EP 5 | คนเอาแต่ใจ
และแล้วฉันก็มาถึงร้านอาหารอย่างปลอดภัยครบสามสิบสอง ซึ่งร้านอาหารที่เขาพาฉันมากินเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นและเขาจองห้องวีไอพีเอาไว้แล้ว
บรรยากาศในห้องเงียบสนิทเพราะฉันไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรสภาพของฉันตอนนี้เหมือนคนรับใช้ที่ตามมาบริการเขามากกว่า
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันเซตผมมาอย่างดี แต่งตัวด้วยสูทสีดำที่มองแล้วดูดีทุกระเบียบนิ้วในขณะที่ฉันนั้นผมยาวถูกม้วนและหนีบไว้ลวกๆ ด้วยกิ๊บตัวใหญ่ สวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นและรองเท้าสลีปเปอร์ = [] =’
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารค่ะ”
เสียงพนักงานเสิร์ฟดังขึ้นก่อนที่บอดี้การ์ดของเขาจะเปิดประตูให้เธอเข้ามา พนักงานของที่ร้านสวมชุดกิโมโนสีแดงค่อยๆ เดินเข่ามาเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะ ที่เธอต้องเดินเข่าเพราะเรานั่งอยู่บนพื้นตามแบบฉบับคนญี่ปุ่นเลยค่ะ
และอาหารที่นำเข้ามาเสิร์ฟมีทั้งที่ฉันรู้จักและไม่รู้จักวางเรียงรายเต็มไปหมดจนฉันไม่คิดว่าเราสองคนจะกินหมด
หลังจากเสิร์ฟอาหารเสร็จเรียบร้อย พนักงานก็คร่อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสนิทเหมือนเดิม
“กินสิ”
พูดจบเขาก็หยิบตะเกียบไม้ขึ้นมาหักมันออกจากกันแล้วเริ่มคีบอาหารในจานตรงหน้า บรรยากาศมันแปลกๆ เนาะว่าไหม?
โครก~
“อ๊ะ”
มาร้องอะไรตอนนี้เนี้ยยยยย~ รู้แล้วว่าหิวไม่ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ตอนนี้ก็ได้ ฉันเรียบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมาแล้วหักให้มันแยกออกจากกันส่วนคุณไมล์ฉันเห็นมาเขาเหลือบขึ้นมามองเล็กน้อยแต่ทำหน้ายังไงต่อฉันไม่รู้หรอกเพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินของตัวเอง
“แค่กๆๆ”
ด้วยอาชีพการงานทำให้ฉันติดการกินข้าวเร็วจนเป็นนิสัย แต่ดันกินจนสำลักขึ้นมาเสียได้!
“ฉันไม่แย่งเธอกินหรอก”
คุณไมล์พูดพร้อมยื่นแก้วน้ำมาตรงหน้า ฉันรีบรับมาดื่มทันทีก่อนจะสำลักไปมากกว่านี้
แล้วดูคำพูดคำจาของเขาสิ ฉันไม่ได้กลัวเขาจะแย่งกินเสียหน่อยฉันดูเหมือนคนเห็นแก่กินหรือไงยะ
“ฉันไม่ได้กลัวคุณแย่งซะหน่อย”
“สภาพเธอเหมือน”
“ยังไงคะ”
“ท้องร้องเสียงดัง”
“ก็แค่หิวธรรมดา”
“ข้าวติดคิ้ว”
“ห๊ะ!”
ฉันรีบยกมือขึ้นจับที่คิ้วของตัวเองทันที กรี๊ดดด! มีข้าวติดอยู่จริงๆ ด้วยทำไมจู่ๆ ฉันถึงได้กลายเป็นคนตะกละตะกลามแบบนี้ไปได้ล่ะ
“เหอะ!”
คุณไมล์กระแทกเสียงในลำคอก่อนจะวางตะเกียบของตัวเองลงและหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ส่วนฉันไม่กินต่อแล้วค่ะเดี๋ยวเขาจะยิ่งมองว่าฉันเห็นแก่กิน
“ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยสิคะ”
“...” เขาไม่ตอบแต่เลิกคิ้วขึ้นแทน
“ทำไมคุณถึงยอมหมั้นกับฉันล่ะ”
ดูจากนิสัยผิวเผินของเขาหลังที่เราเจอกันไม่ถึงสองชั่วโมงก็ทำให้ฉันพอจะเดาออกว่าเขาเป็นคนเด็ดขาด อารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิดและคนแบบนี้ก็ไม่น่าจะเชื่อฟังคำสั่งของใครง่ายๆ
“หน้าที่”
หน้าที่เหรอ? ฟังดูไม่เมคเซ้นเท่าไหร่เลยนะ มาเฟียอย่างเขาต้องทำหน้าที่แต่งงานกับฉันไปเพื่ออะไร จริงสิ? ฉันยังไม่ได้ถามเรื่องมาเฟียเลย
“คุณเป็นมาเฟียเหรอคะ”
“นี่เธอรู้อะไรบ้าง” หงุดหงิดอีกล่ะ
“ขอตอบตามตรงค่ะว่าฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย ก่อนหน้านี้ฉันมีแฟนอยู่แล้วก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องการหมั้นหมายอะไรนี่”
“หึ! แฟนห่วยแตกของเธอน่ะเหรอ”
“คุณรู้จักแฟนฉันด้วยเหรอ”
ทำไมเขาถึงรู้เรื่องของฉันด้วยล่ะ หรือว่าคุณตาจะเป็นคนบอก ก็น่าจะใช่นะเพราะก่อนหน้านี้คุณตาน่าจะต้องบอกเหตุผลกับครอบครัวของเขาว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมหมั้น
ถามเองตอบเองที่แท้ทรู- -’
“กลับบ้าน”
เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามเรื่องอีวานแล้วชวนฉันกลับบ้านแทน แต่ฉันยังถามไม่จบเลยนะ
“เดี๋ยวสิ! ฉันยังถามไม่จบเลย”
“อะไร”
“แล้วถ้าฉันไม่หมั้นกับคุณล่ะ”
ปึง!
“เธอกล้าปฏิเสธฉันเป็นครั้งที่สองก็ลองดู”
คุณไมล์กำหมัดทุบโต๊ะเสียงดังแล้วตอบกลับมาด้วยความไม่พอใจก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันที
ทำไมเขาต้องโกรธฉันขนาดนั้นด้วยล่ะ?
“เชิญครับคุณเพิร์ล นายรออยู่ที่รถแล้ว”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันนั่งเงียบอยู่นานและไม่ยอมลุกขึ้นออกมาจากห้องเสียที ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นออกจากห้องแล้วเดินไปที่รถโดยมีบอดี้การ์ดของเขาสองคนเดินตามออกมา
บรื้นนนนนนน~
“กรี๊ดดด!”
ฉันปิดประตูรถยังไม่ทันสนิทเขาก็เหยียบคันเร่งออกตัวทันที ถ้ารีบมากทำไมไม่กลับไปก่อนล่ะยะ ฉันนั่งแท็กซี่กลับเองยังรู้สึกปลอดภัยกว่าเสียอีก
“ขับรถให้มันดีๆ ไม่ได้หรือไงห๊ะ?”
คิดว่าตัวเองอารมณ์เสียเป็นคนเดียวหรือไงยะ ฉันก็ไม่พอใจเหมือนกันนะแต่ยิ่งฉันพูดเขาก็ยิ่งเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น โชคดีที่ตอนนี้ค่ำมากแล้วทำให้ถนนโล่งกว่าเมื่อตอนเย็น
“ไอคนบ้า!!”
บรื้นนนนน~
สายตาดุดันตวัดมาจ้องหน้าฉันและคราวนี้ความเร็วของรถก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เร็วจนฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะบินได้แล้วด้วยซ้ำ ความโกรธในใจถูกแทนที่ด้วยความกลัว มือทั้งสองข้างของฉันยกขึ้นมาจับที่เข็มขัดนิรภัยไว้แน่น
“...”
ขอบตาทั้งสองข้างเริ่มร้อนผ่าว น้ำสีใสที่คลอขึ้นมาทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นและพยายามกัดปากตัวเองเพื่อสกัดกลั้นมันเอาไว้ ถึงจะกลัวมากแค่ไหนฉันจะไม่ยอมร้องไห้ออกมาให้เขาเห็นเด็ดขาด
คุณไมล์ปรายตามามองฉันเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นตบพวงมาลัยดังปึก! แล้วเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเข้าจอดข้างทางพลางสบถคำหยาบออกมา
“Sh*t”
เอี๊ยด!
“โอ๊ยย!”
มือหนาจับหมับ! เข้าที่หน้าของฉันก่อนจะบีบจนฉันรู้เจ็บแล้วบังคับให้หันไปมองหน้าเขาแต่ฉันก็เลือกเบนสายตาไปทางอื่น
“มองหน้าฉัน”
ฉันสัมผัสได้ถึงความเค็มในปากน่าจะเป็นเพราะฉันกัดปากตัวเองแน่นจนเกินไปและจู่ๆ คุณไมล์ก็แทรกนิ้วโป้งของเขาเข้ามาในปากฉัน
“อย่าลองดีกับฉัน เพิร์ล!”
ฉันตวัดสายตากลับมามองหน้าเขาทันที ตอนนี้เขากำลังจ้องหน้าฉันด้วยสายตาที่ฉันก็คาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนนิ้วโป้งที่แทรกเข้ามาก็ดันริมฝีปากล่างลงเพื่อให้ฉันเลิกกัดปากตัวเอง
คนนี้จริงๆ เหรอที่ครอบครัวของฉัน คุณตาของฉันไว้ใจที่จะให้ฉันแต่งงานด้วยเพราะเขาสามารถปกป้องดูแลฉันได้ จากที่ดูฉันว่าเขาน่าจะอันตรายมากที่สุดแล้วล่ะ
นิ้วโป้งที่สัมผัสอยู่บนริมฝีปากของฉันเริ่มคลึงไปมาช้าๆ และเมื่อฉันยกมือขึ้นผลักตัวเขาออก มือหนาก็เลื่อนไปล็อกท้ายทอยของฉันแล้วประกบจูบลงมาแทน
“อื้อออ!”
คุณไมล์ดูดเม้มที่ริมฝีปากล่างอย่างร้อนแรงยิ่งฉันดิ้นเพื่อขัดขืนเขาก็กัดลงมาแทน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในปากแต่ไม่มีทีท่าว่าเขาจะหยุดจูบเลยสักนิด
ฉันทั้งทุบทั้งตีทั้งหยิกแต่คนร่างหนาก็ไม่สะเทือน เขายังคงประกบจูบอย่างหนักหน่วงและหาจังหวะส่งปลายลิ้นแทรกเข้ามาในโพรงปาก ฉันเริ่มหายใจไม่ทันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนช่วงชิงลมหายใจไปจนหมด
แก๊ก!
คุณไมล์ปลดสลักล็อกเข็มขัดนิรภัยของฉันออกก่อนจะจับเข้าที่เอวบางแล้วยกฉันขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนตัวเขาแทน เขาต้องแข็งแรงขนาดไหนนะถึงยกตัวฉันขึ้นง่ายๆ ราวกับยกตุ๊กตา
“ไอ้...อื้อ!”
เขาไม่ปล่อยให้ฉันได้มีโอกาสพูด ริมฝีปากหนาแนบประกบเข้ามาอีกครั้ง ปลายลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับเรียวลิ้นของฉันก่อนจะแกล้งดูดหนักๆ จนฉันรู้สึกเจ็บแปลบ
ยิ่งฉันต่อต้านเขาก็ยิ่งรุนแรงจนฉันเริ่มหมดแรง คนเอาแต่ใจก็เริ่มเปลี่ยนจากความเร่าร้อนเป็นจูบที่นุ่มละมุน มือที่ล็อกท้ายทอยเลื่อนมาเชยคางขึ้นเพื่อรับสัมผัสได้ลึกล้ำมากกว่าเดิม
จูบที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเขากำลังโหยหาและรอคอยสัมผัสนี้มานานเหลือเกิน