บท
ตั้งค่า

คลั่งรัก 2

“ไม่ต้องห่วง ฉันเตรียมให้เธอเรียบร้อยแล้ว”

ไม่ว่าเปล่า คนตัวโน้มตัวไปด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าสำหรับใส่เอกสารบาง ๆ วางไว้บนโต๊ะ

“บัตรประจำตัวแสดงความเป็นคนของประเทศนี้ วุฒิการศึกษามัธยมปลาย ใบเกิด ทะเบียนบ้าน เอกสารทุกอย่างที่ใช้สมัครเรียนอยู่ในนั้นครบ”

“...” นั่งฟังแล้วก็ได้แต่ตกใจ

เขาละเอียดมากเลย ว่าแต่...

“ขัติมากร นามฑีธรรม์... นี่ไม่ใช่นามสกุลหนูนี่คะ”

ชื่อน่ะใช่ วันเดือนปีเกิดก็ถูกต้อง ส่วนนี้น่าจะเอามาตอนกรอกประวัติที่โรงพยาบาล แต่นามสกุลนี้ไม่ใช่นามสกุลฉัน

“ต่อไปเธออยู่ในฐานะน้องสาวของทัศน์เทพ”

หมายความว่านามสกุลที่อยู่ในบัตรนี้คือนามสกุลคุณทัศน์เทพสินะ

“แล้วทำไม...”

“เธอไม่กลัวพวกนั้นตามตัวเจอหรือไง”

ราวกับเขารู้ทันว่าฉันจะถามว่าอะไร

แต่ที่เขาพูดมาก็ถูก ถ้าฉันใช้ชื่อจริง นามสกุลจริงที่ทางบ้านฉันรู้ หากเกิดว่าพวกเขาตามตัวฉันอยู่คงหลบหนีได้อีกไม่นานแน่

“ขอบคุณนะคะ” เก็บเอกสารจำเป็นพวกนั้นใส่ไว้ที่เดิมพร้อมยกมือไหว้ผู้มีพระคุณที่ทำเพื่อฉันมากมายหลายอย่าง

“ต่อไปเธอจงใช้ชีวิตใหม่ที่นี่ให้มีความสุขที่สุดก็พอ”

ชีวิตใหม่ที่มีความสุขงั้นเหรอ?

“ฉันอ่านประวัติของจริงเธอจากทางโรงพยาบาลแล้ว นามสกุลเธอเป็นของคนไทยแน่ ๆ ถ้าอยากตามหาญาติฝั่งนี้บอกฉันได้นะ”

“ไม่ค่ะ!” รีบพูดแทรกอย่างเสียมารยาท ก่อนเอ่ยต่อมาในน้ำเสียงปกติ

“หนูไม่มีญาติที่นี่ หนูอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ตัวคนเดียวค่ะ”

ในเมื่อคนที่ฉันเคารพทำร้ายฉันแบบนั้น ฉันก็จะยอมทิ้งตัวตนที่แท้จริงไป อยู่แบบในสิ่งที่คนแปลกหน้าแต่กลับจิตใจดีสร้างให้เป็น

“ถ้าอิ่มแล้วก็ตามมา” คุณเพลิงกัลป์มองฉันเหมือนอยากล้วงหาอะไรบางอย่างในดวงตาคู่สวย แต่ก็แค่แวบเดียวที่เขาทำเหมือนอยากรู้แล้วก็ปล่อยวางไปในที่สุด ฉันมองแผ่นหลังกว้างของเขาเงียบ ๆ ก่อนจะตั้งสัตย์ให้กับตัวเอง

“หนูจะทดแทนบุญคุณคุณเพลิงกัลป์ไปตลอดชีวิต” จากนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ เดินตามเขาไปขึ้นรถที่ติดเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว

คุณเพลิงกัลป์พาฉันมาติดต่อสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่โตและน่าอยู่ เขาเป็นคนจัดการทุกอย่างโดยที่ฉันนั่งฟังเงียบ ๆ และใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวเธอเดินดูอาคารเรียนไปก่อนนะ เสร็จแล้วค่อยให้ทัศน์เทพพาไปรับยาที่โรงพยาบาล”

“คุณเพลิงกัลป์จะไปแล้วเหรอคะ”

ทำไมฉันถึงเป็นคนแบบนี้นะ เหมือนได้คืบจะเอาศอก ยิ่งเขาดีด้วย ฉันยิ่งอยากตัวติดกัน

“ไม่อยากเดินดูที่เรียน?”

สายตาเย็นชามองสบตาฉัน เพียงแค่วูบเดียวที่เผลอประสานตาเขาฉันต้องรีบเบนสายตาหนีไปทางอื่นทันที

“ปะ... เปล่าค่ะ”

เขาอุตส่าห์ให้เรามีโอกาสเรียนแล้วนะ อย่าทำตัวงี่เง่าสิ

“ไอ้เทพ” เสียงทุ้มเรียกลูกน้องเขา

ฉันทำได้แค่ยืนแอบฟังเงียบ ๆ

“ครับนาย”

“เดี๋ยวมึงพาเธอเดินดูรอบ ๆ มหาลัย เอาแค่สถานที่ที่จำเป็นต้องใช้ประจำพอ”

“นายไม่ให้ผมไปด้วยเหรอ”

“งานนี้ไอ้เทชิเหมาะกว่า มึงพูดมาก เดี๋ยวลูกค้าจะรำคาญเอา”

“โธ่นาย งานที่มีสาว ๆ สวย ๆ ต้องเป็นคนอื่นตลอด”

“ก็สันดานมึงแบบนี้ไง เดี๋ยวงานใหญ่กูเสีย ส่วนเธอ... ถ้าอยากรู้จุดไหนก็บอกไอ้เทพมันแล้วกัน”

“...”

“นี่! ได้ยินที่ฉันพูดไหม?”

“...”

“จินฟางเซียน”

“อะ! คะ?”

“เหม่ออะไรอยู่น่ะ นายเรียกตั้งนาน”

ฉันมองคุณทัศน์เทพงง ๆ ก่อนจะหันไปสบตาคนที่เขาบอกว่าเรียกฉันนานแล้ว

“คุณเพลิงกัลป์เรียกหนูเหรอคะ” มันไม่ได้ยินจริง ๆ

ตั้งแต่ที่ลูกน้องเขาบอกว่าธุระที่เขาจะไปมีแต่ผู้หญิงสาว ๆ สวย ๆ มันก็ทำให้ฉันกลัวจนเผลอคิดถึงแก๊งคนชั่วพวกนั้น

“เหม่ออะไร”

“ขอโทษค่ะ” ฉันจะบอกเขาไม่ได้ว่าวูบหนึ่งเผลอคิดว่าเขาคือคนไม่ดีเหมือนพวกที่ฉันหนีตายมา

“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปเถอะ”

เขาบอกเสร็จก็เดินกลับไปขึ้นรถลีมูซีนสีดำมะเมี่ยมคันหรู ฉันยืนมองท้ายรถคันนั้นขับออกไปจนลับตา

“ไปเถอะครับ คุณฟางเซียนอยากดูจุดไหนก่อนไหมครับ”

“...”

“งั้นเอาเป็นตึกบัญชีแล้วกันเพราะคงได้ใช้บ่อยสุด”

อาจจะเพราะฉันไม่ตอบคำถาม คุณทัศน์เทพเลยตัดสินใจเอง

ส่วนตึกบัญชีที่เขาพูดถึง คือสาขาที่คุณเพลิงกัลป์เลือกให้ฉัน ตอนแรกเขาก็ให้ฉันเลือกเองแหละ แต่เพราะฉันเองก็ไม่ได้สนใจวิชาชีพไหนอยู่แล้ว เขาเลยเสนอบัญชีธุรกิจให้ฉัน เพราะเขาบอกว่าเรียนสาขานี้จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเขาในภายภาคหน้า

ซึ่งจนตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าผู้มีพระคุณทำอาชีพอะไร รู้แค่ว่าเขารวยมาก มีรถหรูมากกว่าสิบคัน มีบ้านหลังใหญ่ราวปราสาท มีบอดี้การ์ดคอยดูแลทั้งที่เพนต์เฮาส์และติดสอยหอยตามเขาเป็นพรวนนั่นอีก แอบคิดเหมือนกันนะว่าเขาเป็นมาเฟียหรือเปล่า ฉันเห็นในหนังเจ้าพ่อบ่อย ๆ น่ะ

“เชิญทางนี้ครับคุณฟางเซียน”

“อย่าเรียกหนูว่า ‘คุณ’ เลยนะคะ”

รีบโบกมือส่ายหน้าห้ามอีกคนที่ผายมือเชิญให้ฉันเดินนำหน้าอย่างมีมารยาท ที่ฉันเรียกพวกเขาว่า ‘คุณ’ เพราะนับถือ แต่ถ้าพวกเขาเรียกฉันกลับด้วยสรรพนามเดียวกันกับคนที่อายุน้อยกว่ามากมันรู้สึกอึดอัด

“แต่นายสั่งให้พวกเราเรียกคุณฟางเซียนแบบนั้น”

ยิ่งได้ยินว่าใครสั่งฉันยิ่งรู้สึกลำบากใจ สี่เดือนที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้พูดคุยกันมาก ฉันเลยยังรับไหว แต่ตอนนี้ต้องพูดอะไรบ้างแล้ว

“งั้นเอาแบบนี้ดีไหมคะ ถ้าต่อหน้าคุณเพลิงกัลป์ ก็เรียกหนูตามที่เขาสั่ง แต่ถ้าอยู่กันลำพังให้เรียกหนูแค่ฟางเซียนก็พอ” ลุ้นในคำตอบของอีกคนที่อะไรที่เป็นคำสั่งผู้เป็นนายเขาจะเคร่งครัดมาก

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ เพราะตอนนี้คุณ ไม่สิ ฟางเซียนใช้นามสกุลผมอยู่ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินสรรพนามแปลก ๆ แบบนั้นจะสงสัยเอา”

ดีจังที่เขาคุยง่าย

“งั้นไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถ้าอยู่ลำพังฟางเซียนเรียกผมว่าเฮียเทพแล้วกัน จะได้เหมือนเป็นพี่น้องกันจริง ๆ”

ฉันพยักหน้าตกลงก่อนจะลองเรียกคนตรงหน้าดู

“ค่ะ เฮียเทพ”

“ในที่สุดก็เห็นรอยยิ้มสักที”

รอยยิ้ม?

“เมื่อกี้หนูยิ้มเหรอคะ”

“ไม่แน่ใจ คิดว่ายิ้มนะ”

อะไรของเขา ตกลงฉันยิ้มหรือไม่ยิ้มกันแน่ แต่ที่ฟันธงได้คือ... ฉันไม่รู้จักหน้าตาของรอยยิ้มที่เขาพูดมาเป็นปีแล้วล่ะ

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเฮียเทพจะพาไปทัวร์มหาลัยเก่านายกัน”

“คุณเพลิงกัลป์เคยเรียนที่นี่ด้วยเหรอคะ”

“อืม น่าจะสิบกว่าปีแล้วล่ะ”

สิบกว่าปี?

นี่เขาอายุห่างฉันกี่ปีกันนะ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel