Keen on you หัวใจคลั่งรัก

122.0K · จบแล้ว
Lai LA FuN / เฉิงเอ๋อร์
76
บท
9.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เพลิงกัลป์ มาเฟียที่ใคร ๆ ต่างเกรงขาม และคิดว่าเขาไร้หัวใจ หากแต่ทุกคนไม่รู้ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง ท่าทางแสนเย็นชานั้น เขามีความอบอุ่นซ่อนอยู่ และพร้อมจะมอบให้เธอแค่คนเดียว ============= “อ้าปาก” “คะ?” คิ้วย่นเข้าหากันเมื่ออีกคนใช้ส้อมพันเส้นสปาเกตตีที่ฉันทำแล้วยกมาจ่อตรงหน้า “อ้าปาก” ครั้งนี้ไม่ถามมากความเพราะดูจากแววตาแล้วคุณเพลิงกัลป์ไม่น่าถามครั้งที่สาม “อร่อยไหม” ก็ต้องอร่อยสิ ฉันเป็นคนทำนะ! “เฮียเพลิงไม่ทานเหรอคะ” พอเคี้ยวเสร็จกลืนอาหารเรียบร้อยก็ถามเขาออกไปทันที “กินสิ” สิ้นสุดคำพูดนั้น สปาเกตตีคำโตก็ถูกยัดเข้าปากเขาทันที นะ...นั่นส้อมที่เขาเพิ่งป้อนฉันนะ! “หวาน” เอียงคอเล็กน้อยเมื่อเขาบอกว่าอาหารที่ฉันทำมันหวาน “แต่หนูใส่น้ำตาลแค่ปลายช้อนชาเองนะคะ” ที่เฮียเทพบอกว่าเขาไม่กินหวานหรือว่าไม่ใส่น้ำตาลเลย? “น่าจะหวานเพราะปากเธอ” “อร่อยที่สุด” พอหมดจานคนที่เอาแต่ป้อนฉันสามคำต่อเขาหนึ่งคำจนหมดจานกลับบอกว่าอาหารมื้อนี้อร่อย “เฮียเพลิงทานนับคำได้ แกล้งชมหรือเปล่าคะ” บางทีก็สงสัยที่เขาไม่ค่อยทานเอาแต่ป้อนฉันเพราะว่าอาหารไม่ถูกปากหรือเปล่าเลยกลบเกลื่อนโดยให้ฉันกินให้หมด “แกล้งชมที่ไหน อร่อยจริง ฉันไม่เคยกินอาหารมื้อไหนที่อร่อยเท่าวันนี้มาก่อนเลย”

นิยายรักโรแมนติกรักหวานๆดราม่ารักแรกพบมาเฟียเศรษฐีโรแมนติกผู้ชายอบอุ่น

Intro

ฟิ้ว~

สายลมเย็น ๆ พัดต้องร่างบางที่ยืนอยู่บนสะพานสูงที่พาดผ่านแม่น้ำจูในมณฑลกวางตุ้งของประเทศจีน ค่ำคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างไสวทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับแลดูสวยสดงดงามกว่าคืนไหน ๆ

หากแต่คนที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติกนี้ กลับมีใบหน้าที่เหม่อลอยทอดมองไปข้างหน้าอย่างไม่มีสิ้นสุดเท่าที่สายตาคนธรรมดาจะมองถึง

สองมือบางกำขอบราวสะพานไว้หลวม ๆ คืนนี้ทำไมผู้คนถึงได้เงียบเหงาทำให้เธอที่ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวดูโดดเดี่ยวขึ้นเป็นทวีคูณ

อืม…โดดเดี่ยวเหรอ?

ปกติก็โดดเดี่ยวเหมือนตัวคนเดียวอยู่แล้วนี่นะ

หญิงสาวยังคงยืนเหม่อมองสายน้ำที่ไหลอย่างเงียบสงบ พร้อมก่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัวสมอง กลางดึกแบบนี้ หากสายน้ำที่นิ่งสงบมีอะไรหนัก ๆ หล่นกระทบจะเกิดเสียงดังกังวานหรือเปล่านะ

แล้วถ้าสิ่งที่หล่นลงในแม่น้ำตอนนี้คือวัตถุบางอย่างที่มีน้ำหนักสี่สิบห้ากิโลกรัมแบบเธอ สายน้ำจะกระเพื่อมสั่นไหวและจมลงไปได้ลึกเท่าไรกัน

เพียงแค่สมองคิด มือบางที่วางเกาะราวกั้นเหล็กของสะพานก็กำแน่น หัวใจที่เต้นตึกตักอยู่เหมือนจะเต้นแผ่วลงราวไม่อยากขยับ

ปู๊นนนน…

เสียงหวูดของเรือโดยสารลำใหญ่ดังขึ้น ทำให้สติเธอกลับมา

ร่างบางค่อย ๆ ถอนหายใจ ยกมือขึ้นรวบผมที่ยาวสลวยปลิวไปตามแรงลมรวบเข้าด้วยกันให้อยู่กลางศีรษะ ใช้ยางรัดผมค่อย ๆ มัดเส้นผมนั้นให้มั่นเป็นทรงหางม้า เดินหันหลังกลับไปยังจักรยานคันเก่า ๆ ที่สนิมเกรอะแทบจะทุกซี่ของล้อรถเพื่อปั่นนำโจ๊กร้อน ๆ กลับไปให้คนที่รออยู่ที่บ้านซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ

ใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบนาทีรถจักรยานคันเก่า ๆ เจ้าของแรงปั่นก็กลับมาถึงบ้านปูนหลังหนึ่ง มองแค่ภายนอกก็รู้ฐานะของคนอาศัยอยู่ทันที

คราบน้ำและสีที่ลอกจากการคงอยู่ที่เป็นเวลานาน มีส่วนแตกหักของปูนเปลือยตามกำแพงบ้าน คราบตะไคร่สีเขียวที่ขัดทำความสะอาดอย่างไรก็ไม่เคยสะอาดดั่งใจคิด แต่กระนั้นก็ดีมากโขแล้วที่เธอยังมีที่ซุกหัวนอนไม่โดนน้ำฝน โดนแดดแผดเผา

“ทำไมวันนี้คนเยอะจัง”

จักรยานถูกจอดไว้หน้ารั้วบ้าน เธอมองเข้าไปด้านในเห็นแสงไฟสว่างอยู่แถมยังมีรถจอดอยู่เยอะกว่าทุกวัน

“คุณป้าคงจะเสี่ยงดวงอีกแล้ว”

เธอถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอากับนิสัยชอบเล่นการพนันของป้าเธอ เล่นมาตั้งเป็นปี จากบ้านที่หลังใหญ่หรูหรามีกินมีใช้ ต้องย้ายเร่ร่อนมาอยู่บ้านทรุด ๆ โทรม ๆ ก็เพราะไอ้ผีพนันพวกนั้นเข้าสิง

แทนที่จะคิดได้ แต่ยิ่งเสียก็ยิ่งอยากเอาคืน หวังว่าต้องมีสักตาที่เป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่สุดท้ายก็วนลูปเสียแล้วก็เสียเหมือนเดิม

“ขออีกพันหยวนนะจะเอามาแก้มือ”

เสียงป้าเหยา ป้าแท้ ๆ ของเธอร้องขอยืมเงินจากเพื่อน ๆ ในวงดังลอดออกมาจนถึงหน้าบ้าน หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าไปมาเมื่อคำนวณเงินที่คนเป็นป้าเป็นหนี้ตอนนี้มากจนจะแตะห้าหมื่นหยวนอยู่แล้ว

ก้มลงมองโจ๊กในมือแล้วถอนหายใจอย่างสมเพชตัวเอง เงินพันหยวนถ้ามีคนให้ป้าได้ เธอก็อยากยืมมาไว้ใช้ซื้อข้าวสารกรอกหม้อบ้างเหมือนกัน ลำพังกินแต่โจ๊กทุกวันจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงทำงานตอนกลางวันอยู่แล้ว

“แสนหยวน!” เสียงตกใจของป้าเหยาดังลั่นบ้าน

ไม่ใช่แค่ป้าเธอตกใจ แต่ตัวเธอเองก็ตกใจเช่นกันที่ได้ยินคำว่า ‘แสนหยวน’

“เอาเลยม้า”

นี่ไม่ใช่เสียงใคร เป็นเสียงของลูกป้าเหยาที่ชื่อจิ้นหงนั่นเอง

“มันจะง่ายขนาดนั้นเหรอ” ผู้เป็นแม่ถามลูกสาวคืน

จำนวนเงินมันล่อตาล่อใจพวกเธอมาก หากแต่ของแลกเปลี่ยนคืออะไรล่ะ

“แลกกับอะไร”

เซินเหยาถามชายที่วันนี้มาร่วมเล่นพนันเป็นเพื่อนเธอ

“ได้ข่าวว่าบ้านนี้มีลูกสาวสวย”

สองแม่ลูกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนที่คนดังกล่าวจะพูดต่อ

“อีกคนที่ไม่ใช่คนนี้”

คำว่า ‘ไม่ใช่คนนี้’ ย่อมหมายถึงจิ้นหงที่ตอนแรกหลงหวาดกลัวคิดว่าตนเองจะถูกแม่แท้ ๆ ขายแลกเงินเสียแล้ว แม้จะเสียหน้าแต่พอเงินมากมายขนาดนั้นแลกกับอีกคนเธอก็รีบสะกิดแม่แท้ ๆ ให้รับปากทันที

“แบบนั้นก็เท่ากับขายคนกินน่ะสิ”

“ม้าสงสารมันจริงอะ?”

จิ้นหงมองตาผู้เป็นแม่ก็รู้แล้วว่าแสร้งทำอยู่

“เดี๋ยวขอไปตกลงกับลูกสาวแป๊บนะ”

เซินเหยารีบดึงแขนลูกสาวแท้ ๆ ออกมาคุยกันในมุมอับสายตา

“ม้าว่าเราน่าจะเรียกได้เยอะกว่านี้นะ”

จิ้นหงมองหน้าแม่ตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตาโตเมื่อสมองที่มีน้อยนิดเข้าใจในเวลาต่อมา

“สด ๆ ซิง ๆ แบบนั้น พวกในบ่อนชอบใช่ไหมม้า” รอยยิ้มชั่วร้ายของสองแม่ลูกผุดพรายขึ้น ก่อนทั้งสองคนจะเดินกลับไปแสร้งแสดงละครฉากใหญ่ขึ้นมา

“ฟางเซียนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของพวกเรา พวกคุณก็รู้”

เซินเหยาทำเสียงไม่พอใจออกมาเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง

“แค่แสนหยวนพวกเราใช้ไม่ถึงปีก็หมดแล้ว แต่ถ้ามีฟางเซียนอยู่ใช้แรงงาน เรารอดไปได้อีกหลายสิบปี” จิ้นหงเสริมอีกแรง

ชายฉกรรณ์สองคนหันมองหน้ากันราวรู้ทันสองแม่ลูกนี้

“เราต้องตรวจสอบของแลกเปลี่ยนก่อน ถ้าสดซิงจริง นายใหญ่จ่ายไม่อั้น”

คำว่า ‘จ่ายไม่อั้น’ ทำสองแม่ลูกตาโต และเป็นจังหวะเดียวกันกับบุคคลที่มีชื่อในบทสนทนาที่ไม่รู้ชะตากรรมของตนเองเดินเข้ามาในบ้านพอดี

“ฟางเซียนมานี่!”

ผู้เป็นป้าตะโกนเรียกเสียงดังทำเอาหญิงสาวเจ้าของชื่อ

‘ฟางเซียน’ ชื่อที่มีความหมายไพเราะเพราะพริ้ง ‘นางฟ้าผู้มีกลิ่นหอม’ รีบเดินก้มหน้าเข้าไปหาผู้มีพระคุณทันที

“ป้าจะกินโจ๊กเหรอคะ” เสียงแสนไพเราะถามขึ้น

เธอไม่กล้าแม้สบตามองชายสองคนที่นั่งร่วมวงกับผู้เป็นป้า แล้วไหนจะมีอีกสามคนที่ยืนคุมอยู่หน้าประตูนั่นอีก

วันนี้ทำไมถึงมีแต่ผู้ชายมาเล่นพนันกับป้าเธอกันนะ

“เก็บโจ๊กนั่นไปเถอะ ต่อไปพวกฉันจะไม่แตะของเส็งเคร็งแบบนั้นอีก”

“จิ้นหง!”

ผู้เป็นแม่รีบห้ามลูกสาวเพราะกลัวจะทำเสียแผนแหวกหญ้าให้งูตื่น

“แล้วคุณป้าจะให้หนูทำอะไรคะ”

ฟางเซียนเอ่ยถามอย่างสุภาพ ทั้ง ๆ ที่ในใจเธอรู้สึกว่าวันนี้มีหลาย ๆ อย่างผิดปกติ

“ตั้งแต่วันนี้ไป เธอต้องเปลี่ยนที่ทำงาน”

“ที่ไหนคะ แล้วทำไมต้องเปลี่ยน”

หญิงสาวถามออกไปอย่างไม่รั้งรอ

“ม้าสั่งอะไรเธอก็ทำ ๆ ไปเถอะ!”

ฟางเซียนมองสบตาจิ้นหงผู้มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ด้วยสายตาสงสัย

วันนี้เจ้หงทำไมพูดมากจัง แถมปกติเวลาเที่ยงคืนแบบนี้ต้องอยู่ในห้องนอนแล้ว แต่ทำไมวันนี้ทุกอย่างถึงดูไม่ปกตินะ

“แล้วงานอะไรล่ะคะ”

สุดท้ายจำต้องเลิกแสดงออกว่าสงสัยและอ่อนข้อลง

“พวกพี่เขามารับเธอไปทำงาน”

เธอมองตามสายตาป้าเหยาที่มองไปทางชายแปลกหน้าที่นั่งตรงข้ามกับพวกเธอ ทำไมแต่ละคนดูน่ากลัวเหมือนพวกมาเฟียเลย

“งานอะไรคะ?”

ถามไม่เต็มเสียงเพราะรู้สึกกลัวสายตาที่มองมา

“อย่าถามมาก แกก็แค่ตามพวกเขาไปก็จบแล้ว!” จิ้นหงหมั่นไส้ความอืดอาดเล่นตัวของญาติผู้น้องจนต้องตะคอกเสียงใส่

“แต่หนูต้องถามให้รู้ว่าคืองานอะไร”

แม้ปีนี้ฟางเซียนเพิ่งจะอายุเพียงแค่สิบแปด แต่เธอก็ไม่ได้หัวอ่อนเชื่อใครง่าย ๆ เลยยังไม่ยอมรับปากคนแปลกหน้าถ้าหากยังไม่รู้สิ่งที่อยากรู้ จนคนที่เสนอเงินแสนหยวนให้ครอบครัวนี้ต้องเอ่ยอะไรบ้าง

“งานนี้สบาย หนูได้ทำงานอยู่ในห้องแอร์ ค่าแรงก็เยอะ แถมยังช่วยครอบครัวให้สุขสบายขึ้น แบบนี้ยังจะลังเลอยู่อีกไหม”

มีด้วยเหรองานที่สบายขนาดนั้น

“ต้องไปตอนนี้เลยเหรอคะ”

ตุ้บ! เสียงทุบมือลงบนโต๊ะดังลั่นห้องสี่เหลี่ยม

“เลิกถามได้แล้ว แกคงไม่อยากเห็นป้าแก่ ๆ ที่เลี้ยงแกมาตั้งหลายปีสุขสบายสินะถึงได้ถามอะไรมากมายแบบนี้ นี่แหละนะที่เขาบอกอย่าเอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม เพราะต่อให้ดียังไง มันก็ไม่เห็นหัวเราเพราะไม่ใช่เลือดแท้ ๆ”

เสียงสะอื้นราวเสียอกเสียใจของเซินเหยาทำเอาฟางเซียนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วรู้สึกเจ็บปวดที่คนเป็นป้าตัดพ้อเธอแบบนั้น

“หนูไม่เคยลืมบุญคุณที่ป้าเลี้ยงดูเลยนะคะ”

“โกหก! ก็เห็น ๆ อยู่ว่าแกไม่อยากทำงานที่พวกพี่เขาเสนอให้ งานที่ได้เงินเยอะ ๆ แล้วพวกฉันสบาย”

คำพูดของจิ้นหงทำเธอเจ็บในอก

ถ้างานที่ว่ามันสบายและได้เงินเยอะแบบนั้นทำไมเจ้ไม่ทำเองล่ะ

คนชอบสบายแบบเจ้น่าจะเหมาะกับงานแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?

“นี่แสนหยวน ไม่ขาดไม่เกิน ถ้าผลงานออกมาถูกใจ เราจะเอามาเพิ่มให้อีกสองเท่า”

กระเป๋าสีดำถูกวางลงตรงกลางโต๊ะ เพียงแค่ไม่ถึงนาทีสองคนแม่ลูกก็รีบคว้ามันไปและวิ่งไปยืนอยู่มุมห้องกอดกระเป๋านั้นไว้อย่างหวงแหน

ฟางเซียนได้แต่มองพฤติกรรมของญาติเธออย่างงุนงง ก่อนที่จะได้ซักถามอะไรต่อ ข้อมือน้อย ๆ ของเธอก็ถูกคว้าไว้แน่น ดวงตาเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ พยายามขืนแรงที่ฉุดกระชากเธอแต่สู้พลังของร่างชายคนนั้นไม่ไหว

“ขอบใจนะฟางเซียนที่ทำให้พวกเราสุขสบาย” เสียงจิ้นหงตะโกนอย่างเยาะเย้ยและสะใจที่ตัดกาฝากอย่างเธอออกไปจากชีวิตได้

“ไม่! ปล่อยนะ ป้าเหยา เจ้หง ช่วยหนูด้วย!”

เสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือของเธอส่งถึงคนที่ถูกเอ่ยชื่อ เพียงแต่พวกเขาเลือกเมินเฉยแล้วมีความสุขกับเม็ดเงินที่แลกมาด้วยชีวิตของคน ๆ หนึ่ง อย่างไม่มีความละอายแก่ใจ

“ขึ้นรถ!”

ตุ้บ!

หัวไหล่มนกระแทกเข้ากับขอบรถจนรู้สึกเจ็บแปลบ ร่างกายทุกส่วนบอบช้ำเพราะการขัดขืน ชายสองคนนั่งขนาบข้างเธอเพื่อให้ไร้หนทางหลบหนี ก่อนที่รถยนต์สีดำมะเมื่อมจะเคลื่อนออกไปจากบ้านที่เธออาศัยอยู่

“ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ”

ตอนนี้รู้แล้วว่างานที่พวกเขาให้ทำไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ ๆ เงินค่าตัวที่สูงลิ่วขนาดนั้น เธอไม่อยากจินตนาการเลยว่ามันคือการค้ามนุษย์ที่คนเป็นป้าทำกับเธอได้ลงคอ

“อย่าแค้นพวกเราเลยคนสวย ต้องโทษสองแม่ลูกหิวเงินนั่นที่ทำลายชีวิตเธอ”

ก็ถูกของเขา...

ถ้าป้าเหยาไม่รับเงิน เธอคงไม่อยู่ในสภาพนี้ แต่ถ้าเธอยอมรับชะตากรรมนี้ เธอก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเช่นกัน

“โอ๊ย! นังบ้าเอ๊ย!”

เสียงชายที่นั่งข้าง ๆ เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อฟางเซียนตัดสินใจกัดเข้าที่หูของชายคนนั้น ส่วนอีกคนที่นั่งอีกฝั่งรีบดึงเธอออกแต่ก็ถูกแรงเท่ามดในคราวแรกกระแทกเข้าเต็ม ๆ ที่ของรักของหวงจนเจ็บจุก

รถที่เคลื่อนตัวอยู่รีบจอดทันทีเพื่อหวังจะสั่งสอนให้หลาบจำ ร่างบางถูกลากลงมาจากรถอย่างไม่มีความเมตตาสงสารใด ๆ ทั้งสิ้น ผลักเธอให้กองอยู่ข้างถนน มือหนาของคนใจร้ายง้างขึ้นหมายจะตบตี

ปี้น ๆ

เสียงแตรรถปริศนาคันหนึ่งขับผ่านมาพอดี จึงบีบแตรส่งสัญญาณ แต่พวกเขาไม่ได้ตกใจหรือเกรงกลัวรถอีกคันที่ขับมาเลยสักนิด นี่มันถิ่นเขา ใครจะใหญ่ไปกว่าเจ้านายที่คุมเขตกว่างโจว ทั้งเมืองกันล่ะ

“ฉุด?”

คำถามสั้น ๆ ดังขึ้นพร้อมร่างกำยำผมสีดำสวมสูทสีเดียวกับผมเดินลงมาจากรถหรูคันที่เพิ่งบีบแตรใส่พวกเขา เค้าโครงหน้าไม่ใช่คนประเทศตนแน่ ออกไปแนวคนชาติญี่ปุ่นมากกว่า แต่กลับพูดภาษาถิ่นได้ชัดขนาดนี้น่าจะไม่ใช่ผู้ผ่านทางธรรมดา

“ถ้าไม่อยากไปเฝ้ายมบาลก็ไสหัวไปซะ!” เสียงตะโกนกร้าวเบ่งความยิ่งใหญ่จากชายคนที่กำลังจะง้างมือขึ้นทำร้านผู้หญิงดังขึ้น

“ครับนาย”

ผู้มาเยือนคนใหม่ใช้มือแตะเครื่องสื่อสารที่ติดอยู่ในหูเพื่อรับคำสั่งจากนายที่อยู่ในรถให้จัดการสวะพวกนี้ให้สิ้นซาก

ร่างสูงในชุดสูทสีดำเดินอย่างองอาจไปด้านหน้าอย่างไม่กลัวคนกลุ่มหนึ่งที่มีมากกว่าตนถึงสี่เท่า เจ้าผอมหนึ่งในแก๊งที่เพิ่งฉุดฟางเซียนมารีบปรี่เข้าหมายจะทำผลงานแต่ถูกสับศอกลงท้ายทอยจนสลบเหมือด

คนอื่น ๆ เห็นท่าไม่ดีเตรียมจะล้วงปืนออกมาจัดการให้จบ ๆ ไปแต่เสียงปืนจากกระบอกอื่นจากฝ่ายตรงข้ามกลับดังขึ้นก่อน แถมเข้าเป้าที่หน้าขาชายคนที่สองที่เป็นพวกเดียวกันกับคนแรกที่สลบไปแล้ว

“ลากตัวยัยนั่นขึ้นมา!”

เสียงคนที่มีหน้าที่ขับรถตะโกนเรียกพรรคพวกเมื่อเห็นท่าไม่ดี

ร่างบอบบางของฟางเซียนถูกกระชากกลับขึ้นรถอีกครั้ง แต่นั่นช้ากว่าชายแปลกหน้าที่เป็นพลเมืองดี เขาคว้าแขนเธอไว้ทันแถมส่งลูกถีบเข้าเต็มหน้าท้องสมุนอีกคนของแก๊งอันธพาลจนล้มจุกกลิ้งไปมาบนพื้นแข็ง

บรืนนนน~

เสียงล้อลดเบียดถนนพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่คิดเหลียวแลเพื่อนสามคนที่นอนกองอยู่ตรงนี้

“ไสหัวไป ถ้าอยากมีชีวิตอยู่”

พลเมืองแปลกหน้าผู้ใจดีแต่น่ากลัวเอ่ยเสียงทุ้มบอกอีกฝ่าย ก่อนจะพยุงร่างบางที่บอบช้ำไปทั้งร่างกายแถมสลบไปตอนไหนก็ไม่รู้ขึ้นรถที่จอดสนิทอยู่ทันที

“ขอบใจ” เขาเอ่ยบอกเจ้าของกระสุนเมื่อสักครู่ที่เป็นเพื่อนกันก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นนั่งประจำที่อีกฝั่งข้างคนขับ

“นายจะเอายังไงต่อ” เจ้าของกระสุนนั้นถามผู้เป็นนายที่นั่งมองร่างบางที่ไร้สติอย่างเดาความคิดไม่ออก

“กลับ!”

สิ้นคำสั่งนั้น รถหรูก็ขับทะยานกลับสู่ที่พักทันที

ทุกอย่างถูกชายฉกรรณ์สามคนที่ถูกลอยแพจดจำรายละเอียดเท่าที่จำได้ไว้ในสมอง พวกเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายเพื่อลบความผิด พลาดในครั้งนี้

คิดมีเรื่องกับ ‘เฉิง กวง หมิน’ ผู้มีอิทธิพลดำมืดในกว่างโจวเท่ากับเอาขาข้างหนึ่งเหยียบนรกไปแล้ว