Fiance & facety!

108.0K · จบแล้ว
Lai LA FuN / เฉิงเอ๋อร์
65
บท
1.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

จู่ๆ น้องสาวต่างสายเลือดก็ต้องการแย่งคู่หมั้นของพี่สาวอย่างฉัน "ขอได้ไหมผู้ชายคนนั้น" ในเมื่อเธอหน้าด้านขอ ฉันก็ใจกว้างพอที่จะให้เธอลองแย่งดู "ได้สิ ฉันใจกว้าง แต่มีข้อแม้..." "ถ้าในหนึ่งปีร่างกายเธอมีรอยสักจากฝีมือเขา" ฉันเว้นช่วงไว้เพื่อสูดหายใจพร้อมเอ่ยต่อ "และครอบครองหัวใจเขาได้ ฉันจะยกเขาให้โดยไม่มีข้อแม้อะไรเลย" ส่วนอีกด้าน... คู่หมั้นที่ขึ้นชื่อว่ารักฉันนักรักฉันหนาและไม่ชอบให้ร่างกายฉันมีรอยบอบช้ำ วันนี้เขากลับทำมันเอง “เฮ้ย! ยีนส์” หมับ! ฉันมองเจ้าของเสียงนั้นที่มาพร้อมแรงกระชากที่ข้อมือฉันเพื่อให้ถอยออกมาจากร่างน้องสาวสุดที่รักของเขาอีกคน “ทำไมต้องรุนแรง” การ์เซียบีบข้อมือฉันแรงขึ้น เขาโกรธที่ฉันตบหน้าผ้าแพร “ถ้ายีนส์พูด เฮียจะเชื่อมั้ย?” ฉันสะบัดมือออกจากมือหนาที่บีบข้อมือฉันไว้แรงระดับหนึ่ง พร้อมเหลือบมองรอยแดงปื้นใหญ่รอบข้อมือตัวเองก็ได้แต่แค่นหัวเราะในใจ เขาทำมัน เขาทำร่างกายฉันมีรอยช้ำ และในเวลาต่อมาเขากลับ... "มีคนฝากนี่มาให้พี่ยีนส์” เด็กคนที่กำลังกระหืดกระหอบยื่นถุงบางอย่างมาให้ฉัน “ให้พี่?” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อจะยืนยันว่าไม่ผิดคน “ฮะ เขาบอกว่าให้ทาด้วย ห้ามดื้อ” ฉันแค่นหัวเราะเบาๆ เพราะรู้ดีว่าใครเป็นเจ้าของสิ่งนี้ และไม่ต้องเดาให้ยากว่าในนั้นมันต้องเป็นยาทาลดบวมช้ำแน่นอน “ขอบใจ” “ไม่เป็...น ไร” ตุ้บ! “ฝากบอกเจ้าของสิ่งนี้ด้วยนะ ว่าฉันไม่ต้องการ ฉัน ‘เจ็บ’ เองก็หายาทาเองได้” ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นคู่หมั้นที่ไม่อ่อนหวานไม่เคยอ่อนโยนไม่แน่ฉันอาจจะเสียคนรักให้กับน้องสาวคนนั้นก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งฉันแข็งข้อและทำใจแข็งเพื่อพิสูจน์บางอย่าง คำพูดของเขาก็ยิ่งกัดกล่อนฉันให้อ่อนยวบทุกครั้ง “เวลาอยู่กับฉัน เธออ่อนแอได้เสมอ” “อ่อนแอเหมือนหนูยีนส์คนก่อนได้ไหม” “อ่อนแอ ให้ผู้ชายคนนี้ได้ดูแลบ้าง” แววตาเขาสั่นไหวเล็กน้อย “แค่สักนิดก็ยังดี” บทพิสูจน์ 'หัวใจ' ของ 'การ์เซีย' ที่ฉันท้าขึ้นมันจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนกันนะ

นิยายรักโรแมนติกดราม่าสัญญาทางรักรักแรกพบโรงแรม/มหาลัยโรแมนติกนักศึกษาฟินๆ

คู่หมั้นผม - 1

Intro

ภายในสวนสุขภาพแห่งหนึ่ง บนม้านั่งไม้ตัวยาววางหันหลังชนกันสองตัวบนนั้นมีร่างบางของหญิงสาวสองคนนั่งหันหลังเยื้องกันอยู่คนละด้าน

"ชอบมากเหรอผู้ชายคนนั้น" เสียงหวานติดประชดของหญิงสาวหุ่นเพรียวผมน้ำตาลเข้มถามอีกคนขึ้น

"ให้ได้ไหมล่ะ" เสียงเล็กของอีกคนถามกลับระคนสนุกที่ได้เอ่ยคำนั้น

"เหอะ" คนถูกถามถึงกลับกลั้วหัวเราะออกมาคล้ายตลกกับประโยคคำขอที่ไม่มีแม้ความเกรงใจ

"ได้สิ ฉันใจกว้าง" คนที่รอฟังคำตอบถึงกับฉีกยิ้มตัวสั่นระริก

"แต่มีข้อแม้..." ความดีใจถูกตัดฉับเมื่ออีกคนพูดออกมาเสียงแข็ง

"ถ้าในหนึ่งปีร่างกายเธอมีรอยสักจากฝีมือเขา" เธอเว้นช่วงไว้เพื่อสูดหายใจพร้อมเอ่ยต่อ

"และครอบครองหัวใจเขาได้ ฉันจะยกเขาให้โดยไม่มีข้อแม้อะไรเลย" คนพูดถึงกับฉีกยิ้มเยาะ

เธอรู้ดี การพนันกับหัวใจคนๆ นั้นเธอต้องชนะ เพราะทั้งหัวใจเขาคนนั้นมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น

แต่ครั้นจะพูดออกไปตรงๆ ก็เหมือนกับไม่ให้เกียติอีกฝ่ายที่ยอมดราหน้ามาขอเขาซึ่งๆ หน้า เธอเลยอยากขอเล่นเกมหัวใจลองดูสักครั้ง

บางทีสิ่งที่เธอกำลังพิสูจน์อาจจะนำพามาซึ่งความผิดหวังที่เจ็บปวด

แต่แล้วใครสนล่ะ!

เพราะถ้าออกมาในรูปแบบที่เธอมั่นใจเธอก็คุ้มค่าที่รอเขาไม่ใช่หรือ

"หนึ่งปี! ฉันจะรอวันที่เธอพ่ายแพ้"

หญิงสาวผู้ถูกท้าพูดไว้เพียงเท่านั้น ลุกขึ้นยืนเดินออกไปจากสวนสาธารณะแห่งนี้ทันที

"อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ... คู่หมั้นที่รัก!"

เห้อออ~ ฟู่~

ฉันหันไปมองเสียงถอนหายใจและหน้าหงิกหงอของใครบางคน พร้อมส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะพูดกับเจ้าของเสียงถอนหายใจนั้น “เป็นเอามากนะเพลย์น้อย”

เพลย์น้อยที่ฉันเรียกจริงๆ แล้วเธอชื่อ ‘เพลย์เยอร์’ เพื่อนสนิทฉันตั้งแต่อายุสิบเก้า จนตอนนี้เราคบกันมาเกือบสามปี

“ฉันจะทำยังไงดียีนส์” เสียงเพลย์ถามฉันอีกครั้งเมื่อฉันไม่สนใจเธอ

‘ยีนส์’ ที่เพลย์เรียกคือชื่อฉันเองแหละ ยลดา เลิศบริวานนท์ สาวสวยลูกสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัทนำเข้าอะไหล่รถยนต์เจ้าใหญ่อันดับสามของประเทศ

ฉันเรียนปีสอง มหา’ลัย RNN university คณะนิเทศศาตร์ สาขาวิชาการโฆษณา อายุยี่สิบสองซึ่งเป็นพี่ของเพลย์เยอร์หนึ่งปี แต่เรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกเพลย์เลยว่าตัวเองแก่กว่า เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าให้เจาะลึกจริงมั้ย?

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมฉันเพิ่งเรียนปีสองน่ะเหรอ? สืบเนื่องมาจากตอนปีหนึ่งเทอมสองมีเหตุให้ต้องดรอปเรียนไว้ก่อนไงล่ะ ส่วนสาเหตุที่ดรอป? ปล่อยผ่านไปเหอะ ยังไม่อยากเล่าตอนนี้

“ยีนส์จ๋า ยีนส์คนสวย น้องเพลย์จะทำไงดีอ่า~” นี่แหละเพื่อนรักฉัน

นิสัยเพลย์ค่อนข้างเด็ก แถมยังชอบคิดอะไรแบบที่คนอื่นเขาไม่ค่อยคิดกัน ต่างจากฉันที่เป็นผู้หญิงค่อนข้างติดห้าว ไม่ค่อยเรียบร้อย ปากจัดเพราะเป็นคนพูดตรงๆ ออกแนวแมนๆ ก็ว่าได้ ติดอย่างเดียวคือ ฉันยังใส่กระโปรงอยู่ ไม่งั้น ผู้ชายชัดๆ

“เออๆ พอเลย แกก็แค่ไปลบกระทู้ออกก็จบป้ะ” ด้วยความรำคาญที่เพลย์เอาหน้ามาไถๆ ถูๆ แถวคอฉันบ้างหล่ะ ไหล่ฉันบ้างล่ะ เลยแสดงความคิดเห็นออกไป

และปฏิกิริยาตอบกลับของเพื่อนรักก็ทำให้ฉันเบ้ปากกรอกตามองบนยิ่งกว่าเดิม ดื้อกว่าเพลย์น้อยก็คงไม่มีใครแล้วล่ะ ทำตัวเองแท้ๆ แล้วมานั่งเสียหงุดหงิดทีหลัง

ฉันเลิกสนใจเพลย์เพราะโทรศัพท์ที่กำลังกดเล่นเกมส์อยู่สั่นเตือนว่ามีคนไลน์เข้ามา

เมื่อกี้ลืมมองด้วยว่าเป็นใครส่งมา เลยต้องรีบออกจากเกมส์ยิงไข่แล้วเข้าแอพฯ ไลน์เพื่อดูข้อความนั้น

ป้ะป๋า : อาทิตย์นี้มีเรียนถึงวันไหน

ป้ะป๋า : ป๊าอยากให้เรากลับมาเคลียร์เรื่องที่คาราคาซังให้จบ

หลังจากอ่านข้อความที่ส่งมาจบ จากตอนแรกที่หมั่นไส้เพลย์น้อยกลับกลายเป็นอารมณ์บูดขึ้นมาทันที เรื่องคาราคาซังเมื่อปีก่อนน่ะเหรอ ‘ถึงเวลาแล้วสินะ’ ฉันหัวเราะหยันในใจ ยังไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบผู้เป็นพ่อกลับ เสียงโทรศัพท์เพลย์ก็ดังขึ้น ฉันเหลือบตามองเธอเล็กน้อย อันที่จริงคืออยากเผือกให้ลืมเรื่องข้อความตัวเองมากกว่า

“ทำไมต้องโทรถามยีนส์ด้วยคะ?” ฉันเหลือบตามองเพลย์เมื่อเธอหลุดชื่อฉันออกมาพร้อมกับมองค้อนให้ฉันด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็ร้อง ‘อ๋อ’ ขึ้นมาในใจกับประโยคนั้น

คนปลายสายน่าจะบอกเพลย์เรื่องที่โทรหาฉันก่อนหน้าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนสินะ ฉันเองก็ลืมบอกเพลย์ไปเลยว่าแม่เล็กของเธอโทรมาถามตารางเรียนของพวกเรา

หลังจากเลิกสนใจเพลย์คุยโทรศัพท์ฉันก็กดพิมพ์ข้อความตอบกลับป๊าไปว่าเดี๋ยวจะเข้าไปเคลียร์เรื่องที่ว่าให้มันจบๆ ไปวันนี้เลย

พวกเราใช้เวลานั่งรถของที่บ้านเพลย์ที่มารับหน้าคอนโด GS2K มาประมาณเกือบสี่ชั่วโมงเพราะการจราจรคับคั่งแถมยังติดแทบทุกๆ สิบนาทีที่รถเคลื่อนตัว เพลย์มาส่งฉันที่หน้าบ้านก่อน เพราะพวกเราถูกสั่งห้ามไม่ให้ขับน้องนินจา Kawasaki ZX10R มอเตอร์ไซค์สีเขียวใบตองลูกรักของฉันมาด้วยเหตุผลที่ว่า ‘มันดึกแล้วและระยะทางไกลเกิน’

“ขอบใจนะที่มาส่ง” หลังจากลงจากรถเสร็จฉันก็โบกมือหยอยๆ ให้เพลย์ที่นั่งยิ้มรับคำขอบคุณ ยืนรอจนตัวรถหรูเคลื่อนตัวไปจนสุดสายตาก่อนที่จะลอบถอนหายใจ

ฟู่~ ฉันเป่าลมออกจากปาก จ้องมองประตูใบใหญ่สีน้ำตาลที่ปกปิดไม่ให้คนนอกมองเห็นตัวบ้านหลังใหญ่โตด้านใน ‘บ้านที่ฉันเกิดและโต’ แต่ฉันกลับไม่เคยอยากกลับมาเหยียบที่นี่ตั้งแต่เสียแม่ไปด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำตอนอายุสิบเก้าปี

ติ๊ง ต่อง~

ด้วยความที่ฉันไม่ค่อยกลับมาบ้านหลังนี้ เลยไม่ได้พกกุญแจบ้านมาด้วย จำเป็นต้องกดกริ่งเรียกคนในบ้านให้มาเปิดให้อย่างที่เห็น

รอไม่นาน ลุงสมานคนสวนและพ่วงตำแหน่งคนขับรถให้ป๊าก็วิ่งเหยาะๆ มาเปิดประตูให้ฉัน

“คุณท่านรออยู่ข้างในแล้วครับคุณยีนส์” ลุงสมานค้อมหัวให้ฉันนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยบอกถึงบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน ซึ่งตอนนี้อาจจะไม่ได้ใหญ่ที่สุดแล้วมั้ง?

“อ้าว! คุณยีนส์ ป้าไม่ได้เจอตั้งนาน คิดถึงคุณหนูมากๆ เลยค่ะ มาให้ป้าอุ่นกอดหน่อยเร็ว” เสียงป้าอุ่นเอ่ยทักทายฉันเบาๆ

ป้าอุ่นท่านเป็นคนที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่แบเบาะ เราเลยสนิทกันค่อนข้างมากรองลงมาจากใครบางคนในบ้านหลังนี้ และหลังจากที่ฉันเสียแม่ไปเมื่อเกือบสามปีก่อน ฉันก็ได้ป้าอุ่นนี่แหละเป็นคนคอยปลอบใจและสั่งสอนมาตลอดจนถึงตอนนี้

ถามว่าทำไมไม่ใช่ป๊าฉันน่ะเหรอ เดี๋ยวอีกไม่นานก็รู้เหตุผลเองแหละ

“เอ๋~ ! นั่นหนูยีนส์หรือเปล่าน่ะ ทำไมกลับมาบ้านล่ะวันนี้ ไม่ได้อยู่คอนโดที่ชานเมืองแถวมหาลัยใหม่ที่เพิ่งย้ายไปเหรอ” น้ำเสียงติดเย้ยเอ่ยถามฉันเสียงแหลม

เธอคือ ‘รพี’ เป็นเมียใหม่ป๊าฉัน หรือก็คือมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงฉันนั่นแหละ

แต่ฉันไม่ยกฐานะนั้นให้เธอ ฉันไม่เคยเรียกเธอว่า ‘แม่’ ฉันมีแม่เพียงคนเดียว

‘แม่น้ำอิง’ ที่ตอนนี้คงมองฉันอยู่บนสรวงสวรรค์อันไกลโพ้น

“ขอตัวนะคะ” ถึงฉันจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับเธอแต่ฉันก็ยังคงไม่ก้าวร้าว เพราะแม่ฉันเคยสอนไว้ เป็นเด็กต้องไม่ทำนิสัยก้าวร้าวหรือหยาบกระด้างใส่ผู้ใหญ่ และฉันก็จดจำคำสั่งสอนของแม่ฉันมาตลอด

“เฮอะ!” เสียงเย้ยไม่พอใจถูกส่งออกมาจากริมฝีปากแดงจนแสบลูกตา

ถามว่าฉันสนใจเสียงนั้นมั้ย? ไม่เลย ต่อให้เธอจะด่าจะสบถคำหยาบคายแค่ไหนฉันก็ไม่สนใจเธอสักนิดเดียว แค่ฝุ่นผง จะสนใจให้ระคายเคืองลูกตาทำไมกัน