คู่หมั้นผม - 3
ผลัก!
“ปล่อยเลย” ฉันรีบปั้นหน้ากลับมาปกติอีกครั้ง แม้ในใจจะเต้นกระหน่ำและดีใจมากมายแค่ไหนก็ตาม
“ไม่ปล่อยแล้ว” ฉันว่าการ์เซียน่าจะเข้าใจความหมายคำว่า ‘ปล่อย’ ของฉันคนละแบบแน่ๆ เลย
“ปล่อยสิ ยีนส์เจ็บ” ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก มือที่เขาจับมือฉันไว้วางบนอกไม่ได้บีบ หรือเค้นแรงเลยสักนิด แต่ที่บอกแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าการ์เซียไม่ชอบให้ร่างกายฉันมีรอยแดงหรือช้ำยังไงล่ะ
“เจ็บไม่เท่าเฮียที่รอมาทั้งปี” ฉันได้แต่อึ้งจ้องตาคมของการ์เซีย
แววตาเจ็บปวดและโหยหาสื่อออกมาไม่ปิดบังเลยสักนิด แม้ว่าการต่อประโยคของเราสองคนมันจะคนละเรื่องกัน แต่ครั้งนี้ฉันแพ้ให้กับการ์เซียแล้วล่ะ
“เฮียบอก รอๆๆ แต่พอถามเหตุผลก็ไม่เคยบอก”
“ไม่ต่างกัน” การ์เซียสวนคำพูดฉันแทบไม่ต้องคิด
คำว่า ‘ไม่ต่างกัน’ ของเขาคงจะหมายถึงการที่เขาถามเหตุผลที่เลิกกันเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้วไม่บอกสินะ
“ยีนส์ขอเวลาสองวัน”
“ปีหนึ่งไม่พอ?” การ์เซียเลิกคิ้วถาม
“สองวันกับคำตอบจะเอาไม่เอา” ฉันเป็นพวกขวานผ่าซากไม่ต่างอะไรกับเขา
ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวานอันนี้เขารู้ดี นิสัยเราค่อนข้างไปทางเดียวกัน เวลาทะเลาะกันบางทีแทบจะเป็นการ์เซียด้วยซ้ำที่ยอมฉัน
“จะไปไหน” การ์เซียยอมปล่อยมือฉันลง แต่ก็ไม่วายจับไว้หลวมๆ
“เกาะแห่งความทรงจำ” ฉันบอกที่หมาย การ์เซียพยักหน้าเข้าใจ จูงมือฉันให้เดินตาม “ไม่ต้องบอกป๊า” เพราะทางที่กำลังจะเดินไปคือตึกใหญ่ ฉันเลยคิดว่าการ์เซียน่าจะพาฉันไปบอกพ่อเรื่องไปเกาะครั้งนี้
“เด็กจริงๆ” ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด แต่เห็นจากท่าทางส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปากของเขาคิดได้อย่างเดียวคือ เขาหลอกด่าฉันอีกแล้ว
การ์เซียมาส่งฉันแค่ที่รีสอร์ทของครอบครัวฉันที่หัวหิน เขาไม่ได้คิดจะตามฉันไปเกาะอย่างที่ควรจะเป็น ถามว่าทำไมการ์เซียไม่ไปด้วย? นั่นเพราะเขาต้องการให้ฉันทบทวนคำสารภาพที่มันฟังแล้วเข้าหูเขายังไงล่ะ
“อีกสองวันจะมารับ” ฉันหันหลังกำลังจะเดินไปขึ้นสปีดโบ๊ทที่คนจากรีสอร์ทจอดรอก็ได้ยินเสียงการ์เซียดังไล่หลังมา ฉันเดินไปเงียบๆ ไม่หันกลับไปมองหน้าเขาหรือตอบอะไรกลับไปสักคำ ความเงียบคือสิ่งเดียวที่ฉันจะมอบให้เขาในเวลานี้
[Garsia’s part]
ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยของผมก็มาถึง
หนึ่งปีแห่งความสับสน มึนงง และเจ็บปวดกับการจากลาของคนรักทำให้ผมแทบไม่เป็นผู้เป็นคน เหตุผลการบอกเลิกจากเธอไม่เคยมีสักคำนอกจาก… ‘เราเลิกกันเถอะ’
ประโยคเดียวมาพร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายของผมที่หยดลงข้างแก้ม ผมรั้งเธอไว้ ถามหาเหตุผลแต่ก็ได้แค่ความเงียบ กับการบอกให้ผมรอคำตอบอีกหนึ่งปีต่อมา ถามว่าทำไมผมถึงรอ? คิดว่ามีกี่เหตุผลกันที่ผู้ชายอย่างผมจะรอเธอได้ ‘รัก’ ยังน้อยไปสำหรับเธอ
เพราะเธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ขาดเธอผมเหมือนกับคนที่ไร้หัวใจ
“ดื้อไม่เปลี่ยน” หลังจากที่ส่งยีนส์ขึ้นเรือเสร็จ ผมยืนมองจนเรือไกลลับจากสายตาจึงพึมพำกับตัวเองเบาๆ
‘ยีนส์’ สาวเปรี้ยวเข็ดฟัน แต่ติดนิสัยแมน ห้าวๆ เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงที่ทำให้ผมหลงใหลจนเผลอ ‘ทำ’ เรื่องไม่ดีขึ้น แต่นั่นก็คุ้มที่สุดท้ายเราสองคนก็ได้หมั้นกัน ยีนส์เป็นของผมโดยชอบธรรม
Rrr
เสียงโทรศัพท์ผมแผดเสียงลั่นตอนที่กำลังจะสตาร์ทรถเพื่อกลับกรุงเทพ
“มีไร” ผมตอบปลายสายเสียงห้วน
[เข้าผับ?] เสียงเคซิส พี่ใหญ่ในกลุ่มพวกผมดังลอดออกมา
ไม่เข้าใจมันจริงๆ ผับก็ผับตัวเอง แต่เสือกเรียกผมไปช่วยดูแลตลอด ผมมีสนามแข่งที่ต้องดูแลอยู่แล้ว มันก็ยังจะลากผมไปช่วยดูผับอีก
“ได้ข่าว นั่นผับมึง” ผมตอบห้วนๆ กลับไป
ถามว่าเคซิสอายุเยอะกว่าทำไมผมถึงไม่เรียกพี่ ไม่ใช่ไม่เคารพมันนะ แต่หมั่นไส้ เรียนจบจากนอกแล้วยังเสือกอยากมาเรียนใหม่ที่ไทยอีกเลยไม่เรียกพี่แม่งเลย ไหนๆ ก็มาเรียนรุ่นเดียวกันกับผม ไอ้ขันทีและไอ้ซาดีนส์ อยู่แล้วไง
[หัดพูดงี้กับกู] ทำเสียงงอน
“เออครับ” ผมล่ะเบื่อความง้องแง้ไม่เข้ากับบุคลิกดิบ ดุ เถื่อนของมันจริงๆ หลังจากตอบตกลงเสร็จผมก็กดวางสาย รีบบึ่งรถไปที่เอสผับของเคซิสทันที
[End part]