คลั่งรัก 4
Special Part
หลังจากที่หมอลิลณาซักไซ้คนไข้ในความดูแลของเธอ อาการของขัติมากรก็ดูแปลกไปจากปกติ เธอเริ่มเหงื่อตกตามกรอบหน้า ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเริ่มเลิ่กลั่กจากอาการหวาดกลัว หมอลิลณาเห็นท่าไม่ดีกลัวเธอจะช็อกจึงรีบฉีดยาสลบแบบอ่อน ๆ ให้ ก่อนจะเรียกพยาบาลเข้ามาช่วยพยุงคนไข้ขึ้นพักบนเตียง
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณลิลลี่?”
ทัศน์เทพที่ได้รับคำสั่งให้ดูแลผู้หญิงในปกครองของนายให้ดีได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงรีบเข้ามาดู
“ฉันน่าจะไปกระตุ้นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำของเธอเข้า”
ลิลลี่ หรือ หมอลิลณา บอกบอดี้การ์ดมือขวาของพี่ชายเธอ
จู่ ๆ ที่หมอประจำตัวของขัติมากรที่ดูแลรักษาเธอมาตั้งสี่เดือนแต่สุขภาพเธอกลับไม่ดีขึ้นเลยทั้ง ๆ วินิจฉัยออกมาเป็นแค่โรคขาดสารอาหาร สาเหตุเพราะความไร้จรรยาบรรณของหมอที่เห็นแค่ความสำคัญของเม็ดเงิน พอครอบครัวเธอจ่ายหนักจ่ายไม่อั้นจึงไม่อยากรีบรักษาให้หาย จนกันตพลจับได้เลยถูกเด้งออกจากโรงพยาบาล
“ผมต้องโทร.รายงานนายก่อน”
ทัศน์เทพรีบเดินออกจากห้องนี้ เขาควักโทรศัพท์เครื่องหรูออกมากดโทร.หานายทันที
“นายเสร็จธุระยังครับ” เขายังคงเกริ่นออกไปแบบปกติ
[ยัง เหมือนจะตกลงกันไม่ได้]
ทางนั้นก็มีปัญหาคาราคาซังยิบย่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกแปลกใจทำไมมือขวาเขาถึงโทร.มาถามเรื่องนี้
[เกิดอะไรขึ้น]
คนถูกตั้งคำถามกลับรวบรวมความกล้ารายงานสถานการณ์ปัจจุบันออกไปทันที
“คุณฟางเซียนเหมือนจะมีปัญหาแล้วครับ”
เพียงแค่อีกฝ่ายได้ยินชื่อที่เขาจดจำได้ขึ้นใจ เสียงเหมือนขยับตัวก็ดังลอดออกมา ตามมาด้วยเสียงโวยวายจากคนหลายคนดังเข้ามาในสาย แลดูวุ่นวายกันหนักกว่าทางนี้
[ตอนนี้อยู่ที่ไหน]
“โรงพยาบาลครับ”
เขาตอบผู้เป็นนายสั้น ๆ อย่างไม่ยืดยื้อ ฝ่ายนั้นวางหูไปแต่ก็ได้ยินเสียงสบถหยาบคายดังมาก่อนสายจะตัด
[แม่งเอ้ย!]
อาการหัวเสียแบบนี้ไม่รู้เพราะยังเจรจาธุรกิจไม่เสร็จหรือเพราะอีกคนที่เขาโทร.ไปรายงาน
“เฮียเพลิงจะมา?”
คุณหมอคนสวยที่ยืนฟังบทสนทนานั้นตั้งแต่นาทีแรกถามขึ้น
“ครับ” ทัศน์เทพตอบสั้น ๆ
“ตกลงเกิดอะไรขึ้น แล้วผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”
หมอลิลณาเพิ่งกลับมาจากการไปอบรมวิชาชีพที่ปารีสมาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เธอเลยไม่รู้ว่าสี่เดือนที่ผ่านมาพี่ชายเธอพาใครเข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วย
พอกลับมาถึงที่นี่ปุ๊บเธอก็ถูกพี่ชายสั่งให้มาดูแลคนไข้คนนี้ แถมยังกำชับอีกว่าต้องพิเศษกว่าคนไข้คนอื่น ๆ เธอเองไม่เคยเห็นพี่ชายที่แสนเย็นชาจะดูห่วงใยใครขนาดนี้ โดยเฉพาะคนแปลกหน้า
“เดี๋ยวคุณลิลลี่ถามจากนายดีกว่าครับ”
ทัศน์เทพไม่อยากก้าวก่ายเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่านายตนเองพาเธอกลับมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร เขาเองก็ไม่เคยเห็นเจ้านายออกมือช่วยใครที่ไม่รู้จักสักที แต่เมื่อสี่เดือนก่อนคำสั่งนายเขายังจำได้ทุกคำ
‘จัดการพวกมัน แล้วไปเอาตัวเธอมา’
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดแม้เขาจะสนิทกับกันตพลมากแค่ไหนก็ยังเดาใจคนเป็นนายไม่ถูกอยู่ดี
”เกิดอะไรขึ้น!”
กันตพลใช้เวลาเดินทางมาที่โรงพยาบาลไม่ถึงสิบนาที เขาให้ฮาเทชิบอดี้การ์ดมือซ้ายขับปาดรถทุกคันที่ขวางทางเขาโดยไม่สนใจว่าจะถูกจับความเร็วหรือมีเสียงร้องด่าตามหลัง
ครั้นมาถึงโรงพยาบาลก็มุ่งหน้ามาที่ห้องทำงานน้องสาวทันที
“ลิลลี่ก็แค่รักษาเบื้องต้น” หมอลิลณาเอ่ยบอกพี่ชาย
“เบื้องต้นเธอคือแบบไหน?”
ดวงตาสีเข้มตวัดมองน้องสาวบุญธรรมที่เติบโตมาด้วยกันอย่างดุกร้าว ก็เพราะแบบนี้ไง... พี่ชายชอบเย็นชากับคนอื่นแบบนี้ เธอเลยอยากรู้ว่าผู้หญิงที่นอนไม่ได้สติบนเตียงเป็นอะไรกับเขา
แค่แววตาที่บ่งบอกว่าร้อนใจ สั่นไหวเมื่อมองหน้าคนบนเตียง เธอก็รู้แล้วว่ามันไม่ปกติสำหรับพี่ชาย
“โรคนี้ไม่ใช่แค่ขาดสารอาหาร แต่เหมือนจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับจิตใจของเธอด้วย” หมอลิลณาเอ่ยบอกพี่ชายพร้อมสังเกตปฏิกิริยาเขาไปในตัว
เธอเห็นกันตพลกำหมัดบ้าง คลายบ้าง เหมือนอยากจะสัมผัสอีกคน แต่ก็เก็บอาการเพราะคนรอบตัวเยอะเกินไป
“ลิลลี่เลยเดาว่าเธออาจะมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย เลยถามหาสาเหตุ”
“เธอไม่ควรถามแบบบนั้น” เสียงแข็งกร้าวดังขึ้นอย่างไม่พอใจ
ถ้าเป็นเขา... เขาจะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าที่เธอนอนฝันร้ายทุกคืนเพราะอะไร แต่สำหรับลิลณาเธอไม่รู้ เลยต้องรักษาไปตามขั้นตอน จะมาเสียงดุใส่ทำไมกัน
“ลิลลี่เป็นหมอนะ ถ้าไม่ถามก็รักษาไม่ได้” เธออธิบายเหตุผลให้พี่ชายฟังจนอีกคนค่อย ๆ ตั้งสติแล้วผ่อนคลายอารมณ์หงุดหงิดลง
“แล้วนี่ทำไมเธอไม่ฟื้น”
“ลิลลี่ให้ยาสลบเพื่อระงับอาการหวาดกลัวของเธอ น่าจะอีกห้าถึงสิบนาที ถึงจะฟื้น” ไม่อยากคุยกับพี่ชายแล้ว อยู่แล้วอึดอัด ออกไปสูดอากาศพร้อมหาเรื่องหลอกถามความสัมพันธ์ของสองคนนี้จากลูกน้องเขาดีกว่า
“ลิลลี่รอด้านนอกนะคะ ถ้าเธอฟื้นเรียกด้วย”
ร่างเล็กสวมเสื้อกาวน์กำลังจะเดินออกไป ทว่าไม่ลืมส่งสายตาบอกให้บอดี้การ์ดพี่ชายทั้งสองคนตามออกมาด้านนอกด้วย
เมื่อในห้องไม่มีคนอื่น เหลือแค่เขากับอีกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง กันตพลจึงค่อย ๆ เอื้อมมือหนาวางบนเตียงที่ขัติมากรนอนอยู่ เขาวางมันไว้แค่พื้นเตียง ไม่ได้แตะต้องเนื้อตัวเธอสักนิด พลางสมองก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตัดสินใจพาคนแปลกหน้าคนแรกในชีวิตกลับมาด้วย
เมื่อสี่เดือนก่อน เขามีนัดเจรจาธุรกิจค้าอาวุธกับรายใหญ่ที่เมืองกว่างโจว ครั้นตกลงกันเรียบร้อยเขาจึงให้ลูกน้องขับรถกลับที่พัก แต่จังหวะที่รถขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำจู สายตาดันสะดุดเข้ากับแผ่นหลังบางที่ยืนเกาะราวสะพานอยู่อย่างเหม่อลอย
เขาสั่งให้ทัศน์เทพจอดรถเพื่อมองดูเธอคนนั้นหลายนาที เห็นหมดทุกอย่างว่าเธอคิดจะทำอะไร จวบจนเธอคนนั้นตัดสินใจเดินกลับมายังจักรยานคันเก่า ๆ เขาเลยโล่งอก และเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่เขาเห็นแผ่นหลังและใบหน้าเพียงครึ่งเสี้ยวแถมยังมืดสลัว เขากลับลืมเธอไม่ลง
ไม่รู้ว่าต่อมาเป็นพรมลิขิตหรือแค่เรื่องบังเอิญ กันตพลขับรถผ่านไปทางเดียวกับรถที่จับตัวขัติมากรมาพอดี เพียงแค่เขาเห็นแผ่นหลังบางนั้นอีกครั้งก็จำได้ทันทีว่าคือคนเดียวกันที่ตรึงหัวใจเขาไว้จนถึงตอนนี้ เขาสั่งลูกน้องให้ลงไปช่วยเหลือเธอทันทีโดยไม่คิดถึงความวุ่นวายที่จะตามมา
ขัติมากรสลบตั้งหลายนาทีพอฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่หวาดกลัวเขาและลูกน้องเพราะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน กว่าจะพูดให้เธอไว้ใจได้ก็นานเอาเรื่องอยู่ พอคนที่สติแตกกระเจิงตั้งสติได้ กันตพลก็ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นทันที
เสียงสั่นเครือและยังหวาดระแวงในตอนนั้นเล่าเพียงแค่ว่า เธอถูกจับตัวมาจากพวกค้ามนุษย์เพราะที่บ้านติดหนี้พวกมัน โดยที่เก็บราย ละเอียดส่วนสำคัญเกี่ยวกับป้าแท้ ๆ เอาไว้ กันตพลได้ฟังเรื่องราวก็หดหู่ตาม เขาเซ็นเช็คจำนวนถึงสิบหลักส่งให้เธอในทันที
‘เอาไปให้พวกมันซะ’
ในนาทีนั้นขัติมากรย่นคิวด้วยความไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็เริ่มเข้าใจในเวลาต่อมาว่าเขาคงอยากช่วย (จริง?) หรือหลอกลวงอะไรเธอเหมือนกับป้าของเธอหรือเปล่า จึงตัดสินใจถามออกไปเสียงสั่น
‘แลกกับอะไรคะ?’
เธอสบตาคมคู่นั้นที่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเยือกเย็นจนขนลุก
‘ร่างกายของเธอ’
เพียงแค่คนแปลกหน้าตอบคำถามนั้น ขัติมากรรีบวิ่งหนีเขาทันทีแต่กลับวิ่งได้แค่ใจคิด เมื่อความเป็นจริง เธอถูกชายรูปร่างกำยำสองคนดักที่หน้าประตูเอาไว้ไร้หนทางหลบหนี
‘ใจเย็น ๆ ก่อน สาวน้อย’
กันตพลไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรเลยใช้สรรพนามนั้นแทน
จะดูเด็กไปไหมนะ... แต่ดูจากหน้าตาก็น่าจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี
‘เธอกำลังเข้าใจความหมายฉันผิด’
‘เข้าใจผิด... ยังไงคะ”
เสียงที่ถามออกมาตอนนั้นทั้งสั่นกลัวและสั่นสู้
‘ฉันต้องการร่างกายเธอจริง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องบนเตียง’
เกือบหัวใจวายอีกรอบไปแล้ว โชคดีที่เขาบอกความหมายของประโยคแสนกำกวมนั้นก่อน
‘หนูทั้งผอม ทั้งเรี่ยวแรงน้อย คุณจะใช้ประโยชน์อะไรกับร่างกายนี้ได้’
นั่นสิ! ยัยเปี๊ยกนี่ตัวก็เล็ก ผอมกะร่อง ดีแค่สูงถึงเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป แล้วแบบนี้จะใช้อะไรกับร่างกายเธอดีนะ
‘คอยอยู่ข้าง ๆ ฉัน ง่าย ๆ แค่นั้น ทำได้ใช่ไหม’
“อืม”
เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้น ดึงร่างสูงแสนมาดแมนหลุดจากภวังค์ในอดีต กันตพลค่อย ๆ ลอบมองปฏิกิริยาคนบนเตียงว่าเธอจะฟื้นหรือแค่ละเมอ จนเห็นเปลือกตาที่ปิดลูกตาสวยไว้ค่อย ๆ ลืมขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีต่อจากนั้น สิ่งแรกที่คนนั่งเฝ้าเธอมาหลายนาทีทำคือความโล่งใจ
“ฟื้นแล้ว” น้ำเสียงที่ถามออกไปช่างอ่อนโยน ยากที่ใครจะเคยได้ยินโทนเสียงนี้ของมาเฟียตัวร้าย เจ้าพ่อค้าอาวุธเถื่อนรวมถึงอาชีพสีเทาอื่น ๆ อีกมากมาย
“คะ...คุณเพลิงกัลป์!”
เด็กหนอเด็ก... เจอเขาทำไมถึงได้ดูตกใจขนาดนั้น
หน้าตาก็ออกจะหล่อเหลา ทว่าอีกคนกลับทำท่าทีเหมือนเจอผีหน้าตาน่าเกลียดไปได้
“คุณเพลิงกัลป์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
ที่เธอทำท่าทางแบบนั้นเพราะตกใจต่างหาก ก็เขาบอกเธอเองว่ามีธุระสำคัญต้องไปจัดการ แต่ทำไมพอเธอฟื้นมาถึงเห็นคนตัวโตนั่งอยู่ตรงนี้ได้
“เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวหรือว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
กันตพลถามอย่างห่วงใย ยอมรับเลยว่าเก็บอาการกับแม่สาวน้อยของเขาไม่ค่อยได้เลยจริง ๆ
อยากทำเย็นชาเหมือนที่ทำกับคนทั้งโลก แต่ไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่อยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้เขากลับควบคุมตัวเองไม่ได้ ต่อหน้าคนอื่นเขายังพอเก็บอาการได้ส่วนหนึ่ง แต่พอเป็นการอยู่ลำพังแบบนี้เขากลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองออกไปเขาจะรู้ตัวไหมนะว่าทำเด็กสาวคนหนึ่งกำลังสั่นไหว
“หนูไม่เป็นอะไรค่ะ”
ขัติมากรตอบเสียงแผ่ว แถมยังมีหลบสายตาคมคู่นั้นเสมองไปทางอื่นทั้ง ๆ ที่ใจอยากจดจ้องใบหน้านั้นแทบตาย
“แน่ใจนะ?”
กันตพลไม่รู้ว่าน้องสาวบุญธรรมเขาทำอะไรเธอคนนี้บ้าง
“ค่ะ หนูแค่คิดเรื่องเก่า ๆ แล้วคงควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกตัวอีกที ก็เห็นคุณเพลิงกัลป์นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว”
จู่ ๆ หัวใจที่เคยเต้นปกติก็แกว่งแรง เมื่อกันตพลเผลอแปลคำพูดธรรมดานั้นเป็นความหมายที่พิเศษ ตื่นมาแล้วเห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ ก็เท่ากับว่า ตื่นมาเจอเขาเป็นคนแรกในสายตา อะไรมันจะรู้สึกดีแบบนี้ก็ไม่รู้
“คุณเพลิงกัลป์ไม่สบายหรือเปล่าคะ” มือบางรีบเอื้อมไปแตะหน้าผากอีกคนทันทีเมื่อพวงแก้มเขาแดงขึ้นแถมยังลามไปถึงลำคออีก
หมับ..!
แต่ด้วยความที่เป็นคนเคยฝึกการต่อสู้ มือหนาเลยคว้ามือแน่งน้อยข้างนั้นไว้ทันเมื่อปฏิกิริยาของร่างกายมันตอบสนองคิดว่าจะเข้ามาทำร้าย
“โอ๊ย!”
เผลอใส่แรงเยอะไปหน่อยจนคนตัวเล็กที่นั่งสูงกว่าเขาระดับหนึ่งถูกบีบที่ข้อมืออย่างแรงแถมยังกระตุกจนร่างเธอลอยหวือลงมานั่งบนตักแกร่ง สาวน้อยตรงหน้าลืมความเจ็บไปในทันที หัวใจเธอสั่นรัวเมื่อใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่หนังสือไม่กี่หน้าขวางกั้น