บทที่ 2-1 ไดอารี่ที่รัก
ข้อความแรกในไดอารี่ของพาขวัญ มีใจความว่า...
ไดอารี่ที่รัก: ฉันกำลังจะไปฉลองปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ที่บ้านของวาวา มันจะต้องสนุกแน่นอน
ข้อความสั้นๆ จบลงเพียงเท่านั้น ระบุวันไว้ว่าเป็นวันคริสต์มาสปี 2558 แล้วก็ว่างเปล่ามาจนถึงเดือนเมษายนปีถัดมา ข้อความนั้นมันก็เป็นแค่ประโยคอันแสนสดใสประโยคหนึ่ง ไม่มีวี่แววเค้าลางความวุ่นวายและคราบน้ำตาที่จะตามมาเลยสักนิด พาขวัญมองไดอารี่เล่มนั้นทีไรก็นิ่งงันไป แม้จะมีเรื่องราวเจ็บปวดมากมายอยากจะระบายลงไปในหน้ากระดาษ แต่เธอเขียนอะไรไม่ออก
เธอกำลังจะตายเพราะเขาคนนั้น
ชีวิตวัยเด็กของพาขวัญมีความสุขและอบอุ่นดี แม้ว่าจะมีแม่เลี้ยงดูมาเพียงลำพังแต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอมีปัญหาแต่อย่างใด แม่ของเธอหน้าตาดี มีชาติตระกูลและเป็นปัญญาชน เริ่มต้นอาชีพพิธีกรจากตำแหน่งผู้รายงานข่าวภาคเย็น น้ำเสียงหวานนุ่มฟังรื่นหูและรอยยิ้มอ่อนโยนของแม่ชนะใจผู้ชมทั่วประเทศจนก้าวหน้าในอาชีพเรื่อยมา พาขวัญจึงภูมิใจในตัวแม่ แถมออกจะอายนิดๆ ที่เธอทึ่ม ไม่เก่งเหมือนแม่ด้วยซ้ำ
ช่วงรู้ข่าวว่าพ่อแท้ๆ ป่วยเสียชีวิต พาขวัญก็กำลังเรียนมัธยม และหลังจากนั้นก็เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ การเรียนของเธอลุ่มๆ ดอนๆ ไปตามประสาด้วยความที่ชอบทำกิจกรรมของชมรมสารพัด มีงานอะไรให้ช่วยก็บอกมาเถอะ จะออกค่ายอาสาหรือแต่งชุดแฟนซีหาเงินบริจาคให้หมาแมวก็ทำได้หมด พาขวัญมาค้นพบว่าตัวเองก็ชอบงานพิธีกรเหมือนแม่ พาขวัญจึงรับหน้าที่ MC บนเวทีหลายงาน ซึ่งในปีท้ายๆ ก่อนจบการศึกษา เธอก็ได้รับเลือกให้เป็นดาวมหาวิทยาลัยและปฏิเสธข้อเสนอมากมายจากบริษัทโมเดลลิ่งหลายแห่ง
ไดอารี่ที่รัก... ฉันกำลังจะทำผิดพลาดซ้ำรอยคืนปาร์ตี้วันคริสต์มาสนั่นอีกแล้ว ขอสวรรค์ทรงโปรดช่วยฉันให้หลุดพ้นจากปีศาจร้ายด้วยเถิด
“อึ่ก... อือ...” พาขวัญกำลังดิ้นรนอยู่ใต้ร่างแข็งแกร่งกำยำ ริมฝีปากร้อนจัดประกบจูบแน่นสนิท หนักแน่นและเต็มล้นด้วยคำบัญชา เธอถูกล่วงเกินเช่นนี้ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว และแน่นอนว่าเธอไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ เพราะคนที่กำลังบังคับจูบอย่างเร่าร้อนคือพี่ชายบุญธรรมของตัวเอง
“ยะ...อย่า...” ปลายลิ้นร้อนจัดที่สอดแทรกเข้ามาไม่เปิดโอกาสให้เธอหวีดร้อง หม่อมหลวงจอมพลบดขยี้ริมฝีปากของเธออย่างทารุณจนลมหายใจขาดห้วงและสุดแสนจะเร่าร้อน แม้ว่ารู้สึกถึงรสชาติเลือดในอุ้งปากแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดตะโบมจูบแต่อย่างใด
“คุณต้องชดใช้ให้ผม” เขาผละริมฝีปากออกด้วยแววตายิ้มหยัน แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเพื่อสูดลมหายใจเข้าแล้วประกบริมฝีปากลงมาประหารซ้ำอีกครั้ง พาขวัญกระเสือกกระสนต่อสู้ สับสนไปหมดแล้วว่าต้องชดใช้อะไรให้เขาอีก ในเมื่อสิ่งที่เขาได้ไปมันมากเกินพอแล้ว
“ชะ...ชดใช้? ชดใช้อะไร”
“จำไม่ได้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่”
จอมพลเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้สอดลิ้นเข้ามาได้ถนัดถนี่ ตวัดพัวพัน รุกเข้ามาหยอกล้อแล้วถอยกลับ จากนั้นก็บุกเข้ามาอีกราวกับระลอกคลื่น เสียงลมหายใจของเราทั้งสองคนเริ่มรุนแรงขึ้น เธอยังจำจูบแรกเมื่อค่ำคืนคริสต์มาสนั้นได้ แต่ว่ายิ่งผ่านไปจูบของเขาแต่ละครั้งก็จะยิ่งร้อนแรงขึ้น เข้มข้นขึ้น ซึมซาบเข้าเส้นเลือดและมอมเมาความปรารถนาได้ยิ่งกว่าเหล้าชนิดใดในโลกนี้
คุณชายอรุณกับแม่ของเธอเดินทางไปดื่มฉลองน้ำผึ้งพระจันทร์กันแล้ว โดยทั้งคู่จะนั่งเครื่องบินไปลงที่มิลานแล้วต่อไปยังเวนิสเพื่อลงเรือสำราญ ส่วนพาขวัญ... เธอจำใจต้องย้ายข้าวของมาที่คอนโดตามคำสั่งของพ่อบุญธรรม ท่านเมตตาว่าที่ลูกสาวมาก ของขวัญที่เธอได้รับเป็นห้องพักในคอนโดสไตล์โมเดิร์นราคาร่วมยี่สิบล้าน มีสองห้องนอนสองห้องน้ำ พื้นที่ห้องนั่งเล่นกับส่วนครัวกว้างขวาง มุมระเบียงเปิดโล่งเห็นสะพานแขวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างดงาม เธอชอบที่ระเบียงตรงนี้สามารถตั้งโต๊ะทานกาแฟและจัดสวนเล็กๆ ได้
เธอเพิ่งมาถึงที่ห้องพร้อมกับคนจากบริษัทขนส่ง ข้าวของส่วนตัวของฉันถูกส่งมาในกล่องกระดาษไม่กี่กล่องเพราะนี่เป็นแค่การย้ายที่พักช่วงเวลาสั้นๆ
แน่นอนว่าทุกอย่างตกอยู่ภายใต้อำนาจของหม่อมหลวงแสนร้ายกาจคนนั้น เขาให้เกียรติมาควบคุมเชลยตัวเล็กๆ คนนี้ด้วยตัวเอง และทันทีที่อยู่กันตามลำพังสองคน เขาก็ตรึงร่างพาขวัญกระแทกผนังและทาบริมฝีปากร้อนๆ ลงมาอย่างอุกอาจ เธอตื่นตระหนก ทำข้าวของหลุดจากมือ ทั้งโกรธทั้งเกลียดจึงพยายามต่อต้านพี่ชายสารเลวคนนี้สุดฤทธิ์ ทว่าเพียงปลายลิ้นที่สัมผัสรุกรานเข้ามาในอุ้งปาก ก็ทำให้พาขวัญเผลอหลุดครวญครางออกมา ลมหายใจปั่นป่วนสับสน เข่าทั้งสองข้างกำลังอ่อนปวกเปียกลงช้าๆ
“ยะ...หยุดนะ ไม่!”
“หยุดงั้นเหรอ? คิดว่าผมลงทุนไปทั้งหมดเพื่ออะไรกันล่ะ”
เขาเลียริมฝีปากและกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก มือร้อนจัดบีบเคล้นยอดอกเบาๆ ก่อนจะเลื่อนลงต่ำ ลูบไล้ลาดสะโพกงามและซุกนิ้วเข้าสำรวจหาความชุ่มฉ่ำอย่างหิวกระหาย พาขวัญไม่แน่ใจว่าเขาดูดนิ้วตัวเองทำไม แต่วินาทีต่อมาเขาก็แยกเรียวขางามออกกว้าง ก่อนจะสอดนิ้วชุ่มๆ นิ้วนั้นเข้าไป ‘ข้างใน’ ขยับช้าๆ จนมั่นใจว่าเธอจะไม่ขัดขืนอีก
“ยะ...อย่า... อ๊ะ”