโดยบังเอิญตอนที่แม่ไปถ่ายทำรายการที่ร้านอาหารริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เป็นร้านเก่าแก่ของจังหวัดอยุธยา คุณชายอรุณเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของร้านจึงได้แวะเวียนมาทานบ่อยๆ แม่เล่าให้ฟังว่าคุณชายอรุณมองแม่ตาไม่กะพริบจนแม่ไม่มีสมาธิ ถึงขนาดที่ว่าช่างกล้องต้องกระซิบให้เจ้าของร้านช่วยเชิญคุณชายออกไป ไม่อย่างนั้นคงจะถ่ายทำรายการไม่ได้แน่
โอย... เมื่อไหร่จะหนึ่งทุ่ม ดวงตากลมโตเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ อีกสามนาทีเธอก็จะหาเรื่องขอตัวกลับก่อนได้โดยไม่เสียมารยาท บอกตามตรงเลยว่าเธอรู้สึกอึดอัดมาก...
“หนูพาขวัญเคยเจอจอมพลแล้วยัง”
“ไม่... ไม่เคยค่ะ” พาขวัญตอบเสียงสั่นเทาทันที รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอเมื่อได้ยินชื่อนั้น เธอจึงเบือนหน้าหนีทันที “หนูไม่เคยพบเขาค่ะ”
“หนูพาขวัญอายุไล่เลี่ยกับลูกชายฉัน เขาเคยดูรูปหนูแล้วยังชมว่าหนูน่ารัก จอมพลอยากพบหนูพาขวัญมากทีเดียวล่ะ”
“ยะ...อยากพบหนูเหรอคะ?”
“ใช่ รับรองว่าเขาจะเป็นพี่ชายที่ดี เวลาเจอจอมพล ตามศักดิ์และฐานะแล้ว หนูพาขวัญต้องเรียกเขาว่า ‘คุณจอมพล’ นะ แล้วหลังจากที่เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว หนูอยากจะเรียกพี่ก็ตามใจ”
“ค่ะ” พาขวัญลอบกลืนน้ำลายขณะมองเก้าอี้ว่างเปล่าตัวหนึ่ง มันเป็นที่นั่งของว่าที่พี่ชายของเธอ... หม่อมหลวงจอมพล
โอย... ตายแล้ว พาขวัญกำลังจะควบคุมสติตัวเองไม่ได้ แม้ว่าแสงพร่างพราวจากโคมไฟระย้าและโคมกิ่งที่ผนังทำให้บรรยากาศโรแมนติก มีพวงมาลัยดอกลิลลี่พวงกลมๆ ห้อยอยู่ที่บานประตู ส่วนแกรนด์เปียโนตั้งเด่นเป็นสง่าที่ฟลอร์ด้านหน้า นักดนตรีกับนักร้องจะคอยขับกล่อมให้ค่ำคืนนี้น่าประทับใจ แต่เธอไม่พร้อมที่จะพบหน้าว่าที่พี่ชาย
“เขาเพิ่งโทรมาบอกว่าอีกห้านาทีถึง” คุณชายอรุณกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำไมเขาถึงมาเร็วแบบนี้ พาขวัญพยายามระงับอาการประหม่าแล้วแต่แม่ก็ยังคงสังเกตเห็น
“พาขวัญหน้าซีดจังเลยลูก มือเย็นเฉียบเชียว”
“ไม่มีอะไรค่ะ ขวัญแค่ตื่นเต้น”
“แม่เห็นเราขึ้นเวทีทำงานพริตตี้ เจอคนใหญ่คนโตตั้งเยอะแยะไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลยนี่ลูก” แม่จ้องหน้า มีคำถามในน้ำเสียงของแม่เพราะเห็นๆ อยู่ว่าพาขวัญหลุกหลิก ทำท่าจะหนีไปจากดินเนอร์ อีกหนึ่งนาที... นับเวลาถอยหลังหนึ่งนาที ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ พาขวัญก็ยิ่งหน้าตาตื่นตระหนก ยิ่งเมื่อบริกรหรือเงาร่างของใครก็ตามเฉียดผ่านหลัง ไหล่บอบบางของเธอก็จะสะดุ้งโหยงเหมือนหวาดกลัว แม่จึงลงมือแปะแก้มลูกสาวสองสามทีเพราะเห็นว่าพาขวัญทำท่าจะเป็นลม
“ดูท่าหนูพาขวัญจะตื่นเต้นแทนคุณซะแล้วนะ”
“ไม่ต้องกลัวจอมพลหรอก ฉันเล่าเรื่องที่หนูพาขวัญให้สัมภาษณ์ขึ้นปกนิตยสารเมื่อเดือนธันวาปีที่แล้ว เขาก็อยากพบหนูแทบแย่เลยล่ะ”
ธันวาคมปีที่แล้ว?... พาขวัญตัวสั่นเทา นึกถึงเรื่องที่ไม่ควรนึกขึ้นมาได้ แต่จะนึกเสียใจที่วันนั้นไปถ่ายแบบในสตูดิโอก็สายไปเสียแล้ว ร่างบางจ้องมองข้อมือของตัวเอง เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อนมันเคยมีรอยช้ำเพราะแรงกระชากทรงพลังของเขาคนนั้น แม้ว่ารอยจะจางหายไปแล้ว แต่เธอยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี และตัดสินใจที่จะเรียกเหตุการณ์นั้นว่า ‘ภัยคุกคาม’
พาขวัญรู้แค่ว่าหม่อมหลวงจอมพลเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ทุกคนในแวดวงต่างร่ำลือถึงความหล่อเหลาบาดใจ ทั้งดวงตาสีดำเข้มและรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นสุภาพบุรุษถอดแบบจากผู้เป็นพ่อ สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์และบุคลิกแบบคุณชายผู้สูงศักดิ์ของเขา ทำให้ใครๆ ต่างก็ติดอกติดใจหนุ่มรูปหล่อคนนี้ ด้วยประวัติส่วนตัวที่ไม่มีใครหาญเทียบ ทั้งเชื้อสายราชสกุล ทั้งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย MIT ด้วยคะแนนอันดับต้นๆ และเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลประจำมหาวิทยาลัย ทำให้เขาเป็นบุรุษหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าน่าหมายปองที่สุดในเวลานี้
และเขากำลังจะกลายเป็นพี่ชายบุญธรรมของเธอ
“นะ...หนูขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะคะ” พาขวัญตัดสินใจหนี ต้องเร็วด้วย! เพราะมันเสี่ยงเกินไปที่จะเจอผู้ชายคนนั้น แต่ยังไม่ทันหยัดตัวลุกจากเก้าอี้ มือร้อนผ่าวแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งก็วางลงบนบ่าเล็กๆ ของเธออย่างนุ่มนวล เขาออกแรงเพียงเล็กน้อยก็กดให้พาขวัญนั่งลงตามเดิม และเมื่อเธอเบือนหน้ากลับไปมองว่าเป็นใคร ดวงตาของเธอก็พลันเบิกกว้าง เนื้อตัวสั่นเทาทันที
“ขออภัยที่มาสายครับท่านพ่อ... คุณน้าเนตรดาว... และ...” เขาลากเสียง ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างบางพลางเหยียดยิ้มมุมปาก แววตากร้าวกระด้างไม่เป็นมิตร ท่าทีของชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ดุดัน โหดร้ายและชอบทำท่าว่าตัวเองอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร “ยินดีที่ได้พบกันนะน้องสาว”
น้องสาว... คำคำนี้ทิ่มแทงใจ เขากล้าพูดคำว่า ‘น้องสาว’ ออกมาได้อย่างไร?!
ว่าที่พี่ชายของเธอดูดีกว่าที่เคยเห็นในรูปเสียอีก ร่างกายสูงใหญ่บึกบึน เห็นมัดกล้ามภายใต้เสื้อเชิ้ตกึ่งลำลองอย่างชัดเจน ดวงตาคมเฉียบสะกดผู้พบเห็น รอยยิ้มและเรียวปากแสนจะมีเสน่ห์ มาดนิ่งๆ สมกับเป็นท่านชายจากวังราเมศวรขับเน้นให้เขาองอาจสง่างามไม่แพ้หม่อมราชวงศ์อรุณเลย
ร่างกายของพาขวัญมันปั่นป่วนไปหมด เหงื่อโซมกาย ชีพจรเต้นกระหน่ำเหมือนจะใกล้บ้าเข้าไปทุกที พาขวัญรีบปัดมือของเขาออกไปราวกับว่าสิ่งนั้นเป็นของร้อน ความสับสนและความหวาดกลัวกำลังห้อมล้อมรอบตัวเหมือนหมอกหนาทึบ มองไม่เห็นทาง ไม่เห็นอะไรเลย และแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาก็ไม่ต่างอะไรจากบึงโคลนเหนอะหนะที่ดูดเรี่ยวแรงทุกฝีก้าว
พาขวัญทนไม่ไหวอีกแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะหนีไปให้พ้นๆ ทว่ากรงเล็บของเขาได้ตวัดลงมาแล้ว