คลั่งรัก 3
เฮียเทพพาฉันเดินดูอาคารต่าง ๆ ที่ต้องใช้เรียนหลัก ๆ โรงอาหารของคณะและโรงอาหารรวม สหกรณ์ร้านค้าที่ไว้ใช้ซื้อของใช้จำเป็นบางอย่างรวมถึงที่นัดแนะเวลาเลิกเรียน
“เดี๋ยวเราไปโรงพยาบาลกันเลยนะ” เขายกนาฬิกาข้อมือสีเงินขึ้นมาดู
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าส่งยิ้ม
เดินตามร่างสูงที่มีสายตาหลายสิบคู่ทั้งของนักศึกษาที่มาติดต่องาน อาจารย์ที่ยังสาวอยู่ ต่างก็จดจ้องเขาตลอดทางเดิน ใครจะไม่มอง ในเมื่อเฮียเทพทั้งหล่อ สูงยาวเข่าดี ยิ่งทรงผมไถเปิดข้างของเขาคงจะเป็นที่ถูกใจของสาว ๆ แถวนี้
“มีอะไรเหรอ” ฉันคงเผลอพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจดเท้านานเกินไปอีกคนเลยรู้สึกได้
“เฮียเทพมีแฟนยังคะ” ไม่มีอะไรคุยฉันเลยสุ่มคำถามเบสิกที่สุดออกมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศรอบตัวเงียบจนเกินไป
“อาชีพอย่างฉันมีแฟนไม่ได้หรอก” เขาตอบแบบไม่ได้มีความรู้สึกผิดหวังหรือเสียใจในสิ่งที่เป็นอยู่เลยสักนิด
“บอดี้การ์ดน่ะเหรอคะ?”
“อืม ฉันเป็นบอดี้การ์ดให้กับตระกูลนายตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวนายมีพระคุณกับฉันมาก ถ้าไม่ได้พวกเขา ฉันเองก็ไม่รู้ป่านนี้ชีวิตจะเป็นยังไง”
ชีวิตเขาคล้ายฉันเลยนะ ถึงแม้ฉันจะเพิ่งถูกคุณเพลิงกัลป์มอบชีวิตใหม่ให้แค่สี่เดือน ทว่าฉันกลับตั้งสัตย์ไว้กับตัวเองแล้วว่าจะตอบแทนเขาชั่วชีวิต เพราะงั้นฉันเข้าใจความรู้สึกของเฮียเทพที่อยู่มาก่อนฉันตั้งนานดี
“แล้วคุณเทชิล่ะคะ”
หลุดถามออกไปจนได้ เขาจะหาว่าฉันถามซอกแซกไหมนะ
“เทชิเพิ่งเข้ามาอยู่กับนายใหญ่ที่เสียไปแล้วตอนอายุห้าขวบ ถูกนายใหญ่เก็บมาเลี้ยงอีกนั่นแหละ”
นายใหญ่ที่ว่าคงหมายถึงพ่อของคุณเพลิงกัลป์ ฉันเคยเห็นภาพ ถ่ายของท่านที่แขวนไว้ที่เพนต์เฮาส์ของเขา
“งั้นทั้งสามคนคงสนิทกันมากเลยใช่ไหมคะ”
ชักอยากรู้ความสัมพันธ์พวกเขาแล้วสิ
“ฉันกับเทชิยอมตายแทนนายได้เลยละ”
ทำไมถึงพูดคำว่าตายออกมาง่ายจัง
“ถ้าตายไปแล้วตอบแทนบุญคุณต่อไม่ได้นะคะ หนูว่าเฮียเทพกับคุณเทชิรักษาชีวิตตัวเองแล้วตอบแทนบุญคุณตอนมีชีวิตอยู่ดีกว่าค่ะ”
ฉันไม่ชอบเห็นใครตาย เพราะคนที่ตายคือคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถปกป้องคนที่เรารักต่อได้
“พูดมีเหตุผล งั้นฉันจะจำคำเธอไว้นะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเห็นแล้วมีความสุขจัง
“อ๊ะ! เมื่อกี้หนูไม่ได้ตั้งใจจะสอนสั่งนะคะ”
เพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าคำพูดเมื่อกี้ไม่สมควรพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่
“คิดมาก ขึ้นรถเถอะ”
ได้แต่ก้มหน้างุดอย่างไม่กล้าสู้สายตาอีกคน แม้เขาจะมองมาอย่างแย้มยิ้มก็เถอะ
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
“น้ำหนักยังไม่ขึ้นเลยนะคะ ช่วงนี้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายหรือเปล่า” คุณหมอคนสวยถามฉัน
เดือนก่อนหมอประจำตัวฉันเป็นผู้ชายวัยสักสามสิบกว่า ๆ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้เปลี่ยนกะทันหัน เป็นคุณหมอผู้หญิงที่สวยเฉี่ยวคนนี้ได้
“มีอะไรเหรอคะ เห็นจ้องหมอนานแล้ว”
“ขอโทษค่ะ” รีบยกมือไหว้ขอโทษคุณหมอที่เสียมารยาทมองเธอตาไม่กะพริบ
“คุณหมอสวยมาก หนูเลยมองเพลินไปหน่อย” ตอบเสียงเขิน ๆ จนอีกคนหัวเราะคิกคักออกมา
“ใคร ๆ ก็บอกหมอแบบนั้นจนชินแล้วค่ะ”
ถึงว่าคุณหมอคนสวยไม่ค่อยดูตื่นเต้นกับสิ่งที่ฉันชมออกไป
“ที่หมอถาม ตกลงมีอาการไหนบ้างไหมคะ”
อ้อ! ลืมตอบคำถามไปเลย
“หนูชอบฝันร้ายซ้ำ ๆ ค่ะ”
“ฝันร้าย? พอจะเล่าให้หมอฟังได้ไหมเอ่ย” ฉันกำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น ทั้งบีบมันจนเลือดไม่ไหลเวียนรู้สึกชาหนึบแล้วค่อยคลายออก
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกลัว มันก็แค่ฝันนะคะ”
มันก็แค่ฝัน... ทว่าเป็นฝันที่เคยเกิดขึ้นจริงกับฉันมาก่อน
“คุณขัติมากรคะ หายใจเข้าลึก ๆ นะคะ ค่อย ๆ หายใจค่ะ”
ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีหมุดหรืออะไรหนัก ๆ มาทับที่อกจนหายใจลำบาก ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ฉันถูกคนกลุ่มนั้นพาตัวขึ้นรถแล้วกระชากลงรถลากไถไปกับพื้นฉันยิ่งตัวสั่น
“คนไข้คะ! ตั้งสติค่ะ ขัติมากร! ตั้งสติหน่อย”
“ฮึก ฮือ...”
กลัว ฉันกลัวเหลือเกิน
เจ็บ! ตรงหลังฉันมันเจ็บมาก ร่างกายก็รู้สึกรวดร้าวไปหมด
จึก!
รู้สึกจี๊ดขึ้นมาที่ต้นแขนข้างหนึ่ง ตามมาด้วยดวงตาค่อย ๆ ปรือลง ร่างกายรู้สึกเบาโหวงไร้เรี่ยวแรง
หมับ!
“พาขึ้นไปพักบนเตียงก่อนค่ะ”
หูฉันได้ยินเสียงคนคุยกัน แต่ไม่กี่นาทีต่อมาทุกอย่างก็ดับวูบลง