1.2 ว่าที่คู่หมั้น
“หึ...เลิกพูดอะไรไร้สาระได้แล้ว สรุปจะกินอะไร ใกล้จะถึงปั๊มแล้ว เดี๋ยวลงไปซื้อให้”
“ชิ...กินอะไรก็ได้ค่ะ เอาแค่ไส้กรอกห้าไม้ ชาเขียวปั่นแก้วใหญ่หวานมากหนึ่งแก้ว แล้วก็ซาลาเปาสองลูก กับเลย์อีกสองถุงแค่นี้พอ ตอนนี้หนูกินอะไรไม่ค่อยลงน่ะค่ะ”
รายการอาหารที่เด็กสาวร่ายยาวมาเมื่อครู่ทำเอาหลุดยิ้มออกมาจนได้ เขาส่ายหน้าไปมาอย่างจนใจกับท่าทางที่ดูแง่งอนแต่ก็ยังห่วงเรื่องของกินของเธอ
“โอเค...งั้นระหว่างเฮียไปซื้อของ อยากเข้าห้องน้ำก็รีบเข้าแล้วมาเจอกันที่รถนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอตอบกลับไปเสียงเบา ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างเรื่องที่เขาบอกว่าจำเรื่องสัญญาเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากจะงอแงใส่เขามากนักเพราะจำได้ดีว่าเขาเคยบอกว่าไม่ชอบเด็กดื้อเอาแต่ใจ พอคิดถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น มุมปากของเธอก็ยกยิ้มขึ้นอย่างอารมณ์ดี
‘โตขึ้นจะแต่งกับหนูจริงๆ ใช่ไหมคะ’ เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงตัวเล็กในวัยเพียง 8 ขวบ เอ่ยถามตาแป๋ว ขณะที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องนั่งเล่นใกล้ๆ กับเด็กชายที่ดูโตกว่ามากซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ กัน
‘หืม ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน’
‘หนูได้ยินพ่อแม่เราคุยกันค่ะ บอกว่าถ้าหนูเรียนจบจะให้เราแต่งงานกัน’
‘อืม...ไม่รู้สิ ไม่ค่อยอยากแต่งกับเด็กดื้อเท่าไหร่แฮะ...’
‘นะ หนูไม่ดื้อค่ะ!’
‘ไม่ดื้อ? ...เมื่อสองวันก่อนใครแกล้งเอาหมากฝรั่งไปใส่ในรองเท้าเพื่อน’ ภากรหรี่ตาจับผิด เพิ่งจะเปิดเทอมได้ไม่กี่วันเด็กแสบก็สร้างวีรกรรมอีกแล้ว
‘กะ ก็อยากมาว่าหนูก่อนทำไมล่ะ...’
‘เอาเป็นว่าถ้าตั้งใจเรียน ไม่แกล้งเพื่อน ไม่แอบหลับในห้องเรียน เดี๋ยวจะกลับไปคิดเรื่องนั้นดูอีกที’ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางโยกศีรษะของเด็กแสบตัวจิ๋วไปมาอย่างเอ็นดู
‘จริงนะคะ สัญญาแล้วนะ!’
‘อื้อ...แต่ต้องดูพฤติกรรมก่อนนะ’
เกวรินมัวแต่นั่งอมยิ้มเหม่อคิดถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน จนไม่ได้ยินเสียงเรียกจากคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เกี๊ยว”
“....”
“เกี๊ยว!”
“อุ้ย! ตกใจหมดเลยเฮีย” คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มอยู่ใกล้ๆ หู “ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เฮียแอบมีใจให้หนูเหรอคะ?”
“.....”
“แหะๆ ...ไม่แซวแล้วก็ได้ เฮียเรียกหนูทำไมคะ”
“ถึงปั๊มแล้ว จะลงไปเข้าห้องน้ำไหม”
“ไปค่ะไป” เธอฉีกยิ้มหวาน พยักหน้ารัวๆ จากนั้นทั้งคู่ก็ลงจากรถแล้วแยกกันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง
หลังจากที่เกวรินเข้าห้องน้ำเสร็จ เธอก็เห็นร่างสูงของภากรเดินถือถุงขนมเต็มไม้เต็มมือออกมาพอดี เธอฉีกยิ้มกว้างแล้วปรี่เข้าไปช่วยเขาถือ แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินนำหน้าไปที่รถโดยไม่หันมามองเด็กสาว
“ทำไมเฮียต้องปฏิเสธน้ำใจหนูด้วยเนี่ย”
ขึ้นมาบนรถเธอก็บ่นเสียงอุบอิบ ตั้งใจอยากจะเข้าไปช่วยเพื่อให้เขาเอ่ยชมแท้ๆ แต่เสียแผนซะได้
“ช่วยกินก็พอ ของแค่นี้จะอยากถือไปทำไม”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือหนาไปขยี้ผมยาวที่เด็กสาวเซ็ตเป็นลอนอย่างดีจนยุ่งเหยิงไปหมด
ผมทรงนี้เกวรินตั้งใจม้วนลอนอยู่เกือบชั่วโมง ทว่านอกจากจะไม่โกรธที่เขาทำแบบนี้แล้ว ยังยิ้มแป้นเอียงศีรษะเข้าใกล้ให้เขาสัมผัสได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหวานหยด
“กลัวหนูเหนื่อยเหรอคะเฮีย~”
“เปล่า...กลัวซุ่มซ่ามจนทำหลุดมือ”
“เฮียอะ!” เกวรินยู่ปากอย่างน้อยใจ แต่พอมองเห็นรอยยิ้มเอ็นดูจากอีกฝ่ายก็เขินจนโกรธต่อไม่ลงแล้ว
“ชิ...เพราะเฮียหล่อหรอกนะ หนูถึงให้อภัยง่ายๆ แบบนี้ ไว้รอบหน้าถ้าเฮียว่าหนูซุ่มซ่ามอีก หนูจะ…”
“จะอะไร?” ภากรเลิกคิ้วถาม เอียงหน้ามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“จะโดดจุ๊บแก้มแบบนี้ไงคะ!”
จุ๊บ!
“!!” เขาถึงกับนิ่งค้างไปชั่วขณะกับการกระทำเมื่อครู่ของเกวริน แม้เธอจะเคยแอบจุ๊บแก้มเขาตอนเด็กๆ แต่พอเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
“แค่สาธิตให้ดูเองค่ะ เฮียตกใจทำไมคะ” เธอยิ้มถามตาเป็นประกาย รู้สึกดีเหลือเกินที่เห็นแก้มของเขามีสีชมพูพาดจางๆ
“เด็กแสบ...”
“อิอิ หนูให้หอมคืนก็ได้นะคะ”
ว่าแล้วก็เอียงแก้มให้เขาเอาคืนอย่างเต็มใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้มือหนาดันหน้าเธอออกห่างทันที
“ดื้อเกินไปแล้วนะเกี๊ยว...เลิกเล่นได้แล้ว เฮียต้องใช้สมาธิขับรถ” เขาเอ่ยเสียงเข้ม สายตาโฟกัสที่การขับรถและมองถนน ตีหน้านิ่งทำท่าเหมือนไม่สนใจเธอ แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้หัวใจแกร่งกำลังเต้นกระหน่ำอย่างหนักจนแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว
“เชอะ...ไม่ได้เล่นสักหน่อย” เธอพูดเสียงอุบอิบ เห็นเขาทำหน้าเคร่งขรึมก็ยู่ปากเล็กน้อย คิดว่าเมื่อครู่ที่เห็นเขาเขินคงแค่ตาฝาดไป
แต่ไม่เป็นไรหรอก...
สักวันเธอจะทำให้เฮียหวั่นไหวให้ได้เลย!