คู่หมั้นผม - 2
ก๊อกๆ
เมื่อขึ้นมายังชั้นสองของบ้านเรียบร้อย ฉันก็ไม่อิดออดรีบตรงไปยังห้องทำงานป๊าที่อยู่ริมระเบียงซ้ายมือทันที อยากคุยเรื่องนั้นให้มันจบๆ ไป ฉันเริ่มชักจะอยากรู้ผลลัพธ์ของเกมที่ฉันสร้างขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้วสิ
“เข้ามา” เสียงทุ้มอันทรงอำนาจเอ่ยบอก ฉันยกมือจับลูกบิดประตูเปิดเข้าไปด้านในทันที และสิ่งที่ฉันเห็นทำให้ชะงักเท้าค้างไว้ที่หน้าประตูทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ก้าวเท้าเฉียดเข้าไปในห้องเลยสักก้าว
‘มาตอนไหน ทำไมฉันไม่เห็นรถเขา’ ฉันถามตัวเองในใจ
พลางนึกขึ้นมาได้ตอนที่รีบเดินเข้ามาในตัวบ้านฉันไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด คงไม่แปลกที่ฉันจะไม่เห็นรถของแขก(ไม่)ได้รับเชิญตรงหน้า
“เข้ามาสิ พี่เขามารอเรานานแล้ว” เสียงทุ้มที่ติดยานหน่อยๆ ตามอายุที่เข้าเลขห้ากลางๆ เอ่ยบอกฉันเสียงติดไม่พอใจที่ฉันมัวแต่ยืนเสียมารยาท
ฉันตั้งสติเมื่อตัวเองทำตัวเสียมารยาทจริงๆ สะบัดหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“ป๊ามีอะไรจะให้ยีนส์ทำเหรอคะ” ถามทั้งๆ ที่ฉันรู้ดีว่าที่มาวันนี้เพราะอะไร
“ทำไมเป็นเด็กไม่มีมารยาทแบบนี้นะเรา ไม่ไหว้พี่เขาสักนิด ทักทายสักคำก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ห่างบ้านมารยาทเลยหายไ...ป”
“สวัสดีค่ะ” ฉันขี้เกียจฟังป๊าบ่นยืดยาวเลยรีบยกมือไหว้ทั้งป๊าและผู้ชายผมดำตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างฉันอีกที เขาทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากให้ฉันเท่านั้น นัตย์ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นฉายแววโหยหาส่งมาให้ฉันบางๆ
‘หึ!’ ฉันเผลอหัวเราะพอใจกับสิ่งที่เห็นในใจคนเดียว
สายตาที่เคยโหยหาและคิดถึงฉันเมื่อครั้งก่อนเป็นแบบไหน ในวันนี้ที่ผ่านมาเป็นปีเขายังคงมองฉันแบบนั้น แสดงว่าเกมที่ฉันพนันไว้มีโอกาสชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“นี่ของๆ เราป๊าคืนให้” หลังจากภายในห้องเงียบไปราวสองนาที ป๊าก็เลื่อนกล่องกำมะหยี่สีแดงสดมาตรงหน้าฉัน เพียงแค่เห็นฉันก็คิดถึงมันจับใจ เพราะสิ่งนั้นฉันฝากมันไว้กับท่านเองกับมือ ด้วยเหตุผลที่ว่า
‘ยีนส์ขอฝากของสำคัญกับป๊าทีนะคะ ถ้าวันหนึ่งเจ้าของสิ่งนี้มาหาป๊าและขอมันคืนป๊าช่วยส่งมันให้เขาที’
‘แต่ถ้าเขาต้องการจะสวมมันกับนิ้วนางข้างซ้ายยีนส์อีกครั้ง ป๊าก็แค่เรียกยีนส์มาเผชิญหน้ากับเขาแค่นั้นพอ’
และนั่นแหละคือสิ่งที่ฉันบอกป๊าไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ในวันนี้ฉันก็ลุ้นคำตอบว่ามันจะเป็นอย่างไหนกันแน่ ระหว่าง เขาจะมาเอามัน ‘คืน’ หรือ ‘สวม’ มันกลับสู่นิ้วมือของฉัน
“งั้นก็คุยกันตามสบายแล้วกันนะ เรื่องนี้ป๊าจะไม่ยุ่ง แค่ปิดบังไม่ให้ฝั่งนั้นรู้เรื่องมาเป็นปี นรกก็จะกินหัวคนแก่อย่างป๊าแล้ว” ป๊าพูดจบก็เดินออกจากห้องทำงานไป
แต่ก่อนที่ท่านจะได้เดินแม้แต่ก้าวเดียว ‘เขา’ ที่เงียบมานานกลับเอ่ยขึ้น
“คุณอาไม่ต้องไปหรอกครับ เดี๋ยวผมกับยีนส์ไปคุยกันสวนหลังบ้านดีกว่า” ไม่ว่าเปล่าเขากลับคว้าข้อมือฉันฉุดให้ลุกขึ้นพร้อมกับกระชากแรงเล็กน้อยให้ฉันเดินตาม ถามว่ายอมมั้ย? ก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องขัดขืน
“พร้อมจะเล่าหรือยัง” เมื่อพวกเราสองคนมาถึงสวนหย่อมหลังบ้าน ที่มีสระเล็กๆ ไว้เลี้ยงปลาคราฟหลากสีหลายสิบตัว บนพื้นดินล้อมรอบไปด้วยดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่นหอมฟุ้ง คนที่ทำหน้าที่ลากฉันออกจากห้องทำงานป๊ามาก็เอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ยอมปล่อยมือ
“เรื่องไหนเหรอ?” ฉันเลิกคิ้วถามเจ้าของคำถามหน้าตาย
“ฉันรอมาหนึ่งปี เธอน่าจะรู้ว่าเรื่องอะไร”
ฉันร้อง ‘อ้อ!’ ในใจ พร้อมกับเลิกคิ้วทำท่าทางกวนๆ คนที่มองฉันอยู่ตลอดเวลารีบทำหน้าหงิดหงุดถอนหายใจยาวๆ สองสามที
“แล้วรอทำไม ฉันก็ไม่ได้บอกให้รอสักหน่อย”
“คิดว่ามีกี่เหตุผลกันล่ะที่ทำให้เฮียรอนานขนาดนี้” คำพูดของเขาทำให้ฉันรีบอ้าปากค้างด้วยความจุก ไม่คิดว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกมา
‘การ์เซีย’ อดีตคู่หมั้นที่อายุเยอะกว่าฉันแค่สองปี คนที่ภายนอกดูนิ่งขรึม มีออร่าดุและน่ากลัวไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดคำว่า ‘รอ’ ได้อย่างใจเย็น
“หนึ่งปีก่อนเธอก็ไม่เคยบอกอะไรเฮียเลย นอกจากให้รอ” การ์เซียยังคงพูดราวกับน้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่ฉันหักหน้าเขาเมื่อครั้งเก่า
ฉันจำได้ว่าวันนั้นเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังจากที่ฉันตกลงเล่นเกมสนุกๆ กับ ‘เธอ’ เสร็จ ฉันก็รีบตรงดิ่งไปขอถอนหมั้นการ์เซียทันที ตอนนั้นฉันอายุยี่สิบพอดี การ์เซียราวกับคนสติหลุดลอย เขาไม่พูดไม่จาอะไรกับฉันสักอย่างในตอนนั้น ไม่รั้ง ไม่ถามถึงสาเหตุ
อ้อ! ไม่ใช่ไม่ถามสิ หลังจากเขาตั้งสติได้เขาก็ถามฉันอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่เพิ่งได้ยินประโยคปัจจุบันที่การ์เซียถามฉันนั่นแหละ เขาก็ยังไม่เคยรับรู้อยู่ดีสาเหตุที่ฉันบอกเลิกเขาเมื่อหนึ่งปีก่อน
“แล้วรอมั้ยล่ะ? รอทำไม ยีนส์ขอถามก่อนแล้วกัน” ฉันยืนกอดอกจ้องหน้าการ์เซียเพื่อค้นหาคำตอบจากนัยต์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ฉันหลงใหล
“ไม่รู้ รู้แค่ว่าต้องรอ” เป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินดีนะ แต่ฉันชอบ เพราะมันบ่งบอกว่านั่นคือการ์เซีย ขวานผ่าซากบ้างในบางครั้ง พูดน้อยแต่ถ้าให้พูดทีคือมีเหตุผล
“งั้นถ้ายีนส์จะไม่บอกคงไม่เป็น อ๊ะ!” ฉันยังบอกว่า คงไม่เป็นอะไร ก็ยังพูดไม่จบดี เมื่อการ์เซียกระตุกต้นแขนฉันให้เข้าไปใกล้ร่างหนาของเขาแบบกะทันหัน
“ฉันทนได้ถึงหนึ่งปีใช่ว่าจะทนได้ตลอด ความอดทนคนเรามีขีดจำกัดนะ หนูยีนส์” คำเรียกที่คุ้นหูถูกเอ่ยออกมาจากปากการ์เซียอีกครั้ง ‘หนูยีนส์’ เป็นคำที่การ์เซียชอบเรียกฉันตั้งแต่เราเริ่มหมั้นกันตอนอายุสิบแปด
“เลิกเรียกฉันแบบนั้น ขอร้อง” ตอนอายุสิบแปดฉันยังพอรับได้ แต่นี่จะยี่สิบสองอีกไม่กี่เดือนอยู่รอมร่อ จะมาให้ทนฟังคำว่า ‘หนูยีนส์’ จากปากผู้ชายดิบๆ ห่ามๆ แบบเขาเนี่ยนะ ฉันรับไม่ได้จริงๆ
“ทำไม? อายเหรอ” คิดว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหนตอนพูดประโยคนี้
‘ยิ้ม?’ ผิดแล้วล่ะ การ์เซียคือมนุษย์หน้าตายที่มีหน้าเดียวคือ ดุ หน้านิ่ง และคำถามก่อนหน้าที่เหมือนจะล้อฉันก็ หน้านิ่งมาก แต่แววตากลับยิ้ม
“อีกไม่กี่เดือนยีนส์จะยี่สิบสองแล้ว เลิกเรียก...”
“ถึงยังไงเธอก็เด็กในสายตาเฮีย” การ์เซียร์พูดแทรกฉันตอนที่กำลังจะห้ามไม่ให้เขาเรียกฉันแบบนั้นอีก แต่คำพูดของเขากลับทำให้หัวใจฉันเต้นแรง
ใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนาได้รูป จมูกโด่งรั้นคล้ายคนเอาแต่ใจ ริมฝีปากหนาติดคล้ำ เพราะการ์เซียเป็นคนติดบุหรี่มาตั้งแต่เราหมั้นกัน ทุกอย่างที่เป็นการ์เซียยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แม้จะไม่ได้เจอหน้าเขามาแรมปี แต่เมื่อเห็นเขาอีกครั้งฉันก็ลืมความรู้สึกที่กดไว้ลึกๆ ไม่ลง
“เฮียบอกยีนส์ก่อนสิ จะ ‘เอาคืน’ หรือ ‘ให้’ ยีนส์ไว้” ฉันดันแผงอกแกร่งการ์เซียไว้เพื่อไม่ให้พื้นที่เราหดลงมากไปกว่านี้
“ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ‘มัน’ ไม่เคยเป็นของคนอื่น” ฉันจ้องตาคมกริบสีน้ำตาลเข้ม แม้เข้าใจคำว่า ‘มัน’ ของเขาดีแต่ฉันไม่อยากเข้าข้างตัวเอง วันเวลาเปลี่ยน คนเราอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ใครจะไปรู้
“เฮียหมายถึงอะไร ยีนส์ไม่เข้าใจ” ฉันเบือนหน้าไปทางอื่น ในใจเต้นลุ้นแทบจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอกเพื่อรอฟังคำตอบเขา
หมับ! การ์เซียเอื้อมมือจับมือขวาฉันขึ้นวางทาบไว้บนอกข้างซ้ายของเขา
“ฟังเอง มันเรียกชื่อใคร” ให้ตายสิ! มือที่ไหนมีหูไม่ทราบ ถ้าจะให้ฟังเขาต้องใช้หูหรือไม่ก็ใจฟังเท่านั้นเถอะ!
“หัวใจเฮียยังเป็นของหนูยีนส์คนเดียว”
ชัดเลย! ตอนนี้ได้ยินชัดเลย ไม่ใช่ว่ามือฉันได้ยินนะ แต่ได้ยินเต็มๆ หูข้างซ้ายเลยล่ะ เมื่อการ์เซียก้มลงมากระซิบเบาๆ ที่หูฉัน ทั้งๆ ที่มือเขาที่จับมือฉันแนบอกยังไม่ปล่อยเลยสักนิด แบบนี้ร่างกายเรายิ่งแนบชิดกันเข้าไปใหญ่น่ะสิ