EPISODE - 01 / 2
“สวัสดีค่ะ”
ฉันเดินเข้าไปที่ห้องกระจกใสนั้นพร้อมทักทายอย่างมีมารยาท พนักงานที่อยู่ในนั้นเงยหน้ามองฉันด้วยสายตาที่แบบจ้องหัวจดเท้าดูไร้มารยาทหน่อย ๆ แต่สุดท้ายเธอก็ยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบติดต่อเรื่องอะไรคะ”
ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับพนักงานที่นี่แล้วนะ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็ดูไม่รู้เรื่องการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ส่วนพนักงานที่มีตำแหน่งติดไว้ว่า ‘เลขานุการ’ กลับถามฉันด้วยคำถามแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่ด้านล่างให้ฉันขึ้นมาสัมภาษณ์งานที่ชั้นนี้ อย่างน้อยคำถามแรกของเธอน่าจะถามฉันว่า ‘มาสัมภาษณ์งานหรือเปล่าคะ’ มากกว่า
“ดิฉันลิ... ดิฉันเกศวรินทร์ ที่มีนัดสัมภาษณ์งานที่นี่วันนี้ค่ะ”
เกือบหลุดชื่อตัวเองไปแล้วสิยัยลิลลี่เอ๊ย!
“อ้อ คุณเกศวรินทร์ที่ทางเราโทร.ไปให้มาสัมภาษณ์งานนะคะ รบกวนเชิญนั่งรอที่ห้องซ้ายมือได้เลยค่ะ” ดีหน่อยที่อย่างน้อยเธอคนนี้ก็ดูเป็นงานกว่าคนที่ฉันเพิ่งเจอมา
“ขอบคุณค่ะ” หันหลังเดินกลับมานั่งรอที่ห้องซ้ายมือตามที่อีกคนแนะนำ ก็แอบสงสัยอยู่นะว่าคนที่จะมาสัมภาษณ์งานจะอยู่ระดับไหนในเมื่อบริษัทนี้เป็นถึงบริษัทจิวเวลรี่เพชรพลอยเชียวนะ คงไม่ให้พนักงานธรรมดา ๆ มาสัมภาษณ์คนนอกหรอก
ใช่ไหม?
นั่งรอเกือบสิบนาทีจนรู้สึกเบื่อ ๆ เลยแอบหยิบมือถือขึ้นมาไถดูโลกโซเชียลหน่อย พอเห็นยัยเพื่อนเกวโพสต์รูปอาหารสุดหรูที่อยู่บนเรือสำราญแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้
มือรีบพิมพ์ยิก ๆ เหน็บนางเบา ๆ
‘มีความสุขจริงนะ ขอให้กุ้งติดคอ’
เพียงไม่นานนางก็ตอบใต้คอมเมนต์ฉันเพียงแค่สติกเกอร์ขยิบตาข้างหนึ่งมาให้
เออ! ไม่รู้ร้อนรู้หนาวนักใช่ไหม เดี๋ยวแม่จะให้สัมภาษณ์แบบมั่ว ๆ จนไม่ได้งานเลย
แอ๊ด...
เสียงประตูเปิดเข้ามาพอดีฉันรีบเก็บมือถือแทบไม่ทันเพราะนี่เป็นการเสียมารยาทอย่างใหญ่หลวงเวลามาสัมภาษณ์งาน
เงาตะคุ่ม ๆ พาดผ่านตัวฉันจนปรากฏเป็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มสวมแว่นสายตาสวมสูทสีกรมท่าท่าทางดูดี แต่ไม่น่าจะใช่ประธานบริษัทเพราะที่เสื้อเขามีป้ายชื่อติดอยู่ที่อกขวา
“ขอโทษที่ทำให้รอนานนะครับคุณเกศวรินทร์”
ได้แต่ตอบกลับตามมารยาทว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” ทั้ง ๆ ที่ในใจคือด่าเขาไปนานแล้ว
“ผมชื่อโชควิรัตน์ จะเป็นคนสัมภาษณ์งานคุณในวันนี้”
“ค่ะ”
แล้วตำแหน่งอะไรก็ไม่บอกด้วยนะ แต่ช่างเถอะ นี่มันงานยัยเกวไม่ใช่งานฉันสักหน่อย
“จากที่ผมดูโพรไฟล์ที่ทางคุณให้ไว้แล้วถือว่าผ่านเกณฑ์แล้วห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
โห... เพื่อนฉันเลิศมาก
แต่ก็อย่างว่า ยัยเกวเป็นคนเรียนเก่งแต่ไหนแต่ไรแล้วเกียรตินิยมอันดับหนึ่งก็เกือบจะเป็นของนางถ้าไม่ติดที่ว่าปีสุดท้ายนางเกเรเพราะฉันละนะ
“ขอบคุณค่ะ”
“นี่คือสัญญาว่าจ้าง เชิญคุณเกศวรินทร์อ่านรายละเอียดดูได้เลยครับ”
สัญญาว่าจ้าง!?
นี่หมายความว่าเขารับยัยเกวเข้าทำงานแล้วงั้นเหรอ?
“อ้อ ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจครับ พอดีงานนี้มีคนมาสมัครทั้งหมดสิบคน และมีเพียงคุณที่โพรไฟล์ผ่านทุกอย่างตามที่ผมบอกเมื่อครู่ เพราะฉะนั้นสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณว่ายินดีจะร่วมงานกับบริษัทนี้หรือเปล่าและอีกสี่สิบเปอร์เซ็นต์ท่านประธานจะเป็นผู้พิจารณาอีกที แต่ผมกล้าพูดได้เลยว่า เกณฑ์ที่เราจะได้ร่วมงานกันมีสูงครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันทำเพียงแค่ยิ้มตอบรับไม่ได้ดีใจเท่าไรเพราะคนที่เขาพูดหมายถึงยัยเกว จากนั้นจึงหยิบเอกสารที่ว่าขึ้นมาอ่านรายละเอียดคร่าว ๆ
เป็นงานที่ค่าตอบแทนค่อนข้างดีมากทีเดียว แถมสวัสดิการต่าง ๆ คืออู้ฟู่มาก ใครได้งานที่นี่เหมือนเป็นเครือญาติกับคนถูกรางวัลที่หนึ่ง จะต่างก็แค่ใช้แรงและสมองแลกเงินไม่เหมือนคนถูกรางวัลที่หนึ่งที่โชคดีได้ลาภโดยไม่ต้องออกแรง
“ในนี้ไม่ระบุเวลาการทดลองงานเหรอคะ?”
“ใช่ครับเพราะเรารับเพียงพนักงานประจำเท่านั้น”
อา... ไม่มีการทดลองงานก่อนด้วย
นี่คงมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองมากสินะ
“ฉัน...”
ยัยเกวไม่ได้บอกด้วยสิว่าให้รับงานไปเลย แต่ถ้านางให้ฉันมาสัมภาษณ์ก็แสดงว่านางต้องอยากทำแหละเนอะ
“ถ้าหากคุณยินดีร่วมงาน รบกวนลงชื่อที่กระดาษทั้งสามแผ่นได้เลยนะคะ ขอเป็นลายเซ็นด้วยนะครับ”
ลายเซ็น?
ทำยังไงดี ฉันเลียนแบบลายเซ็นยัยเกวไม่เป็นด้วยสิ แต่ช่างเถอะ หวังว่าพวกเขาคงไม่จับผิดเรื่องนี้หรอกมั้ง
มือเรียวสวยรีบหยิบปากกาที่วางไว้ให้พร้อมสรรพขึ้นมาจรดปลายปากกาลงบนกระดาษ ใส่ชื่อนามสกุลยัยเพื่อนรักลงไปพร้อมลายเซ็นของตัวเอง
แย่แล้ว! เผลอใส่ลายเซ็นตัวเองลงไปเพราะความคุ้นชินเสียอย่างนั้น แต่คงไม่เป็นไรเนอะ อย่าได้จับผิดเอาไปเทียบกับเอกสารเก่า ๆ ที่เพื่อนฉันเคยเขียนเลย
“ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและเป็นความโชคดีของทางเราที่จะได้เพื่อนร่วมงานมีคุณภาพเพิ่มขึ้นมาอีกคน รอฟังข่าวดีที่เราจะส่งให้ทางอีเมลและรอรับจดหมายได้เลยครับ”
“ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาส” เพื่อนฉัน... ต่อในใจ
“แล้วพบกันครับ”
นี่คือจบสัมภาษณ์แล้วสินะ อะไรมันจะราบรื่นปานนี้ สงสัยยัยเกวจะมีดวงกับบริษัทนี้ละมั้ง
“ว่าไงยะ”
แหม! เหมือนมีตาทิพย์เลยนะ พอฉันออกจากห้องสัมภาษณ์ก็โทร.หาทันที
[สัมภาษณ์เป็นไงบ้างแก] เสียงระริกระรี้เชียวนะ
“ก็ดี”
[ก็ดีคือ?]
“แกรอฟังข่าวดีได้เลย”
[รักแกอะ เดี๋ยวคืนนี้พาไปเลี้ยงขอบคุณ]
ใช้งานเสร็จก็ตบรางวัลด้วยการใช้เงินสินะ
“ฉันเลือกร้าน”
[ไม่ ๆ ฉันมีร้านใหม่นำเหนอ]
คิ้วเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ
[คืนนี้เจอกันที่คอนโดฉันตอนหนึ่งทุ่ม เคนะ!]
กะจะไม่บอกรายละเอียดอะไรเลยสินะ
“ตามนั้น” กดวางสายเพื่อนเสร็จก็ลงลิฟต์เพื่อกลับห้องพักตัวเอง ครั้งเดียวละนะกับการมาเยือนบริษัทนี้