คู่หมั้นผม - 1
Intro
ภายในสวนสุขภาพแห่งหนึ่ง บนม้านั่งไม้ตัวยาววางหันหลังชนกันสองตัวบนนั้นมีร่างบางของหญิงสาวสองคนนั่งหันหลังเยื้องกันอยู่คนละด้าน
"ชอบมากเหรอผู้ชายคนนั้น" เสียงหวานติดประชดของหญิงสาวหุ่นเพรียวผมน้ำตาลเข้มถามอีกคนขึ้น
"ให้ได้ไหมล่ะ" เสียงเล็กของอีกคนถามกลับระคนสนุกที่ได้เอ่ยคำนั้น
"เหอะ" คนถูกถามถึงกลับกลั้วหัวเราะออกมาคล้ายตลกกับประโยคคำขอที่ไม่มีแม้ความเกรงใจ
"ได้สิ ฉันใจกว้าง" คนที่รอฟังคำตอบถึงกับฉีกยิ้มตัวสั่นระริก
"แต่มีข้อแม้..." ความดีใจถูกตัดฉับเมื่ออีกคนพูดออกมาเสียงแข็ง
"ถ้าในหนึ่งปีร่างกายเธอมีรอยสักจากฝีมือเขา" เธอเว้นช่วงไว้เพื่อสูดหายใจพร้อมเอ่ยต่อ
"และครอบครองหัวใจเขาได้ ฉันจะยกเขาให้โดยไม่มีข้อแม้อะไรเลย" คนพูดถึงกับฉีกยิ้มเยาะ
เธอรู้ดี การพนันกับหัวใจคนๆ นั้นเธอต้องชนะ เพราะทั้งหัวใจเขาคนนั้นมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น
แต่ครั้นจะพูดออกไปตรงๆ ก็เหมือนกับไม่ให้เกียติอีกฝ่ายที่ยอมดราหน้ามาขอเขาซึ่งๆ หน้า เธอเลยอยากขอเล่นเกมหัวใจลองดูสักครั้ง
บางทีสิ่งที่เธอกำลังพิสูจน์อาจจะนำพามาซึ่งความผิดหวังที่เจ็บปวด
แต่แล้วใครสนล่ะ!
เพราะถ้าออกมาในรูปแบบที่เธอมั่นใจเธอก็คุ้มค่าที่รอเขาไม่ใช่หรือ
"หนึ่งปี! ฉันจะรอวันที่เธอพ่ายแพ้"
หญิงสาวผู้ถูกท้าพูดไว้เพียงเท่านั้น ลุกขึ้นยืนเดินออกไปจากสวนสาธารณะแห่งนี้ทันที
"อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ... คู่หมั้นที่รัก!"
เห้อออ~ ฟู่~
ฉันหันไปมองเสียงถอนหายใจและหน้าหงิกหงอของใครบางคน พร้อมส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะพูดกับเจ้าของเสียงถอนหายใจนั้น “เป็นเอามากนะเพลย์น้อย”
เพลย์น้อยที่ฉันเรียกจริงๆ แล้วเธอชื่อ ‘เพลย์เยอร์’ เพื่อนสนิทฉันตั้งแต่อายุสิบเก้า จนตอนนี้เราคบกันมาเกือบสามปี
“ฉันจะทำยังไงดียีนส์” เสียงเพลย์ถามฉันอีกครั้งเมื่อฉันไม่สนใจเธอ
‘ยีนส์’ ที่เพลย์เรียกคือชื่อฉันเองแหละ ยลดา เลิศบริวานนท์ สาวสวยลูกสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัทนำเข้าอะไหล่รถยนต์เจ้าใหญ่อันดับสามของประเทศ
ฉันเรียนปีสอง มหา’ลัย RNN university คณะนิเทศศาตร์ สาขาวิชาการโฆษณา อายุยี่สิบสองซึ่งเป็นพี่ของเพลย์เยอร์หนึ่งปี แต่เรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกเพลย์เลยว่าตัวเองแก่กว่า เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าให้เจาะลึกจริงมั้ย?
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมฉันเพิ่งเรียนปีสองน่ะเหรอ? สืบเนื่องมาจากตอนปีหนึ่งเทอมสองมีเหตุให้ต้องดรอปเรียนไว้ก่อนไงล่ะ ส่วนสาเหตุที่ดรอป? ปล่อยผ่านไปเหอะ ยังไม่อยากเล่าตอนนี้
“ยีนส์จ๋า ยีนส์คนสวย น้องเพลย์จะทำไงดีอ่า~” นี่แหละเพื่อนรักฉัน
นิสัยเพลย์ค่อนข้างเด็ก แถมยังชอบคิดอะไรแบบที่คนอื่นเขาไม่ค่อยคิดกัน ต่างจากฉันที่เป็นผู้หญิงค่อนข้างติดห้าว ไม่ค่อยเรียบร้อย ปากจัดเพราะเป็นคนพูดตรงๆ ออกแนวแมนๆ ก็ว่าได้ ติดอย่างเดียวคือ ฉันยังใส่กระโปรงอยู่ ไม่งั้น ผู้ชายชัดๆ
“เออๆ พอเลย แกก็แค่ไปลบกระทู้ออกก็จบป้ะ” ด้วยความรำคาญที่เพลย์เอาหน้ามาไถๆ ถูๆ แถวคอฉันบ้างหล่ะ ไหล่ฉันบ้างล่ะ เลยแสดงความคิดเห็นออกไป
และปฏิกิริยาตอบกลับของเพื่อนรักก็ทำให้ฉันเบ้ปากกรอกตามองบนยิ่งกว่าเดิม ดื้อกว่าเพลย์น้อยก็คงไม่มีใครแล้วล่ะ ทำตัวเองแท้ๆ แล้วมานั่งเสียหงุดหงิดทีหลัง
ฉันเลิกสนใจเพลย์เพราะโทรศัพท์ที่กำลังกดเล่นเกมส์อยู่สั่นเตือนว่ามีคนไลน์เข้ามา
เมื่อกี้ลืมมองด้วยว่าเป็นใครส่งมา เลยต้องรีบออกจากเกมส์ยิงไข่แล้วเข้าแอพฯ ไลน์เพื่อดูข้อความนั้น
ป้ะป๋า : อาทิตย์นี้มีเรียนถึงวันไหน
ป้ะป๋า : ป๊าอยากให้เรากลับมาเคลียร์เรื่องที่คาราคาซังให้จบ
หลังจากอ่านข้อความที่ส่งมาจบ จากตอนแรกที่หมั่นไส้เพลย์น้อยกลับกลายเป็นอารมณ์บูดขึ้นมาทันที เรื่องคาราคาซังเมื่อปีก่อนน่ะเหรอ ‘ถึงเวลาแล้วสินะ’ ฉันหัวเราะหยันในใจ ยังไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบผู้เป็นพ่อกลับ เสียงโทรศัพท์เพลย์ก็ดังขึ้น ฉันเหลือบตามองเธอเล็กน้อย อันที่จริงคืออยากเผือกให้ลืมเรื่องข้อความตัวเองมากกว่า
“ทำไมต้องโทรถามยีนส์ด้วยคะ?” ฉันเหลือบตามองเพลย์เมื่อเธอหลุดชื่อฉันออกมาพร้อมกับมองค้อนให้ฉันด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็ร้อง ‘อ๋อ’ ขึ้นมาในใจกับประโยคนั้น
คนปลายสายน่าจะบอกเพลย์เรื่องที่โทรหาฉันก่อนหน้าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนสินะ ฉันเองก็ลืมบอกเพลย์ไปเลยว่าแม่เล็กของเธอโทรมาถามตารางเรียนของพวกเรา
หลังจากเลิกสนใจเพลย์คุยโทรศัพท์ฉันก็กดพิมพ์ข้อความตอบกลับป๊าไปว่าเดี๋ยวจะเข้าไปเคลียร์เรื่องที่ว่าให้มันจบๆ ไปวันนี้เลย
พวกเราใช้เวลานั่งรถของที่บ้านเพลย์ที่มารับหน้าคอนโด GS2K มาประมาณเกือบสี่ชั่วโมงเพราะการจราจรคับคั่งแถมยังติดแทบทุกๆ สิบนาทีที่รถเคลื่อนตัว เพลย์มาส่งฉันที่หน้าบ้านก่อน เพราะพวกเราถูกสั่งห้ามไม่ให้ขับน้องนินจา Kawasaki ZX10R มอเตอร์ไซค์สีเขียวใบตองลูกรักของฉันมาด้วยเหตุผลที่ว่า ‘มันดึกแล้วและระยะทางไกลเกิน’
“ขอบใจนะที่มาส่ง” หลังจากลงจากรถเสร็จฉันก็โบกมือหยอยๆ ให้เพลย์ที่นั่งยิ้มรับคำขอบคุณ ยืนรอจนตัวรถหรูเคลื่อนตัวไปจนสุดสายตาก่อนที่จะลอบถอนหายใจ
ฟู่~ ฉันเป่าลมออกจากปาก จ้องมองประตูใบใหญ่สีน้ำตาลที่ปกปิดไม่ให้คนนอกมองเห็นตัวบ้านหลังใหญ่โตด้านใน ‘บ้านที่ฉันเกิดและโต’ แต่ฉันกลับไม่เคยอยากกลับมาเหยียบที่นี่ตั้งแต่เสียแม่ไปด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำตอนอายุสิบเก้าปี
ติ๊ง ต่อง~
ด้วยความที่ฉันไม่ค่อยกลับมาบ้านหลังนี้ เลยไม่ได้พกกุญแจบ้านมาด้วย จำเป็นต้องกดกริ่งเรียกคนในบ้านให้มาเปิดให้อย่างที่เห็น
รอไม่นาน ลุงสมานคนสวนและพ่วงตำแหน่งคนขับรถให้ป๊าก็วิ่งเหยาะๆ มาเปิดประตูให้ฉัน
“คุณท่านรออยู่ข้างในแล้วครับคุณยีนส์” ลุงสมานค้อมหัวให้ฉันนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยบอกถึงบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน ซึ่งตอนนี้อาจจะไม่ได้ใหญ่ที่สุดแล้วมั้ง?
“อ้าว! คุณยีนส์ ป้าไม่ได้เจอตั้งนาน คิดถึงคุณหนูมากๆ เลยค่ะ มาให้ป้าอุ่นกอดหน่อยเร็ว” เสียงป้าอุ่นเอ่ยทักทายฉันเบาๆ
ป้าอุ่นท่านเป็นคนที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่แบเบาะ เราเลยสนิทกันค่อนข้างมากรองลงมาจากใครบางคนในบ้านหลังนี้ และหลังจากที่ฉันเสียแม่ไปเมื่อเกือบสามปีก่อน ฉันก็ได้ป้าอุ่นนี่แหละเป็นคนคอยปลอบใจและสั่งสอนมาตลอดจนถึงตอนนี้
ถามว่าทำไมไม่ใช่ป๊าฉันน่ะเหรอ เดี๋ยวอีกไม่นานก็รู้เหตุผลเองแหละ
“เอ๋~ ! นั่นหนูยีนส์หรือเปล่าน่ะ ทำไมกลับมาบ้านล่ะวันนี้ ไม่ได้อยู่คอนโดที่ชานเมืองแถวมหาลัยใหม่ที่เพิ่งย้ายไปเหรอ” น้ำเสียงติดเย้ยเอ่ยถามฉันเสียงแหลม
เธอคือ ‘รพี’ เป็นเมียใหม่ป๊าฉัน หรือก็คือมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงฉันนั่นแหละ
แต่ฉันไม่ยกฐานะนั้นให้เธอ ฉันไม่เคยเรียกเธอว่า ‘แม่’ ฉันมีแม่เพียงคนเดียว
‘แม่น้ำอิง’ ที่ตอนนี้คงมองฉันอยู่บนสรวงสวรรค์อันไกลโพ้น
“ขอตัวนะคะ” ถึงฉันจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับเธอแต่ฉันก็ยังคงไม่ก้าวร้าว เพราะแม่ฉันเคยสอนไว้ เป็นเด็กต้องไม่ทำนิสัยก้าวร้าวหรือหยาบกระด้างใส่ผู้ใหญ่ และฉันก็จดจำคำสั่งสอนของแม่ฉันมาตลอด
“เฮอะ!” เสียงเย้ยไม่พอใจถูกส่งออกมาจากริมฝีปากแดงจนแสบลูกตา
ถามว่าฉันสนใจเสียงนั้นมั้ย? ไม่เลย ต่อให้เธอจะด่าจะสบถคำหยาบคายแค่ไหนฉันก็ไม่สนใจเธอสักนิดเดียว แค่ฝุ่นผง จะสนใจให้ระคายเคืองลูกตาทำไมกัน