บท
ตั้งค่า

คลั่งรัก 1

ประเทศไทย

4 เดือนต่อมา

‘ไม่นะ ปล่อย!’

เฮือก!!

ฉันสะดุ้งจากฝันร้ายจากเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผากจนต้องยกมือขึ้นปาดแล้วปาดอีก

“ตื่นแล้ว”

“อะ!”

เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ข้างเตียงทำเอาฉันตกใจรีบลุกพรวดขึ้นจากการนอนหายใจหอบเหนื่อยทันที

ผู้ชายผมสีเงิน ดวงตาแสนเย็นชา สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีดำตลอดเวลา กำลังนั่งจ้องหน้าฉันอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดได้

“ฝันร้ายอีกแล้ว”

คำตอบแรกฉันยังไม่ได้ตอบเขาเลย แต่คิดว่าไม่จำเป็นแล้วแหละ

“ค่ะ” ตอบเขาเสียงอ้อมแอ้ม

ผู้ชายตรงหน้าเขาคือผู้มีพระคุณที่ช่วยฉันจากการถูกป้าแท้ ๆ ขายให้กับแก๊งมาเฟียตอนอยู่ที่บ้านเกิด จนจับพลัดจับพลูได้ติดสอยห้อยตามเขามาอยู่ที่ประเทศไทย

“ไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ฉันจะพาเธอไปเข้าเรียน” ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้น ก่อนคำถามต่อมาจะหลุดออกจากปากอย่างลนลาน

“คุณเพลิงกัลป์จะพาหนูไปเรียนเหรอคะ”

ตอนนี้ฉันมีสองอารมณ์ในคำถามนั้น

‘ดีใจ’ ที่จะได้ไปเรียน กับ ‘ตื่นเต้น’ ที่จะได้ไปทำในสิ่งที่ใฝ่ฝันมาโดยตลอด

“อืม” คำตอบสั้น ๆ ดังขึ้น

คุณเพลิงกัลป์เคยมีรอยยิ้มบ้างไหมนะ?

ถึงเขาจะเป็นคนหน้าตาดี แต่เท่าที่ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะเด็กในปกครองของเขา ยอมรับเลยว่ายังไม่เคยเห็นมุมอ่อนโยนหรือแม้แต่รอย ยิ้มของเขาเลยสักครั้งเดียว

“มองอะไร” เสียงกึ่งดุถามขึ้น

“เปล่าค่ะ” ฉันรีบส่ายหน้าไปมา ก้มหน้างุดหลบสายตานั้นทันที

ร่างสูงคงเสร็จธุระกับฉันแล้ว เขาเลยค่อย ๆ ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากห้องฉันไป

“เสื้อผ้า... ฉันแขวนไว้ตรงนั้น” มองตามสายตาที่เขาโฟกัส เห็นชุดนักศึกษาความยาวน่าจะคลุมเข่าอยู่ชุดหนึ่ง

“รีบอาบน้ำแล้วลงไปข้างล่าง”

ฉันพยักหน้าหงึก ๆ อย่างไม่ออกเสียงเพราะรู้สึกเกร็งทุกครั้งที่อยู่กับเขาตามลำพัง

“แค่เอาชุดมาให้เหรอ?” พึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาสั่งให้แม่บ้านเอามาให้ก็ได้ แต่นี่ลงทุนเดินจากชั้นสองเอามาให้ฉันที่อยู่ชั้นสี่ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่เคยรู้เหตุผลที่เขาช่วยฉันรวมถึงพาฉันมาที่นี่เลยสักเหตุผลเดียว

พาร่างบอบบางที่หนักเพียงแค่สี่สิบสามเพราะกินไม่ค่อยได้เนื่อง จากแปลกที่ ค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ เดินไปจับชุดนักศึกษาที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะสวมมันมานานมากแล้วแม้จะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ใส่ชุดของประเทศเพื่อนบ้านนี้ก็ตาม

“นี่เรากำลังจะได้เรียนจริง ๆ ใช่ไหม”

รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก

ตอนที่อยู่ที่กว่างโจว ฉันเคยเรียนกับโรงเรียนเล็ก ๆ ที่มีอาจารย์มาเปิดสอนเด็กยากจนให้พออ่านออกเขียนได้ แต่ด้วยความที่ฉันมีพื้นฐานตอนเรียนมัธยมต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วฉันเลยเก่งกว่าเด็กคนอื่น ๆ

ถามว่าฉันมีพื้นฐานได้ยังไงน่ะเหรอ?

เพราะตอนมัธยมต้นฉันยังไม่สูญเสียแม่แท้ ๆ ไปยังไงล่ะ

ท่านเพิ่งมาจากฉันเพราะโรคร้ายตอนฉันอายุสิบเจ็ด และเพียงแค่ปีเดียวที่อยู่กับป้าเหยา พี่สาวแท้ ๆ ของแม่ ชีวิตฉันก็เปลี่ยนจากเด็กไฮโซกลายเป็นยาจกในเวลาไม่ถึงสามเดือน

สาเหตุน่ะเหรอ?

ก็เพราะผีพนันไงล่ะ..!

ป้าเหยาติดพนัน เล่นอย่างหามรุ่งหามค่ำอยู่ในกาสิโนเถื่อน

ตอนแรก ๆ ฉันก็เห็นท่านอารมณ์ดี มีขนมและของฝากติดไม้ติดมือมาให้ฉันกับเจ้หงตลอด แต่ผ่านไปไม่ถึงสองเดือนเต็มด้วยซ้ำ จากเพชรเต็มคอ แก้วแหวนเงินทองเต็มบัญชี ท่านก็เริ่มเข้ามาวุ่นวายที่สมบัติของแม่ฉันที่ทำพินัยกรรมให้ท่านเป็นผู้ดูแลมรดกพวกนั้นจนกว่าฉันจะบรรลุนิติภาวะ

จนอยู่มาวันหนึ่ง มีกลุ่มชายน่ากลัวหลายสิบคนเข้ามายึดบ้านฉันที่เป็นหนึ่งในมรดกที่แม่ทิ้งไว้ให้ ยึดรถยึดโฉนดที่ดิน ทุก ๆ อย่างที่เป็นของ

‘จินฟางหรง’ หรือแม่แท้ ๆ ของฉันเอง

รีบสะบัดหัวไล่อดีตที่ขมขื่นออกไปแล้วกลับมาสู่ปัจจุบัน ฉันต้องรีบไปอาบน้ำเพราะไม่อยากเสียมารยาทให้ผู้ใหญ่รอนาน แต่พอส่องกระจกทีไรหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น ตรงปีกไหล่ด้านหลังฉันมีรอยแผลเป็นยาวประมาณห้าเซนฯ ได้ ที่มาของแผลนี้ก็เกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันได้พบกับคุณเพลิง กัลป์นั่นแหละ

ฉันอยากลบรอยนี้!

แต่ก็อยากเก็บไว้เตือนสติและความทรงจำตัวเองว่าสาเหตุที่แท้ จริงเกิดจากใคร

ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานก็รีบขึ้นลิฟต์ลงมาชั้นล่าง บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ตอนนี้ เห็นคุณเพลิงกัลป์บอกว่ามันคือเพนต์เฮาส์ของเขา

มีทั้งหมดสี่ชั้น...

ชั้นบนสุดมีสามห้อง และหนึ่งในนั้นคือห้องนอนส่วนตัวของฉัน ส่วนชั้นสามทั้งชั้น ฉันไม่เคยได้เหยียบมันเลยเพราะเป็นชั้นส่วนตัวของเขา ถัดลงมาเป็นห้องทำงาน และชั้นสุดท้ายที่ยืนอยู่เป็นห้องนั่งเล่น ห้องออกกำลังกาย ห้องโฮมเธียเตอร์ ห้องครัว แบ่งตามสัดส่วนกันไป

“มาแล้วเหรอ”

ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะทานข้าวขนาดใหญ่ที่ดูอ้างว้างเพราะเรานั่งทานกันแค่สองคน เสียงทุ้มทรงอำนาจของเจ้าบ้านก็ถามขึ้น

“ขอโทษที่ให้รอนานค่ะ”

ไม่รู้ว่าตัวเองอาบน้ำแต่งตัวนานไปไหม แต่ฉันเป็นแค่ผู้อาศัยที่ค่อนไปทางคนแปลกหน้าสมควรจะมาถึงโต๊ะอาหารก่อนเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

“นั่งสิ”

เก้าอี้พนักพิงหลังทรงสูงถูกลูกน้องเขาที่ชื่อ ‘คุณฮาเทชิ’ ลากออกพอประมาณให้ร่างน้อย ๆ ของฉันสอดแทรกเข้าไปนั่งได้สะดวก

“ขอบคุณค่ะ”

รู้สึกเกร็งทุกครั้งที่ทำกิจวัตรประจำวันแบบนี้

“สี่เดือนแล้วยังไม่ชินอีกหรือไง”

ร่างสูงมีสง่าราศีนั่งไขว่ห้างมือข้างหนึ่งจับแก้วกาแฟดำของโปรดขึ้นจิบ ส่วนมืออีกข้างถือแท็บเล็ตเครื่องหรูตลอดเวลาเอ่ยถามขึ้นพร้อมเหลือบมองฉันเล็กน้อย

“ค่ะ” ไม่รู้จะตอบแบบไหนดี เลยได้แต่พยักหน้าและตอบออกไปคำเดียว

สี่เดือนสำหรับการกินอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกคุ้นชินเลย กลับกัน รู้สึกว่ายิ่งอยู่ฉันยิ่งเกร็งและอึดอัดเพราะบ้านหลังนี้หาคนที่ยิ้มและหัวเราะได้ยากมาก

“สุดหล่อมาแล้วครับนาย” เสียงทุ้มอีกเสียงดังขึ้น

ส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่า ร่างกายกำยำ ไถผมเปิดข้าง ทรงฮิตของวัยรุ่นแนว ๆ มาเฟียที่ฉันเคยอ่านในการ์ตูนมังงะ เดินฉีกยิ้มกว้างมาหาผู้เป็นนาย คงมีแค่เขาคนนี้นี่แหละที่มีอารมณ์ขันและคอยสร้างสีสันให้กับบ้านหลังนี้ไม่ให้ดูวังเวงจนเหมือนปราสาทผีดิบ

“อารมณ์ดีอะไรแต่เช้า”

ฉันนั่งฟังเจ้านายกับลูกน้องคุยกันเงียบ ๆ สองมือวางบนตัก เผลอขยำเนื้อผ้าของกระโปรงเล่นบ้างเพราะไม่มีอะไรทำ

“คิดถึงนายไง”

ความทะเล้นของ ‘คุณทัศน์เทพ’ ทำเอาเจ้านายผู้มีดวงตาแสนเย็นชาตวัดมองอย่างไม่เล่นด้วย

“นายอย่าเย็นชานักสิ น้องเขากลัวตัวสั่นไปหมดแล้ว”

จู่ ๆ ก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในบทสนทนา

“ทานสิ ไม่ต้องรอ” คนตัวโตวางท่าภูมิฐานเอ่ยบอกฉัน

ยิ่งเขาไม่ทาน และยิ่งตรงนี้มีคนหลายคนฉันยิ่งไม่กล้าจับช้อน

“พวกมึงออกไปรอข้างนอก” เสียงเข้มเอ่ยบอกลูกน้องคนอื่น ๆ รวมถึงคุณทัศน์เทพและคุณฮาเทชิเองก็ด้วย

“ทานสิ”

เหมือนเขาคอยสังเกตฉันตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่เวลาลอบมองหน้าเขา ฉันไม่เคยเห็นอาการใส่ใจของเขาส่งมาให้เลยสักนิด

“วันนี้มีนัดไปรับยา”

ถ้าเขาไม่พูดขึ้นมาฉันคงลืมไปแล้ว

“ขอบคุณค่ะที่เตือน” ยกมือไหว้อย่างมีมารยาท

ส่วนยาที่ว่าคือยาบำรุงร่างกาย

หลังจากฉันตัดสินใจตามคุณเพลิงกัลป์มาที่นี่เขาก็พาฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าฉันขาดสารอาหารจนต้องทานยาบำรุงจนกว่าน้ำหนักจะขึ้นและร่างกายแข็งแรงดี

“ทัศน์เทพจะเป็นคนพาไป”

“...” คิ้วฉันขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเอ่ยถาม

“คุณเพลิงกัลป์ไม่ไปด้วยเหรอคะ”

ดูเรื่องมากไปไหมนะ เพราะปกติตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ถ้าออกไปข้างนอกจะต้องมีเขาอยู่ด้วยตลอด ถึงแม้นาน ๆ ที จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาก็เถอะ

“ฉันจะพาเธอไปสมัครเรียน เสร็จแล้วต้องไปธุระต่อ”

ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

“ทานเถอะ” เขาบอกฉันอีกครั้ง

ทว่าจู่ ๆ ก็นึกเรื่องสำคัญเรื่องอื่นขึ้นมาได้

“สมัครเรียนต้องมีเอกสารอะไรบ้างคะ”

ฉันเหมือนคนต่างชาติที่ไม่มีอะไรเลยแม้สิ่งที่บ่งบอกตัวตนของตนเอง แบบนี้จะไปสมัครเรียนได้อย่างไรกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel