ทวงคืนรัก - 4
"เมื่อไหร่จะถึง" เสียงทุ้มฟังดูหัวเสียกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคน เดาว่าคงเป็นคนที่เขากำลังขอความช่วยเหลืออยู่
"ให้เวลาห้านาที ไม่งั้นสนามเฮียเจ๊ง!"
สำนวนเขาเหมือนคนป่าเถื่อนเลย แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันช่างเข้ากับบุคลิกเขาเหลือเกิน
"ขอโทษนะคะ" ทุกอย่างไปไวกว่าความคิด ฉันเดินฝ่าฝูงคนเข้าไปยืนด้านหลังเขาพร้อมเอ่ยทักทาย คนถูกเรียกค่อย ๆ หันหน้ามาสบตากัน ใบหน้าคมเข้ม ผมยาวระต้นคอสีดำอมกรมท่า ไม่เจอกันไม่กี่สัปดาห์เขาก็เปลี่ยนสีผมเสียแล้ว
"รถเสียเหรอคะ" ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันกล้าที่จะชวนเขาคุย
คนที่เคยมีบุญคุณกับฉันขมวดคิ้วเอาแต่จ้องหน้าไม่พูดไม่โต้ตอบใด ๆ จนกระทั่ง
"ถ้าตาไม่บอดน่าจะดูออก"
โอเค เชื่อแล้วว่าเขาเป็นผู้ชายห่าม ๆ พูดจาโผงผาง และแบดบอยต่อใจฉันจริง ๆ
"เอ่อ ถ้าไม่ว่าอะไร รถเม่ยจอดอยู่ตรงนั้น คุณยืมไปก่อนได้นะคะ"
อยากบอกว่า 'ให้ฉันไปส่งได้นะคะ' แต่ดูเหมือนจะแรดไปเลยเปลี่ยนคำพูดให้ดูซอฟต์ลง
"เรารู้จักกัน?" คิ้วดกดำขมวดเข้าหากัน ในตาสีเข้มจ้องฉันเหมือนพยายามสแกนดูว่า อีนี่ คือใคร เคยรู้จักด้วยเหรอ อะไรทำนองนั้น
"คุณจำฉันไม่ได้เหรอคะ ที่สนามบิน?" ฉันพยายามทวนความจำให้อีกคน และมั่นใจว่าจำคนไม่ผิดแม้สีผมเขาจะเปลี่ยนไป
"ถ้าไม่ใช่หน้าแม่ ฉันก็ไม่อยากจำ"
ทว่าคำตอบของเขาทำเอาฉันหน้าชาไปทั้งตัว คนที่ยืนรายล้อมอยู่ต่างพากันหัวเราะเยาะฉันพร้อมสายตาเหยียดเยาะ
"คุณ..."
"ยังจะหน้าด้านอีกเนอะคนเรา มุกใหม่จับผู้ชายล่ะสิ แกล้งเนียนว่ารู้จักเขา"
"นั่นสิแก หน้าตาก็สวย ไม่น่าขาดผู้ชายเลยเนอะ"
"ฮ่า ๆ นั่นสิ สมัยนี้ยางอายไม่มีกันแล้วละ"
เสียงผู้คนต่างพากันเยาะเย้ยฉันดังคนแล้วคนเล่า ส่วนตัวฉันทำได้แค่ยืนมองหน้าอีกคนที่เป็นต้นเหตุ เขาไม่ได้สนใจฉันหรือแม้แต่สถานการณ์รอบข้าง เปิดประตูรถหรูเข้าไปนั่งด้านในโดยปล่อยให้ฉันถูกรุมแซะอยู่คนเดียว
"เม่ย!"
หูเหมือนได้ยินเสียงใครสักคนเรียก ตามมาด้วยร่างกายที่เหมือนถูกจับต้องให้เดินออกไปจากฝูงชนตรงนี้
"เม่ย"
"..."
"เม่ย! ได้ยินเราหรือเปล่า?"
"มะ มาร์ค"
เพิ่งรู้สึกตัวตอนที่ถูกมาร์ค เพื่อนตั้งแต่เรียนมัธยมพาตัวออกมาจากพื้นที่ตรงนั้น
"เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไปยืนให้คนพวกนั้นด่าว่าเสีย ๆ หาย ๆ แบบนั้นล่ะ"
ฉันควรตอบเพื่อนสนิทอย่างไรดี? "ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ"
ปลีกตัวมาขึ้นรถ ทว่ามาร์คกลับรั้งไว้ "สภาพแบบนี้ขับไม่ไหวแน่ เดี๋ยวเราขับเอง"
ฉันถูกเพื่อนสนิทพามาขึ้นนั่งข้างฝั่งคนขับ ส่วนเขารีบขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยแล้วขับรถเข้ามหาลัยโดยไม่ถามไถ่ใด ๆ ต่อสักคำ
ไม่คิดว่าการเจอกันครั้งนี้จะทำให้ฉันเสียใจและเสียความรู้สึกได้ขนาดนี้
แต่ถามว่าฉันเข็ดไหม?
ตอบยากเหมือนกันเพราะลึก ๆ แล้วฉันยังอยากรู้จักเขาต่ออยู่ดี
"ทำไมปากหมาแบบนั้นวะ" เสียงยัยอิงอิง
"ผู้หล่อต้องปากแบบนี้ทุกคนถึงแซ่บค่ะ" ทิฟฟี่ดูจะชอบผู้ชายลุคนี้
"แต่มาร์คไม่อยากให้เม่ยไปยุ่งกับเขาอีก"
มาร์คที่เป็นคนช่วยฉันออกมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้าและเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อน ๆ ฉันฟังบอกอย่างเสียงแข็ง
"อย่าไปว่าเขาเลย อย่างน้อยเขาก็เคยช่วยเม่ยไว้นะ"
"ช่วยวันนั้นก็ส่วนวันนั้น แต่วันนี้เขาตั้งใจแหกหน้าเม่ย"
"เขาอาจจะจำเม่ยไม่ได้จริง ๆ ก็ได้นะ"
"โอ้ย! ชะนีผู้ตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้น"
อิงอิงรีบกระแนะกระแหนฉันอย่างน่าหมั่นไส้
"ชะนีอย่ามาว่าลูกสาวแม่นะ บูชาความรักผิดตรงไหนยะหล่อน ก่อนหน้าหล่อนก็บูชาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ"
"พี่เหนือฉันเป็นคนดี"
"ค่าาาาา ผัวใครจะไม่ดีบ้างล่ะ"
"อีอาทิตย์!"
"ทิฟฟี่ย่ะ! ทิฟ ฟี่"
จากประเด็นของฉัน ตอนนี้กลายเป็นอิงอิงกับทิฟฟี่เปิดศึกกันเองอีกแล้ว
"เม่ยชอบเขาเหรอ" เสียงมาร์คเพื่อนสนิทเอ่ยถามขึ้น ฉันทำเพียงหน้าแดงเมื่อถูกถามตรง ๆ "ไม่รู้สิ เม่ยแค่รู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่คิดถึงเขา"
แม้ตอนนี้ที่พูดถึงเขาคนนั้นหัวใจก็ยังเต้นแรงอยู่เลย
"เขาเป็นใครเม่ยยังไม่รู้จักเลยนะ"
"นั่นสิ! เขาเป็นใครกันนะ" เพราะคำพูดของมาร์คทำให้ฉันคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้
"อิงอิง" เรียกเพื่อนสนิทอีกคนที่ยังคงทะเลาะกับทิฟฟี่อย่างจริงจัง
"ว่า?" เธอหันมาเลิกคิ้วถามก่อนจะเลื่อนสายตาไปจิกด่าทอทิฟฟี่ที่ยังทำปากขมุบขมิบว่าให้เธอ
"แกพอจะมีนักสืบเก่ง ๆ บ้างเปล่า"
บ้านอิงอิงเส้นสายค่อนข้างใหญ่น่ะ พ่อเธอเป็นคนมีสี น่าจะพอรู้จักนักสืบเก่ง ๆ สักคนสองคน
"แกคงไม่ถึงขั้นให้ฉันจ้างนักสืบให้นะยัยเม่ย"
ฉันพยักหน้าบอกเพื่อนรักทันที "ใช่"
"เป็นเอามากอะ"
ถึงเธอจะพูดเหมือนไม่สนับสนุน แต่ไม่นานโทรศัพท์ฉันก็สั่นพร้อมเบอร์โทรปริศนาที่อิงอิงส่งมาให้ทางแชต
"คนนี้ป๊าฉันใช้งานอยู่ ถ้าแกพอมีรูปถ่ายก็ส่งไปให้เขาช่วยสืบได้"
รีบฉีกยิ้มกว้างปรี่เข้าไปสวมกอดเพื่อนรักทันที "ขอบใจน้า~ อิงอิงคนสวย"
"แหวะ ไม่ต้องมาชม ฉันสวยอยู่แล้วย่ะ"
ปล่อยอ้อมกอดเพื่อนออก นั่งดูเบอร์นักสืบที่เธอส่งมาให้ พลางคิดในใจว่าฉันจะเอารูปถ่ายผู้ชายคนนั้นมาได้อย่างไร